หากบอกว่าช่วงนี้ใครใกล้ชิดกับสวีลิ่งอี๋มากที่สุด นั่นก็คือยงอ๋อง
ตอนนี้เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็คงจะรู้สึกได้กระมัง!
สืออีเหนียงช่วยสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็นั่งลงทำซับในให้จิ่นเกอต่อ
ผ่านไปครู่หนึ่ง จิ่นเกอก็เข้ามา “ท่านแม่ ยงอ๋องมาขอรับ!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร!” สืออีเหนียงยิ้มแล้ววางเข็มกับด้ายในมือลง “ยงอ๋องมีเรื่องจะคุยกับท่านพ่อ เจ้าอย่าไปรบกวนพวกเขาเลย”
ยงอ๋องมาบ่อยๆ ก็ต้องเจอลูกพี่ลูกน้องสองสามคน สวีซื่อจุนเป็นคนอ่อนโยน สวีซื่อเจี้ยเป็นคนสุขุมขี้อาย มีแค่จิ่นเกอที่อายุน้อยที่สุด ไม่กลัวคนแปลกหน้า อีกทั้งยังสนิทกับคนง่าย ยงอ๋องจึงโปรดปรานเขา มักจะนำสิ่งของที่น่าสนใจมาให้จิ่นเกออยู่บ่อยๆ
จิ่นเกอพยักหน้า จากนั้นก็ซบหน้าลงบนหน้าตักของสืออีเหนียง พูดคุยกับมารดา “ข้าไปฝึกคัดตัวหนังสือที่ห้องหนังสือของท่านพ่อ พอเห็นองครักษ์ของยงอ๋อง ข้าเลยกลับมา ท่านแม่ขอรับ เหตุใดจู่ๆ ยงอ๋องถึงมาที่จวนเราเล่า”
“เหตุใดถึงถามเช่นนี้” สืออีเหนียงลูบผมสีดำขลับราวกับผ้าไหมของเขาอย่างเบามือ
“พวกเราอยู่ที่เยี่ยนจิงมาตลอด แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมาหาเราเลย แต่ท่านลองสังเกตดูเถิดว่าสองเดือนที่ผ่านมาเขานั้นมาหาเราบ่อยครั้ง” บนใบหน้ามีความสุขุมที่ไม่สอดคล้องกับอายุของเขา “ท่านคิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่”
ปกติมักจะคิดว่าเขายังเด็ก นิสัยก็โผงผาง คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความใส่ใจเช่นนี้ หากเป็นเรื่องอื่น สืออีเหนียงคงจะบอกเขาตรงๆ แต่เรื่องนี้นางกลับบอกเขาไม่ได้
“หากเจ้าไม่พูด แม่ก็คงไม่รู้” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาคือท่านอ๋อง บางทีเขาอาจแค่คิดขึ้นมาว่าอยากมาก็ได้”
“หากแค่คิดขึ้นมาได้ แล้วเหตุใดถึงมาบ่อยเช่นนี้เล่า” จิ่นเกอไม่เห็นด้วยกับความคิดของสืออีเหนียง “พวกเขามักจะไปคุยกันในห้องหนังสือ…” เขาพูดด้วยท่าทีที่คิดหนัก “ท่าทีก็ไม่เหมือนมีเรื่องอันใดต้องคุยกัน พูดคุยกันประเดี๋ยวก็หยุดคุย เงียบอยู่นาน แล้วยังพูดเรื่องที่ข้าฟังไม่เข้าใจสักประโยค”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เราไม่สนใจพวกเขาดีกว่า” นางเปลี่ยนเรื่อง “ใช่แล้ว ครั้งก่อนเจ้าเล่าเรื่องที่เจ้าไปเซวียนถงให้ข้าฟัง เจ้ายังเล่าไม่จบเลย ชายเฒ่าที่ขายฟืนสุดท้ายเป็นเช่นไร”
จิ่นเกอได้สติกลับมา เขาทิ้งเรื่องนี้ไปชั่วคราว “…คุณชายคนนั้นพยุงเขาขึ้นมา เห็นว่าเขามีแผลบนใบหน้า จึงมอบเงินให้เขาห้าตำลึง พอชายเฒ่าคนนั้นเห็นก็คุกเข่าลงต่อหน้าคุณชายคนนั้นทันที ขอร้องให้คุณชายคนนั้นซื้อฟืนของเขา คุณชายคนนั้นจึงมอบเงินอีกสองตำลึงให้เขา แต่ไม่เอาฟืน ชายเฒ่าขอบพระคุณเขา คุณชายคนนั้นก็เดินออกไปอย่างภาคภูมิใจ ข้าคิดว่าคุณชายคนนั้นเป็นคนใจกว้างขอรับ แต่คิดไม่ถึงว่าวันต่อมา ตอนที่เราทานข้าว ก็บังเอิญเจอกับชายเฒ่าขายฟืนคนนั้นอีกครั้ง เขาบังเอิญถูกรถม้าที่ดูเรียบง่ายชนกันอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้เขาได้แค่เงินค่ายา ไม่ได้ซื้อฟืนของเขาขอรับ…”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วมองดูจิ่นเกอ ฟังเขาเล่าเรื่องที่เจอระหว่างทางเงียบๆ นางรู้สึกทอดถอนใจ
