ตอนที่ 660 ปรากฎตัวกระทันหัน
ตอนที่มาถึงสนามฝึก นักศึกษาทุกชั้นเรียนก็อยู่รวมกัน
เพื่อนร่วมชั้นเรียนของหลินม่ายเห็นเสิ่นอวิ้นและคนอื่น ๆ พาผู้หญิงหน้าตาสวยคนหนึ่งมาก็ถามว่าเธอเป็นใคร
เสิ่นอวิ้นและคนอื่น ๆ ล้วนมีสีหน้าภาคภูมิใจ “หล่อนน่ะเหรอ หล่อนก็คือหลินม่ายที่ได้รับอันดับหนึ่งในการสอบเข้าปีนี้น่ะสิ และยังเป็นรูมเมทของพวกเราอีกด้วย พวกเธออิจฉาไหมล่ะ?”
พวกนักศึกษาตะโกนตอบ “อิจฉาสิ แน่นอนว่าอิจฉา! ขอเปลี่ยนห้องกับพวกเธอได้ไหม?”
จากนั้นก็ได้รับคำตอบจากเสิ่นอวิ้นว่า ‘ฝันไปเถอะ’
พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับหลินม่ายอยู่แล้ว ยังอยากเป็นรูมเมทกับหลินม่ายอีก จะโลภเกินไปแล้ว
ทุกคนพูดคุยหัวเราะเฮฮาอย่างครื้นเครง ก่อนที่ครูฝึกหน้าตาใจดีคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกนักศึกษาว่าเขาเป็นครูฝึกคนใหม่ ครูฝึกคนเก่ามีงานต้องไปทำจึงมาไม่ได้
หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นของหลินม่ายเอียงเข้ามาใกล้ ๆ หูของหลินม่ายแล้วกระซิบว่า “เธอเป็นดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดใช่ไหมเนี่ย? ทันทีที่เธอมาฝึกทหาร ครูฝึกก็เปลี่ยนเป็นอีกคน ครูฝึกคนนี้ดูใจกว่าคนก่อนแยะ ดูเหมือนจะไม่เคร่งมาก
หลินม่ายกระซิบตอบ “ถ้างั้นก็ดีสิ”
การฝึกทหารเริ่มเวลาบ่ายสองโมง เริ่มจากกระบวนท่าต่อสู้ของทหาร ยืนในท่าของทหารมันไม่ง่ายจริง ๆ
หลินม่ายรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองเติบโตที่บ้านนอก บวกกับเธอพอเรียนศิลปะป้องกันตัวมาบ้าง จึงมีร่างกายที่แข็งแรง
ไม่อย่างนั้นด้วยการฝึกที่มีความเข้มข้นแบบนี้ เธอคงทนไม่ไหว
อากาศก็เหมือนผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน
ขณะที่ทุกคนเหงื่อไหลไคลย้อยไม่หยุดจากการฝึกฝน ทันใดนั้นลมแรงก็พัดมา ท้องฟ้ามืดครึ้มลงทันที
ฉากนั้นราวกับตือโป๊ยก่ายเหาะผ่านเมฆหมอก พัดพาหินดินทรายไปเมืองเกาเหล่าจวง[1]
มองปราดเดียวก็รู้ว่านี่เป็นสัญญาณว่าพายุกำลังจะมา และแน่นอนว่าเป็นพายุลูกใหญ่
นักศึกษาทุกคนที่สนามฝึกเบิกตาโตมองไปยังครูฝึกของพวกเขาอย่างคาดหวัง หวังว่าเขาจะออกคำสั่งหนึ่ง ว่าให้สลายตัว
อย่างไรก็ตามยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงห้าโมงเย็นครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเลิกการฝึกทหาร
ในกรณีพิเศษ อาจมีการปล่อยให้เลิกเร็วกว่าปกติหนึ่งชั่วโมง
อย่างไรก็ตามครูฝึกแต่ละคนล้วนมีสไตล์แตกต่างกัน อยากฝึกแบบไหนก็ฝึกแบบนั้น
หลินม่ายคิดในใจ เป็นดังคาด เธอไม่อาจตัดสินคนจากภายนอกได้จริงๆ ภายนอกครูฝึกดูเหมือนจะใจดี แต่จริงๆ แล้วกลับเคร่งยิ่งกว่าครูฝึกคนอื่น ๆ!
ถึงตอนนี้ก็มีนักศึกษาหญิงสองคนตะโกนรายงานขึ้นมา
ครูฝึกถาม “มีเรื่องอะไร?”
นักศึกษาหญิงคนนั้นพูดขึ้นอย่างออดอ้อน “รายงานครูฝึก คุณป้า(2)ของพวกเรามา ฝึกกลางพายุฝนไม่ได้ค่ะ”
ถ้ายังต้องฝึกท่ามกลางพายุฝน สนามฝึกก็จะนองไปด้วยเลือด ซึ่งน่าอายเกินกว่าจะคิด
ครูฝึกค่อนข้างเด็ก อายุราว ๆ ยี่สิบกว่าเท่านั้น
เขามองนักศึกษาหญิงสองคนนั้นด้วยความงุนงง ถามด้วยภาษาจีนกลางสำเนียงท้องถิ่น “คุณป้าของพวกเธอมาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเธอ ทำไมถึงจะฝึกท่ามกลางพายุฝนไม่ได้?”
สีหน้าของนักศึกษาหญิงสองคนนั้นแดงก่ำ แต่พวกหล่อนก็เขินอายเกินกว่าจะอธิบาย
นักศึกษาหลายคนหัวเราะคิกคัก
ครูฝึกงงกับเสียงหัวเราะ
สุดท้ายนักศึกษาหญิงคนหนึ่งก็บอกครูฝึกว่าคุณป้าที่ว่านี้คืออะไรด้วยสีหน้าแดงก่ำ
ตอนนี้ถึงคราวที่ครูฝึกจะหน้าแดงบ้างแล้ว เขารีบให้นักศึกษาหญิงสองคนนั้นออกไป หาที่ที่หลบฝนได้ คอยดูนักศึกษาคนอื่นฝึกทหารต่อ
นักศึกษาหญิงสองคนนั้นรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง นึกว่าพวกหล่อนจะถูกปล่อยตัวเพราะคุณป้ามาเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะยังให้พวกหล่อนคอยดูการฝึกทหารของคนอื่น ๆ
แต่หลังจากคิดไปคิดมา ไม่ต้องฝึกทหารท่ามกลางพายุฝนก็ดีแค่ไหนแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย
ครูฝึกกระแอมในลำคอ “ยังมีนักศึกษาหญิงคนไหนจะขอออกไปอีกไหม รีบเข้า อีกเดี๋ยวฝนก็จะตกแล้ว
มีนักศึกษาหญิงอีกสองคนลุกออกไปด้วยสีหน้าแดงฉาน
หลินม่ายสงสัยว่านักศึกษาหญิงบางคนอาจจะแกล้งทำเป็นว่าคุณป้ามา
แต่เธอไม่คิดจะแกล้งเป็น เหลือฝึกทหารอีกแค่หกวัน ดังนั้นเธอจึงกัดฟันทน
เธอไม่อยากแกล้งทำเป็นคุณป้ามา แต่นักศึกษาชายบางคนกลับอยากแกล้งทำสักหน่อย
มองผู้หญิงที่ยืนอยู่ใต้ชายคาตึกเรียนไม่ไกลออกไป นักศึกษาชายเหล่านั้นรู้สึกอิจฉามาก แต่โชคไม่ดีที่พวกเขาแกล้งทำอย่างที่ต้องการไม่ได้
ไม่ถึงสิบนาที ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก จนคนไม่สามารถลืมตาได้
หลินม่ายและเพื่อนร่วมชั้นยืนอยู่ในท่าของทหารท่ามกลางพายุฝน ครูฝึกตรวจดูพวกเขาคนแล้วคนเล่า
กว่าฝึกทหารจะจบ ก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นครึ่งแล้ว
ถึงตอนนี้ฝนก็หยุดลงแล้วเช่นกัน ท้องฟ้าแจ่มใสสว่างจ้า ราวกับถูกล้างด้วยน้ำ
ถ้าไม่เห็นน้ำที่เจิ่งนองอยู่เต็มพื้น อาจจะทำให้คนเกิดภาพลวงตาว่า เมื่อครู่นี้ฝนไม่ได้พึ่งตกไป
นักศึกษาราวกับเป็นทหารที่เหลือรอดหลังจากแพ้มาจากสนามรบ พยุงกันและกันเดินไปที่โรงอาหารเพื่อกินข้าว
หลินม่ายเห็นว่ารูมเมทหลายคนอาการไม่สู้ดี คิดจะเข้าไปช่วยพวกเขา คนทั้งคนกลับถูกอุ้มขึ้นมาจากด้านหลัง
เธออุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังอุ้มเธอเป็นใคร ก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฟางจั๋วหราน
เธอถามด้วยความประหลาดใจ “คุณมาได้ยังไงคะ?”
