“เป็นเลิศด้านการเพ้อฝัน และบ่อยครั้งก็มักจะติดอยู่แต่ในฝันของตนเอง”
เขาไม่ได้พูดเสียงดังเลยด้วยซ้ำ แต่คำพูดของเขากลับสร้างความเสียหายได้อย่างรุนแรง
ที่สำคัญที่สุดคือเขาสามารถเอ่ยวาจาถากถางนั้นออกมาได้อย่างสง่างามอย่างยิ่ง
ใบหน้าของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์กับเซวียนปิงเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำทันทีที่ได้ยินถ้อยคำนั้น
เห็นได้ชัดว่าคำพูดราวน้ำตาลอาบยาพิษขององค์ชายทำหน้าที่ของมันได้ดีทีเดียว
นอกจากจะหมายถึงเซวียนปิงแล้ว เขายังเตือนให้ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์รู้ถึงความหน้าด้านของตัวเองที่ยืนกรานจะแต่งงานกับเขาอีกด้วย
โดยสรุปแล้ว คำคำเดียวที่สามารถใช้อธิบายพวกเขาได้ก็คือคำว่า ”ไม่แพง”!
ทุกคนมองหน้ากันทันทีที่ตระหนักได้ถึงความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา
พวกเขาตระหนักได้แล้วว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ต้องออกแรงเลยด้วยซ้ำ เพราะทั้งหมดที่เขาจำเป็นต้องใช้ก็คือคำพูดของตัวเองเท่านั้น
และ… มันยังไม่มีช่องโหว่ให้โต้กลับได้อีกด้วย!
เซวียนปิงกำมือแน่นพลางมองไปที่ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ที่จวนจะร้องไห้ออกมาเต็มที หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นเพราะลมหายใจหนักๆ ระหว่างที่กัดฟันกรอด เขาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนี้นางจะต้องพาองค์ชายสามติดตัวไปด้วย นางจะไม่มีวันถูกใครรังแกอีก เพราะศัตรูทุกคนคงถูกฝีปากอันคมกริบของเขาซัดจนหมอบก่อนจะทันได้เงื้อหมัดขึ้นสู้เสียอีก
“เดี๋ยวเราก็จะได้รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝันจริงหรือไม่” ซงเจิ้งเหวินเหรินหัวเราะเย็นชา ”เซวียนปิง ในเมื่อพระชายาสามไม่ต้องการให้เจ้าออมมือให้ เช่นนั้นเจ้าก็แสดงให้นางเห็นเสียว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตัวจริงเสียงจริงเป็นเช่นใด”
“พ่ะย่ะค่ะ” เซวียนปิงหันกลับไปเผชิญหน้ากับนางพร้อมกับแผ่พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งออกมา เขาเพ่งสมาธิไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย และมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่งว่าชัยชนะในครั้งนี้จะต้องเป็นของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนประจำตำแหน่งตามที่กติกากำหนด บนใบหน้าเรียบเฉยของนางไม่ปรากฏสีหน้าใด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้นิ้วเรียวงดงามไร้ที่ติและเล็บที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีถือถ้วยชาด้วยท่าทางสง่างาม แหวนสีดำที่นิ้วของเขาส่องแสงวาววับและสะท้อนแสงเป็นประกายราวกับหิมะในทุกครั้งที่เขาขยับตัว แหวนวงนั้นดูเหมือนจะทำมาจากหยก
เหล่าเสนาบดียังคงรู้สึกกังวลอยู่ สายตาของทุกคนจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับกระซิบกระซาบกันว่า ”เจ้าคิดว่าพระชายาสามจะทำได้จริงๆ หรือ”
“ไม่รู้เหมือนกัน” แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่รู้ ใครเล่าจะกล้าอัญเชิญยมทูตออกมา
จะมีก็แต่เพียงเด็กหนุ่มเท่านั้นที่หน้าซีดเล็กน้อย ”พระชายาไม่ได้อยู่ในท่ายืนที่ถูกต้องด้วยซ้ำ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เสนาบดีเหล่านั้นสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
เด็กหนุ่มประสานมือเข้าหากันแน่น ”ข้าเคยเห็นผู้อาวุโสอัญเชิญยมทูตมาก่อนขอรับ เขาจะถือยันต์ไว้ในมือซ้าย และถือกระบี่ไว้ในมือขวาระหว่างร่ายคาถาอัญเชิญ นั่นคือขั้นตอนในการอัญเชิญยมทูต แต่พระชายา…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีแม้กระทั่งยันต์สีเหลืองอยู่ในมือด้วยซ้ำ!
นางเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น เสื้อคลุมตัวยาวอันว่างเปล่าของนางสะบัดอยู่ในสายลม
เซวียนปิงหัวเราะเยาะเมื่อเห็นนาง ”พระชายาสามคงไม่มีประสบการณ์ในการอัญเชิญยมทูตมาก่อน ท่านดูเหมือนไม่รู้ขั้นตอนเลยด้วยซ้ำ อยากให้กระหม่อมสอนให้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของเซวียนปิงทำให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ หัวเราะออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยกวาดตามองพวกเขาเล็กน้อยขณะเอ่ยว่า ”อย่างไรพวกท่านก็เป็นแขกจากแดนไกล พวกเราย่อมต่อให้แขกของเราก่อนอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ใช้ยันต์”
คำพูดนี้ทำให้เซวียนปิงเยาะยิ้ม ”กระหม่อมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีใครสามารถอัญเชิญยมทูตออกมาได้โดยไม่ใช้ยันต์ผ้าเหลือง คำโกหกของพระชายาช่างฟังดูสวยหรูยิ่งนัก”
“สวยหรูหรือ นางก็แค่โม้เพื่อกลบเกลื่อนฝีมือตัวเองต่างหาก” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองหวงจื่อมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยท่าทางดูถูก ”นางคงคิดว่าตัวเองวิเศษนักหนาเพียงเพราะสามารถร่ายคาถาเก้าอักขระได้”
เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกกระวนกระวายเมื่อได้ยินบทสนทนานั้น ”ทำไมพระชายาถึงไม่ใช้ยันต์ผ้าเหลืองล่ะ!?”
“มันจำเป็นต้องใช้หรือ” เสนาบดีหลายคนไม่มีความรู้เกี่ยวกับการขับไล่วิญญาณร้าย แต่พวกเขาก็พอจะรู้ถึงความสำคัญของมันผ่านบทสนทนานั้น
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแหลมสูงด้วยความตื่นตระหนก ”นางจำเป็นต้องใช้มันขอรับ! นอกจากจะใช้เพื่ออัญเชิญยมทูตแล้ว มันยังเป็นทางเดียวที่จะส่งพวกเขากลับไปได้ หากไม่มียันต์ ยมทูตจะคลุ้มคลั่งขอรับ!”
ผู้อาวุโสซวีอู๋ยิ้มอยู่ข้างสนามประลอง แล้วจึงเอ่ยแสดงความเห็นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงถากถางว่า ”เฮ้อ… พระชายาสามใจกล้าดีทีเดียว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อู่จิ้งก็ผุดลุกขึ้นทันที ”ฝ่าบาท พวกเราส่งคนลงไปแข่งแทนพระชายาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ถ้าเราต้องสังเวยใครสักคน มันก็ควรเป็นบุรุษเช่นพวกเราพ่ะย่ะค่ะ เราจะอยู่เฉยๆ ยอมให้สตรีมาปกป้องตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร”
ระหว่างที่พูด สายตาของอู่จิ้งก็กวาดมองไปยังบรรดาขุนนางอาวุโสที่รู้จักแต่เพียงพูดจาไร้ความรับผิดชอบเหล่านั้น เขายิ่งกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
ผู้อาวุโสซวีอู๋กับซงเจิ้งเหวินเหรินมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น มุมปากของพวกเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เวลานี้เมื่อพวกเขาแสดงความเหนือชั้นกว่าออกมาให้เห็น จักรวรรดิจ้านหลงก็ควรจะได้สำนึกเสียใจกับการกระทำของตัวเอง!
แต่พวกเขากลับนึกไม่ถึงว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”นางไม่ได้ออกนอกวังมาพักใหญ่ ดังนั้นนางก็เลยคันไม้คันมืออยากสู้จนแทบทนไม่ไหว ในเมื่อคู่ต่อสู้ของเราเสนอตัวมาให้นาง เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางลองสู้ดูสักตั้งก็แล้วกัน”
ผู้อาวุโสซวีอู๋และซงเจิ้งเหวินเหรินตกตะลึง อะไรนะ ลองดูหรือ?! พวกเขาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แมวหรือสุนัขจรจัด!!! และย่อมไม่ใช่กระสอบทรายให้ใครซ้อมอีกด้วย!!!