ไม่แปลกที่ผู้คนมักจะพูดว่าอ่านหนังสือเป็นพันเล่มไม่สู้เดินทางพันลี้
จิ่นเกอออกไปข้างนอกกับสวีลิ่งอี๋สองครั้ง คนแก่และคนหลอกลวงก็เคยเจอแล้ว ถือว่าเขาได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นไม่น้อย
อีกฝั่งหนึ่งสวีลิ่งอี๋ส่งยงอ๋องออกไป ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เรียกสวีซื่อจุนไปหา
“สามารถเคลื่อนย้ายเงินในจวนได้เท่าไร”
หลังจากขึ้นปีใหม่สวีลิ่งอี๋ก็ให้สวีซื่อจุนเป็นคนดูแลเรื่องพวกนี้ กลับมาเขาก็เอาแต่ยุ่งเรื่องของสกุลโอว ไม่ได้ถามเรื่องในตระกูลตัวเองสักเท่าไร
สวีซื่อจุนแปลกใจ
เหตุใดจู่ๆ ท่านพ่อถึงถามเรื่องนี้
หรือว่าท่านพ่อขาดแคลนเงิน? แต่ท่านพ่อก็ไม่น่าจะยุ่งกับเงินของห้องซือฝัง!
ท่านพ่อมีเงินเก็บอยู่ในมือไม่ใช่หรือ
แต่ก็ไม่แน่…
ตนดูบัญชีช่วงสองสามปีที่ผ่านมาของจวน รายได้เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าของทุกปี เมื่อก่อนเพิ่มเพียงแค่สองสามหมื่นตำลึงเท่านั้น
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงยงอ๋อง ที่มักจะมาหาบิดาบ่อยๆ
ได้ยินมาว่า สองสามวันก่อนยงอ๋องสร้างลานที่สวยงาม ใช้เงินไปมากกว่าแปดแสนตำลึง
หรือว่าท่านพ่อจะนำเงินไปให้ยงอ๋องยืม?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รีบพูดทันที “สามารถเคลื่อนย้ายได้สามแสนตำลึงขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ “เหตุใดถึงเคลื่อนย้ายได้เยอะขนาดนี้ รายได้ของจวน หนึ่งปีก็แค่หกแสนตำลึง ตอนนี้พึ่งจะปลายเดือนแปด นอกจากนี้ครึ่งปีแรกยังใช้เงินไปไม่น้อย…”
สวีซื่อจุนรีบพูด “มีเงินในบัญชีสองแสนตำลึงขอรับ แต่ข้าสามารถดึงเงินส่วนตัวออกมาได้อีกหนึ่งแสนตำลึง”
ตัวเลขนี้ถึงจะค่อนข้างปกติ
“มีเงินเท่าไรกันแน่” สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “เจ้าอย่านำเงินของตัวเองมารวมกับเงินของจวน บรรดาผู้ดูแลของห้องซือฝัง ตอนที่พวกเขาทำงาน พวกเขาไม่เคยพกเงินติดตัวเลยแม้แต่ตำลึงเดียว เพราะพวกเขากลัวว่าเงินของตัวเองจะไปปะปนกับเงินของส่วนกลางแล้วทำให้บัญชีไม่ชัดเจน”
สวีซื่อจุนขานรับ “ขอรับ” จากนั้นก็พูดว่า “บนหน้าบัญชีมีเงินสองแสนหกพันสี่ร้อยสี่สิบห้าตำลึงขอรับ”
“บนหน้าบัญชี?” สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เคร่งขรึมขึ้น
สวีซื่อจุนเห็นดังนั้นก็รู้สึกหวาดกลัว “ข้าตรวจดูบัญชีอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน”
บุตรชายของตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องไว้หน้าเขา ไม่เช่นนั้น บุตรชายจะมีศักดิ์ศรีความเป็นพ่อต่อหน้าหลานได้อย่างไร
คิดเช่นนี้ น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋ก็อ่อนโยนลง “ข้าถามว่าในคลังมีเงินเท่าไร”
เงินของสกุลสวีเก็บไว้ในคลัง ไม่ใช่แค่เก็บไว้เฉยๆ แบบนั้น แต่ส่วนหนึ่งจะนำไปเก็บไว้ที่ร้านเงินที่เชื่อถือได้เพื่อให้ได้ดอกเบี้ย อีกส่วนหนึ่งก็เก็บไว้ในคลังเพื่อเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน
สวีซื่อจุนรีบพูด “หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นหกพันเก้าร้อยสามสิบสองตำลึงขอรับ”
พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าด้วยความพอใจ “ข้าอยากดึงเงินมาจากเจ้า เจ้าคิดว่าข้าดึงได้เท่าไร”
สวีซื่อจุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หากท่านพ่อขาดแคลนเงินเท่าไรก็นำออกไปได้หมดเลยขอรับ ข้าล้วนแต่กินดื่มที่จวน เงินหนึ่งแสนตำลึงก้อนนั้นที่เก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้อะไร…”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “หากไม่ใช้เงินของเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าให้ข้าได้เท่าไร”
สวีซื่อจุนครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นก็พูดด้วยความลังเล “หนึ่งแสน…สี่หมื่นตำลึงขอรับ”
เทศกาลสำคัญของช่วงครึ่งปีหลังคือวันเฉลิมพระชนมพรรษาและเทศกาลตรุษจีน เก็บเงินสองหมื่นไว้ซื้อของสำหรับวันเฉลิมพระชนมพรรษา เงินที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน สำหรับเทศกาลตรุษจีน รายได้ของปลายปีน่าจะเข้ามาในคลังแล้ว ถึงตอนนั้นก็คงมีเงินเหลือเฟือ
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
เป็นเหมือนที่เขาคิดไว้
เขาโล่งใจไม่น้อย จากนั้นก็นึกถึงยงอ๋องขึ้นมา
ยืมเงินห้าแสนตำลึง…ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร…แต่หากตัวเองนำเงินจำนวนนั้นออกมาภายในครั้งเดียว เกรงว่าสกุลสวีคงจะกลายเป็นที่จับตามอง…วิธีที่ดีที่สุดคือให้ยืมทีละนิด…ให้ทุกคนรู้ว่าเขายืมเงินสกุลสวี…
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็เอ่ยปากถามสวีซื่อจุน “เงินของร้านต้าเฟิงเฮ่าได้คืนเมื่อไร”
แย่แล้ว!
สวีซื่อจุนสมองพลันมึนงง
ช่วงเดือนสอง ราชสำนักจะส่งเงินไปที่ฝูเจี้ยนและเจ้อเจียง เงื่อนไขคือร้านที่จะทำการขนส่งต้องนำเงินมาวางมัดจำสามล้านตำลึง เงินมัดจำนี้ คือสามในสี่ส่วนของเงินทั้งหมด หากถึงตอนนั้นราชสำนักไม่ยอมคืนจะทำอย่างไร ตอนที่ร้านเงินสองสามร้านในเยี่ยนจิงกำลังลังเล ร้านต้าเฟิงเฮ่า ร้านเงินที่มาจากอานฮุย มาเปิดสาขาที่เยี่ยนจิงกลับตอบตกลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นก็ยืมเงินจากผู้มีอำนาจในเยี่ยนจิงสองสามสกุล ดอกเบี้ยรายเดือนร้อยละยี่สิบ พ่อบ้านไป๋ให้พวกเขายืมไปสองแสนตำลึง สัญญาว่าจะคืนช่วงกลางเดือนสาม ตอนนั้นท่านพ่อบอกเขาว่า ให้เขาคอยจับตาดูเรื่องนี้เอาไว้ หากกลางเดือนห้าแล้วร้านต้าเฟิงเฮ่ายังไม่นำเงินมาคืน ก็ให้รีบไปหาซุนอ๋อง ตอนนั้นเขากำลังยุ่งอยู่กับการหาร้านทำโคมไฟ…เมื่อไปตรวจบัญชีช่วงกลางเดือนห้าก็เห็นว่าร้านต้าเฟิงเฮ่าคืนเงินทั้งต้นและดอกครบหมดแล้ว เขาจึงไม่ได้คิดอะไร
ได้ยินมาว่าตอนนั้นร้านต้าเฟิงเฮ่ายืมเงินไปทั้งหมดหนึ่งล้านตำลึง
สวีซื่อจุนครุ่นคิด
ร้านนั่นคงไม่สามารถคืนเงินช่วงเดือนสามแน่นอน
หากร้านต้าเฟิงเฮ่ามีทางเลือกก็คงไม่มีทางเสนอดอกเบี้ยเยอะขนาดนั้น
แต่คืนเงินช่วงเดือนสี่หรือเดือนห้ากันแน่?
ตนจำไม่ได้จริงๆ!
แต่บิดามองเขาด้วยสายตาที่ร้อนผ่าวราวกับไฟ ทำเอาเขารู้สึกหวาดกลัว “คืนเมื่อเดือนห้าขอรับ…” พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้วแล้วเรียกพ่อบ้านไป๋เข้ามา “ร้านต้าเฟิงเฮ่าคืนเงินเมื่อไร”
พวกเขาไม่เคยไปมาหาสู่กับร้านต้าเฟิงเฮ่ามาก่อน เงินที่ยืมไปก็มีความเสี่ยง พ่อบ้านไป๋รีบพูด “ปลายเดือนสาม คืนทั้งต้นและดอกขอรับ”
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองสวีซื่อจุน
สวีซื่อจุนเหงื่อออกหน้าผาก
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า เรื่องที่ร้านต้าเฟิงเฮ่าขนส่งเงินไปฝูเจี้ยนและเจ้อเจียงคงกำลังแพร่กระจายในเยี่ยนจิงใช่หรือไม่” สวีลิ่งอี๋พูดเรื่องนี้กับพ่อบ้านไป๋ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ใช่ขอรับ!” พ่อบ้านไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม “ทันทีที่พวกเขามาเยี่ยนจิงก็ได้รับงานขนส่งเงินไปฝูเจี้ยนและเจ้อเจียง พวกเขาต้องมีคนของตัวเองอยู่ในราชสำนักแน่นอนขอรับ ยืมเงินคนอื่นหนึ่งล้านตำลึงในครั้งเดียว หายืมแต่สกุลอย่างพวกเรา เวลาเพียงเดือนเดียวก็คืนเงินทั้งต้นและดอก ได้ยินมาว่าตอนที่คืนเงิน หลายตระกูลต่างก็บอกว่า หากร้านต้าเฟิงเฮ่ามาขอยืมเงิน ถึงตอนนั้นก็ให้ตอบตกลงไปเลย พูดตามตรง เถ้าแก่ของร้านต้าเฟิงเฮ่าไม่ธรรมดาจริงๆ ขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าไปยืมเงินสองแสนตำลึงที่ร้านต้าเฟิงเฮ่ามาให้ข้า!” สวีลิ่งอี๋พูด “พยายามกดดอกเบี้ยให้ต่ำที่สุด!”
ถึงแม้ว่าพ่อบ้านไป๋จะแปลกใจ แต่เขาฟังคำสั่งของสวีลิ่งอี๋มาตลอดเลยไม่ถามอะไร ขานรับด้วยความเคารพ จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องหนังสือ
สวีลิ่งอี๋หันมามองสวีซื่อจุนด้วยสายตาที่เย็นชา “ข้าไม่อยากทำให้เจ้าเสียหน้า เช่นนั้นข้าจะไม่ถามพ่อบ้านไป๋ เจ้าบอกข้าเองเถิด ว่าช่วงนี้เจ้าเอาแต่ทำอะไร”
“ข้า ข้า…” สวีซื่อจุนหน้าซีดขาวราวกับกระดาษก็ไม่ปาน
“ทำโคมไฟอย่างนั้นหรือ” สวีลิ่งอี๋มองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
กลับมาเขาก็ได้ยินเรื่องนี้แล้ว
ก็แค่เรื่องเงินสามสี่พันตำลึง
เขาพาจิ่นเกอไปต้าถง สืออีเหนียงคงจะไม่สบายใจ สวีซื่อจุนทำเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นไท่ฮูหยินหรือว่าสืออีเหนียง พวกนางคงจะรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น สวีซื่อจุนชอบทำโคมไฟมาตั้งแต่เด็ก มีโอกาสแบบนี้ เขาคงจะดีใจ
ตนเลยไม่ซักถามอะไร
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าตนคงคิดง่ายเกินไป
เพื่อทำโคมไฟ สวีซื่อจุนไม่สนใจคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย ที่สวีซื่อจุนทำเช่นนี้เพราะอยากให้ทุกคนได้ฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างอย่างมีความสุข หรือเพื่อตอบสนองความชอบในการทำโคมไฟของตัวเองกันแน่? เกรงว่าคงไม่มีใครรู้
“ได้” สวีลิ่งอี๋ยิ้มด้วยความโมโห “ข้าไม่รู้ว่าครอบครัวของเรามีช่างทำโคมไฟกี่คน เพื่อทำโคมไฟ เจ้ากลับไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
สวีซื่อจุนพลันตัวแข็งทื่อ
เขาพูดไม่ออก
สวีลิ่งอี๋มองดูใบหน้าที่แข็งทื่อของสวีซื่อจุน เขาเองก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็สะบัดแขนแล้วเสื้อเดินออกไป