ฟางจั๋วหรานมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน “ไม่ใช่คุณเขียนจดหมายไปหาผมว่าให้ผมพาคุณปู่คุณย่าและโต้วโต้วมาเล่นที่ปักกิ่งบ้างหรือ?”
ถึงแม้หลินม่ายจะเขียนจดหมายให้ฟางจั๋วหรานพาคุณปูฟางคุณย่าฟางและโต้วโต้วมาเที่ยวเล่นที่ปักกิ่งบ้าง แต่เธอคิดว่าเขาจะพาพวกเขามาใกล้ ๆ วันชาติ
นึงไม่ถึงว่าฟางจั๋วหรานจะพาพวกเขามาตอนนี้
หลินม่ายเห็นสายตาทุกทิศทุกทางที่มองมายังพวกเขา ก็รู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย บอกให้ฟางจั๋วหรานปล่อยเธอลง
ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้วมุ่นมองเธอแล้วถาม “คุณไม่ปวดขาหรือ?”
“ปวด แต่พวกเราทำตัวเด่นในที่สาธารณะให้น้อยลงดีไหมคะ?”
ฟางจั๋วหรานกระซิบตอบสองคำ “ไม่ดี!”
หลินม่ายสูดหายใจเข้าลึก ๆ ได้แต่ยอมรับโชคชะตา
ฟางจั๋วหรานอยากพาเธอกลับบ้าน แต่หลินม่ายบอกเขาว่า เธอออกจากมหาวิทยาลัยระหว่างฝึกทหารไม่ได้
ฟางจั๋วหรานไม่มีทางเลือก ได้แต่พาเธอไปกินข้าวเย็นที่โรงอาหาร แล้วสั่งเมนูโปรดทุกอย่างของเธอมาให้
เขาวางไก่ชิ้นหนึ่งลงในถ้วยของเธอแล้วเอ่ยถาม “เรื่องคนที่สอบเข้าได้อันดับหนึ่งตัวจริงกับตัวปลอมเป็นมายังไงหรือ?”
หลินม่ายพลันนึกออก “คุณเห็นข่าวนี้ในหนังสือพิมพ์ ถึงได้รีบพาคุณปู่กับคุณยายและโต้วโต้วมาที่นี่หรือคะ?”
“คุณคิดว่าเพราะอะไรล่ะ?”
หลินม่ายรู้ว่าในหนังสือพิมพ์ไม่ได้เขียนละเอียดมาก กล่าวถึงนิดหน่อยเท่านั้น
เธอจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟางจั๋วหรานฟังอย่างละเอียด
แต่ไม่ได้เอ่ยถึงความอยุติธรรมที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรับเข้าของชิงหวาคนก่อนทำกับเธอ
ไม่ต้องพูดถึงว่าคนก็ได้ขอโทษเธอแล้ว ถึงจะไม่มีคำขอโทษ เธอก็ตั้งใจจะไม่บอกเรื่องนี้กับฟางจั๋วหราน
เธอไม่อยากให้ฟางจั๋วหรานต้องออกหน้าให้เธอในเรื่องเล็กน้อยแค่นี้
ฟางจั๋วหรานรู้ว่าเรื่องคนที่สอบเข้าได้อันดับหนึ่งตัวจริงตัวปลอมนี้ไม่ได้ทำให้เธอได้รับความอยุติธรรมใด ๆ ก็โล่งใจ
ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องทวงความยุติธรรมให้แม่สาวน้อยอย่างแน่นอน
ระหว่างที่ทั้งสองคนกินอาหารได้ครึ่งทาง ฟางจั๋วหรานก็บอกหลินม่ายเรื่องที่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางตั้งใจที่จะพาโต้วโต้วมาอยู่กับเธอที่ปักกิ่ง
ในตอนแรกหลินม่ายรู้สึกดีใจ เธอไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนสี่ประสานหลังใหญ่โตขนาดนั้นคนเดียวแล้ว