อู่จิ้งเองก็นึกไม่ถึงว่าองค์ชายของเขาจะพูดเช่นนั้นออกมา คำพูดนั้นทำให้เขาหันหน้ากลับไปมองด้วยความตกใจ
เป็นอย่างที่คิด ไม่ใช่แค่คนจากเมืองเซวียนหยวน แต่ผู้แทนคนอื่นๆ จากเมืองข้างเคียงอีกสองเมืองก็ยังหน้าแดงก่ำ พวกเขาล้วนแต่โกรธจนควันออกหู
ทุกคนยืนขึ้นแล้วตะโกนบอกผู้ขับไล่วิญญาณร้ายของตัวเองที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับพิธีอัญเชิญอยู่ว่า ”ออกไปนำชัยชนะมาให้เราซะ!” พวกเขาอยากเห็นนักว่าสุดท้ายใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายต้องอับอาย!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเข้าประจำที่ พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น
เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มขององค์ชาย คนฉลาดอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมรู้ได้ในทันทีว่าเขาคงพูดอะไรเป็นการยั่วโมโหทุกคนเข้า
เฮ้อ…
มีสามีที่ปากคอเราะร้ายเช่นนี้ นางจำเป็นต้องมีความสามารถในการต่อสู้
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนึ่งในผู้เล่นวีดีโอเกมที่มักจะต้องสู้กับบอสอยู่บ่อยๆ ขณะที่นางสู้ไม่ถอยอยู่ในแนวหน้า องค์ชายกลับเพียงแค่เดินตามอยู่ข้างหลังด้วยท่วงท่าสง่างามและไม่แยแสต่อสิ่งใด และบางครั้งบางคราวเขาก็จะสร้างศัตรูเพิ่มให้กับนาง
ช่างมันเถอะ รู้หรือเปล่าว่าทำไมนางถึงได้ยอมสวมบทเป็นประธานจอมเผด็จการในความสัมพันธ์นี้
เพราะการต่อสู้แบบถึงเนื้อถึงตัวเช่นนี้เป็นงานของนางอยู่แล้ว
ส่วนคนที่งดงามอย่างองค์ชายก็ควรใช้เสน่ห์ของตัวเองทำให้ทุกคนหลงใหล
นางจะเป็นคนสู้ ส่วนเขาจะเป็นสาวงาม
ใช่ พวกนางล้วนแต่มีบทบาทที่ตัวเองต้องสวม มันแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
ความคิดนี้ยิ่งทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเกิดแรงจูงใจ
เพราะคุณสมบัติหนึ่งที่จำเป็นสำหรับประธานจอมเผด็จการก็คือการทำให้คนรักของตัวเองใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย!
แล้วจะไม่ให้นางรู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไร
ดีที่เฮยเจ๋อไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าเขาได้ยินความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาจะต้องกระอักเลือดออกมาอย่างแน่นอน!
น้องสาวผู้แสนโง่เขลาของเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองอยู่ตำแหน่งไหนในความสัมพันธ์นี้ แม้กระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้!
ช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก!
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาของเขาสลับตำแหน่งกันให้สตรีสู้ศึกอยู่แนวหน้า ในขณะที่บุรุษรับบทเป็นสาวงาม?!!!
น่าเสียดายที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคงไม่มีวันได้ยินความคิดของเฮยเจ๋อ
“เอาล่ะ พวกเจ้าจะทำพิธีอัญเชิญกันทีละคนโดยเรียงตามลำดับจากซ้ายไปขวา และใช้กติกาเดียวกันกับก่อนหน้านี้ คนที่ทำเวลาได้ดีที่สุดจะเป็นผู้ชนะ” ผู้อาวุโสซวีอู๋ประกาศกติกาการประลอง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก ”ข้าขอเตือนทุกคนว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในยกนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถจัดการได้โดยง่าย ถ้าบางคนไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการกับมันได้ ถอนตัวออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เสียดีกว่า”
ทุกคนรู้ว่าคำพูดของผู้อาวุโสซวีอู๋หมายถึงใคร สายตาของพวกเขาจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย บ้างก็เต็มไปด้วยความกังวล แต่บ้างก็เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม…