“เอาล่ะ เลิกเสียเวลากันดีกว่า” ซงเจิ้งเหวินเหรินยืนขึ้น ดวงตาของเขาจ้องไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยความเย็นชา ”แล้วเรื่องผนึกเล่าจะว่าอย่างไร ท่านวางแผนจะซ่อมแซมมันอย่างไร ทันทีที่ผนึกขับไล่วิญญาณร้ายถูกทำลาย ไม่ใช่เพียงแค่เมืองหลวง แต่ทั้งแผ่นดินจะต้องเผชิญกับการรุกรานจากปีศาจ ตอนนี้เมื่อผู้แทนทั้งสามเมืองต่างอยู่กันพร้อมหน้า เราย่อมมีพลังมากพอที่จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งของผนึกนั้นได้”
“ท่านอาจจะไม่เห็นด้วยกับการที่เราเข้ามาในเมืองหลวง และปฏิเสธแนวคิดเกี่ยวกับการแต่งงานทางการเมืองก็แล้วแต่ท่าน แต่ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับทุกคน ดังนั้นท่านย่อมไม่สามารถทำตามที่ใจปรารถนาได้ ในเมื่อจักรวรรดิจ้านหลงเองก็มีจวนผู้อาวุโสเช่นกัน เช่นนั้นเรามาประลองกันดูดีหรือไม่ ว่าใครจะมีทักษะด้านการขับไล่วิญญาณร้ายและศาสตร์แห่งหยินหยางมากกว่ากัน ฝ่ายที่ชนะจะได้เป็นผู้คุ้มกันผนึกนั้น”
คำพูดของเขาทำให้อู่จิ้งไม่สบอารมณ์ ”องค์ชายเหวินเหริน เราทุกคนต่างก็รู้กันว่าเมืองเซวียนหยวนมีความเชี่ยวชาญด้านการใช้ศาสตร์แห่งหยินหยาง ท่านเสนอออกมาเช่นนี้ก็เพราะคิดว่าพวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศาสตร์การขับไล่วิญญาณร้าย ทำไมเราไม่เปลี่ยนมาประลองวรยุทธ์กันแทนเล่า”
“ท่านแม่ทัพ” ซงเจิ้งเหวินเหรินยิ้ม และตอบด้วยน้ำเสียงเสียดสีว่า ”สิ่งเดียวที่ท่านสามารถใช้ปราบปีศาจและวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นได้คือศาสตร์การขับไล่วิญญาณร้าย ถ้าท่านใช้พลังปราณต่อสู้กับภูตผี คนที่จะต้องพบจุดจบก็คือตัวท่านเอง”
อู่จิ้งพูดไม่ออก เขาทำได้เพียงจ้ององค์ชายของฝ่ายศัตรูด้วยสายตาทิ่มแทงเท่านั้น ขณะเดียวกันก็นึกโทษตัวเองอยู่ในใจเพราะความสามารถของเขาไม่สามารถใช้ต่อกรกับสิ่งเหล่านั้นได้
ตอนนั้นเองที่บรรดาผู้แทนจากเมืองอื่นๆ พากันส่งเสียงขึ้นว่า ”องค์ชายเหวินเหรินตรัสได้อย่างถูกต้อง องค์ชายสาม พวกเรามาสู้กันอย่างซื่อสัตย์ยุติธรรมดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่ายที่ชนะสองในสามยกจะได้เป็นผู้คุ้มกันผนึก!”
ในระหว่างนั้น ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาต่างก็ยืนขึ้นแล้วเริ่มบริหารข้อมือ ตอนที่พวกเขามองไปทางอู่จิ้ง สีหน้าของพวกเขาก็พลันเต็มไปด้วยความดูถูก เห็นได้ชัดว่าเมืองต่างๆ ล้วนแต่เตรียมตัวกันมาเป็นอย่างดี พวกเขาวางแผนที่จะเสนอให้จัดการประลองขึ้นตั้งแต่แรกเพื่อเป็นข้ออ้างให้ยกทัพเข้ามาในเมืองหลวง
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าจวนผู้อาวุโสของจักรวรรดิจ้านหลงยังไม่ได้รับการฟื้นฟู และนั่นก็เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่พวกเขาจะสามารถหาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตัวจริงมาลงแข่งขันได้
จักรวรรดิจ้านหลงเคยเป็นเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดในสี่เมือง แต่ตอนนี้เมื่ออีกสามเมืองจับมือเป็นพันธมิตรกันต่อต้านพวกเขา ในฐานะเสนาบดีฝ่ายพลเรือน หลิวอวี้รู้สึกกังวลยิ่งนัก
ซงเจิ้งเหวินเหรินเลิกคิ้วขึ้น แล้วพูดช้าๆ ว่า ”พี่ไป๋หลี่ ท่านคงไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธข้อเสนอนี้เหมือนกันใช่ไหม”
บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหัวเราะเยาะ เป็นที่รู้กันดีว่าพวกเขาหัวเราะเรื่องอะไร
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!” ตัวแทนจากจวนผู้อาวุโสก้าวออกมาข้างหน้า ในดวงตาของชายหนุ่มคนนั้นลุกโชติช่วงไปด้วยเพลิงแห่งโทสะ เขาเอ่ยขึ้นด้วยความเดือดดาลว่า ”ให้กระหม่อมลงประลองเถิดพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมรู้ศาสตร์แห่งหยินหยาง!”