แต่ก็รู้สึกปวดใจกับฟางจั๋วหรานขึ้นมาทันที ในหมู่บ้านเหลือแค่เขากับน้องชายแล้ว ไม่มีใครคอยดูแลเรื่องอาหารการกินเครื่องนุ่งห่มให้
รู้แบบนี้เธอจะไม่เลือกสมัครมหาวิทยาลัยชิงหวา เลือกมหาวิทยาลัยอู่ฮั่นตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง
ฟางจั๋วหรานลูบหัวเล็ก ๆ ของเธอ “ผมไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าคุณกับพวกคุณปู่คุณย่าจะไม่กลับเจียงเฉิงตอนปิดเทอมหน้าหน้ากับปิดเทอมฤดูร้อนสักหน่อย ถึงตอนนั้นครอบครัวของพวกเราก็พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลินม่ายยังคงไม่รู้สึกดีขึ้น
พวกเขาทั้งสองคนกินไปพลางพูดคุยไปพลาง มองข้ามสายตาที่จ้องมองพวกเขา
ไม่ต้องเอ่ยถึงจ้าวซั่วหยางที่นั่งอยู่ไม่ไกลออกไป ซึ่งขณะนี้กำลังจ้องมองฟางจั๋วหรานด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
หลังจากกินอาหารเย็นแล้ว หลินม่ายก็หยิบกุญแจเรือนสี่ประสานชุดหนึ่งให้ฟางจั๋วหราน
ให้เขาไปรับคุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และโต้วโต้วจากโรงแรมมาอยู่ที่เรือนสี่ประสาน
ฟางจั๋วหรานซื้อน้ำมันดอกคำฝอยแก้ฟกช้ำมา ส่งหลินม่ายกลับหอพัก ก่อนที่จะกลับไป
ตอนที่เขาโผล่มา รูมเมทของเธอต่างไม่กล้าพูดคุยกับเขา เพราะเขาหล่อมากเกินไป
ทันทีที่เขาไปแล้ว หญิงสาวทั้งหกก็ห้อมล้อมหลินม่ายทันที ถามว่าฟางจั๋วหรานเป็นแฟนของเธอใช่ไหม
การกระทำของฟางจั๋วหรานออกจะชัดเจนมากขนาดนี้ เด็กพวกนี้ยังจะถามอีก
หลินม่ายพยักหน้ายิ้ม ๆ “ใช่แล้ว!”
รูมเมทหลายคนรู้สึกอิจฉามาก
กัวเซี่ยงหงพนมมือตรงหน้าอกของตน “แฟนของเธอตอนที่อุ้มเธอดูหล่อมากก! หาแฟนแบบนี้ให้ฉันสักสิบคนหน่อยสิ”
หลินม่ายเขินอายเล็กน้อยกับคำพูดของหล่อน แล้วพยักหน้าให้กัวเซี่ยงหง “อย่าโลภสิ คนเดียวเธอก็ควรพอใจแล้ว เธอยังคิดจะมีถึงสิบคนอีก”
ทุกคนหัวเราะเกรียวกราว เว้นแต่หญิงสาวที่ชื่อสวีชิงหยาผู้แต่งตัวเรียบง่ายคนหนึ่งกำลังนอนขดอยู่ที่มุมเตียงราวกับเป็นคนนอก เฝ้ามองรูมเมทพูดคุยหัวเราะเฮฮา
………………………………………………………………………………………………………………………….
(1) เกาเหล่าจวง คือเมืองที่เกาชุ่ยหลานลูกสาวคนเล็กของคหบดีเศรษฐีของเมือง แม่นางที่พบรักกับตือโป๊ยก่ายอาศัยอยู่
(2) 大姨妈 เป็นภาษาพูดที่คนจีนนิยมใช้เรียกประจำเดือน
สารจากผู้แปล
อุ๊ยพี่หมอมาไงคะเนี่ย มารวดเร็วทันใจเหลือเกิน
ไหหม่า(海馬)