แต่ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งหยินหยางที่เขามีก็จำกัดอยู่แค่ในด้านทฤษฎี หาใช่ด้านปฏิบัติไม่ ดูจากการแต่งกายของเขาแล้วก็สามารถบอกได้ว่าเขายังคงเป็นแค่มือสมัครเล่นเท่านั้น
เสนาบดีทุกคนตระหนักถึงเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี และเด็กหนุ่มเองก็รู้ตัว พวกเขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่พวกเขาไม่สามารถทนอยู่เฉยและปล่อยให้คนพวกนี้รังแกเอาได้!
“ดียิ่งนัก!” ผู้อาวุโสซวีอู๋ลูบเคราขาวของตัวเองแล้วเดินออกมา ”ในเมื่อไม่มีใครคัดค้านเรื่องการประลองอีก เช่นนั้นเราก็ควรกำหนดตัวผู้เข้าแข่งขันและกฎกติกากันได้แล้ว เรารีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จโดยเร็วเถิด”
ได้ยินดังนี้ เหล่าเสนาบดีก็หันหน้าไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ถ้าองค์ชายของพวกเขายอมรับข้อเสนอการแต่งงานทางการเมืองนั้นตั้งแต่แรก พวกเขาก็คงสามารถหลีกเลี่ยงการประลองในครั้งนี้ได้
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว พวกเขาล้วนแต่กลัวว่าเลือดที่ประดับอยู่บนพื้นท้องพระโรงในวินาทีถัดไปจะเป็นเลือดของพวกเขาเอง
แต่พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานให้อดีตฮ่องเต้ทราบทันทีที่เขากลับมา
ไม่ใช่แค่พระชายาสามจะยังไม่ตั้งครรภ์เสียที แต่องค์ชายสามกลับยังปฏิเสธข้อเสนอทางการแต่งงานจากเมืองเซวียนหยวนเพื่อนางอีกด้วย
การประลองครั้งนี้ พวกเขาไม่มีหวังที่จะชนะได้เลย!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ในที่สุดก็มีคนก้าวออกมาและคุกเข่าลงกับพื้น เขาคำนับศีรษะลงอย่างแรงพร้อมกับกล่าวว่า ”องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ของจักรวรรดิแห่งนี้มามากกว่าสิบปี จากการทุ่มเทรับใช้ราชสำนักมาหลายปี กระหม่อมสามารถบอกได้ว่าจักรวรรดิจ้านหลงของเราไม่เคยมีชื่อเสียงด้านศาสตร์แห่งหยินหยางมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ หากพวกเราพ่ายแพ้ในการประลองนี้ สิ่งที่เราจะต้องเสียไปจะไม่ได้มีเพียงแค่ศักดิ์ศรีของเราเท่านั้น แต่เป็นของคนทั้งจักรวรรดิพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจึงต้องการขอให้องค์ชายพิจารณาข้อเสนอเกี่ยวกับการแต่งงานทางการเมืองกับองค์หญิงซงเจิ้งใหม่อีกสักครั้งเถิด”
“ได้โปรดเถิดพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย ได้โปรดพิจารณาข้อเสนอทางการแต่งงานนี้ใหม่ด้วยเถิด!” ขุนนางอีกคนหนึ่งคุกเข่าลงและกระแทกศีรษะลงกับพื้นสองครั้ง
ผู้อาวุโสซวีอู๋ยิ้มร่าด้วยความพอใจ ขุนนางอาวุโสพวกนี้รู้จักคิดมากกว่าคนอื่นๆ นัก
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มบางปรากฏอยู่ แต่เสียงคุกเข่าคำนับพื้นของเสนาบดีทั้งสองคนนั้นกลับเป็นตัวกระตุ้นความเย็นชาที่อยู่ในดวงตาของชายหนุ่ม เขากำลังเตรียมตัวที่จะลงมือ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับกระตุกเสื้อคลุมของเขาเอาไว้ แล้วส่ายหน้า
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตามองนาง ความอันตรายฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น ”เจ้าห้ามข้าทำไมหรือ เจ้าไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดหรือไร หืม”
“ข้าเคยบอกแล้วนี่ว่าคนที่ควรมือเปื้อนเลือดและมีเรื่องต่อยตีควรจะเป็นข้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น นางยิ้มออกมาพร้อมกับจับมือของเขาไว้ ”มือของท่านงดงามเกินไป พวกมันไม่ได้มีไว้เพื่อการต่อสู้ฆ่าฟัน ยิ่งกว่านั้น สองคนนั้นก็เป็นคนของเสด็จปู่ ถ้าท่านฆ่าเขา ท่านจะอธิบายกับเสด็จปู่ว่าอย่างไร”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลงและยิ้มออกมา ”เวยเวย ดูเหมือนเจ้าจะลืมอะไรไปบางอย่าง”
“หืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบอย่างเย็นชาว่า ”ข้าเป็นปีศาจ การเข่นฆ่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับปีศาจ แต่ในเมื่อเจ้าไม่ชอบการนองเลือด เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ฆ่าไปก็เปลืองแรงเปล่าๆ ถ้าไม่ใช่เพื่อเจ้า ข้าก็ขี้เกียจฆ่าคนพวกนี้ พวกมันคงไม่คุ้มให้มือข้าต้องแปดเปื้อน กว่าจะล้างเลือดออกได้คงใช้เวลานานพอดู”
เฮ่อเหลียนเวยเวย: …พวกเขาเป็นมนุษย์นะ ไม่ใช่แมลงวันหรือยุงเสียหน่อย! ท่านอย่าพูดง่ายๆ เช่นนี้ได้ไหม!?
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปล่อยมือออกจากเอวของเฮ่อเหลียนเวยเวยทันทีที่พูดจบ เขาเดินเข้าไปหาเสนาบดีทั้งสองด้วยดวงตาอันลึกล้ำ แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า ”พยุงใต้เท้าสองคนนี้ขึ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เงาก้าวออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน
สีหน้าของเสนาบดีทั้งสองเปลี่ยนเป็นยินดีเพราะพวกเขาคิดว่าในที่สุดองค์ชายสามก็คิดได้
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ถึงกับหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วพูดเสียงเบาว่า ”ข้ารู้ว่าคนที่เขาชอบก็คือท่าน แต่เฮ่อเหลียนเวยเวย ท่านคงปฏิเสธไม่ได้กระมังว่าการที่เขาแต่งงานกับข้าจะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดได้ แล้วท่านล่ะ ท่านทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย
สีหน้าของนางยิ่งทำให้ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์รู้สึกเดือดดาล นางหายใจเข้าลึกแล้วจึงพูดต่อ ”ข้าไม่ได้อยากทำให้เรื่องมันน่าเกลียดเกินไปนัก แต่เขากำลังจะตกลงแต่งงานกับข้าในไม่ช้านี้ ดังนั้นท่านเองก็ควรยอมแพ้และลงจากตำแหน่งพระชายาได้แล้ว ข้ารับประกันว่าชีวิตที่เหลือของท่านจะ..”
ก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ น้ำเสียงเย็นชาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดังขึ้นเสียก่อน เสียงของเขาเหมือนกับน้ำแข็งที่แตกออกเป็นชิ้นๆ และกระจายไปทั่วท้องพระโรง ”ท่านอยากประลองมิใช่หรือ เช่นนั้นเราก็มาเริ่มกันได้เลย ใต้เท้าชีกับใต้เท้าเซี่ยยืนดูให้ดีก็แล้วกัน พวกท่านคิดหรือว่าจักรวรรดิจ้านหลงจะพ่ายแพ้ได้ง่ายๆ เช่นนั้น”
ใบหน้าของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์แข็งค้าง นางค่อยๆ หันหน้าไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
มาถึงขั้นนี้แล้ว เขายังปฏิเสธที่จะแต่งงานกับนางอีกหรือ!?
ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของจักรวรรดิจ้านหลง พวกเขาจะเอาชนะได้อย่างไร!?
สายตาของซงเจิ้งเหวินเหรินแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ”เหลิ่งอี้ เจ้าเป็นตัวแทนคนแรกของเรา ออมมือหน่อยล่ะ คู่ต่อสู้ยังเป็นมือใหม่อยู่ สั่งสอนให้เขาได้รู้เสียว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต้องเป็นอย่างไร!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายนามว่าเหลิ่งอี้สาวเท้าเดินออกมาด้วยสีหน้าไม่ได้จริงจังนัก ราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจคู่ต่อสู้ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย…