ตอนที่ 665 สมรู้ร่วมคิด
สีหน้าของพ่อไป๋ดูโล่งใจ “ตำรวจจับหัวขโมยได้แล้วเหรอ? งั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้วล่ะ!”
สิ้นเสียงกล่าว เขาก็เดินไปจ่ายค่าแท็กซี่ ก่อนที่คนขับแท็กซี่จะขับรถออกไป
ป้าโหยวมองไป๋ซวงด้วยสายตาแปลกๆ “มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก ดังนั้นรีบไปสถานีตำรวจกันเถอะ” หลังจากพูดจบ หล่อนก็เดินกลับเข้าบ้านไป
พ่อไป๋หันไปพูดกับหลินม่าย “กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนเถอะ พ่อจะไปดูที่สถานีตำรวจเอง”
พี่น้องไป๋ลู่และไป๋เซี่ยโวยวายจะไปสถานีตำรวจด้วย เพื่อดูหน้าโจรด้วยตัวเอง
ในท้ายที่สุด ทุกคนก็เดินทางไปยังสถานีตำรวจ ยกเว้นเพียงไป๋ซวงที่บอกว่าเหนื่อยและไม่อยากไป
ส่วนแม่ไป๋ตามไปยังสถานีตำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หล่อนต้องการดูว่าใครเป็นโจร ถึงขนาดกล้ามายังบ้านผู้อำนวยการธนาคารเพื่อลักทรัพย์
พ่อไป๋และหลินม่ายรู้ดีว่าใครคือโจรพวกนั้น พวกเขาแค่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามขโมยสิ่งใดไป และตำรวจจะจัดการกับพวกนั้นอย่างไร
เมื่อพวกเขามาถึงสถานีตำรวจ หลินม่ายและคนอื่นๆ พบว่าหัวขโมยก็คือหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยา พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของไป๋ซวง
เมื่อหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาเห็นพ่อไป๋พร้อมกับคนอื่นๆ พวกเขาทั้งสองก็ก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด
แม่ไป๋ประหลาดใจมากจนดวงตาแทบถลนออกมา เธอเฝ้าถามครั้งแล้วครั้งเล่า “ทำไมถึงเป็นพวกคุณได้ล่ะ?”
ทั้งหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป
ไป๋เซี่ยหัวเราะเยาะ “คนหนุ่มสาวขโมยสร้อยทองคำ ส่วนคนแก่เฒ่าก็ขึ้นบ้านคนอื่นเพื่อลักทรัพย์ สายเลือดหัวขโมยถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไม่น่าแปลกใจเลย”
ตำรวจถามขึ้นด้วยเสียงเฉียบคม “โจรที่ไหนขโมยสร้อยทองคำครับ? โปรดอธิบายให้ชัดเจน”
แม่ไป๋ตื่นตระหนก รีบดุไป๋เซี่ยอย่างรุนแรง “อย่ามาพูดไร้สาระนะ!”
ไป๋เซี่ยพ่นลมหายใจเย็นชาและหยุดพูด
อย่างไรก็ตามสมาชิกครอบครัวทั้งสามของไป๋ซวงก็ไม่สามารถหนีรอดออกไปได้ เขาไม่จำเป็นต้องพูดถึงสร้อยทองคำด้วยซ้ำ
พ่อไป๋ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ก่อนถามตำรวจไปว่า “คุณตำรวจครับ ทั้งสองคนบุกเข้าไปในบ้านได้อย่างไร? เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ช่วยเล่ารายละเอียดให้เราฟังหน่อยได้ไหมครับ?”
“ได้ครับ” ตำรวจขอให้พวกเขานั่งลงก่อน และเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
ไม่นานหลังจากที่ครอบครัวของพ่อไป๋ออกจากบ้านวันนี้ ตำรวจได้รับโทรศัพท์แจ้งว่ามีคนบุกรุกเข้าไปในบ้าน และที่อยู่ที่ได้รับแจ้งมาคือบ้านของตระกูลไป๋
ทางสถานีตำรวจรีบส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายไปตรวจสอบ
แต่ประตูหน้าบ้านถูกปิดไว้ พวกเขาจึงเข้าไปไม่ได้
ตำรวจได้เชิญตัวคณะของป้าโหยวล้อมบ้านตระกูลไป๋ เพื่อป้องกันโจรหลบหนีออกทางหน้าต่าง จากนั้นพวกเขาจึงพังประตูบุกเข้าไป
จากนั้นจึงพบชายหญิงวัยกลางคนกำลังเดินออกจากห้องนอนแม่ไป๋พร้อมกระเป๋าสะพายใบเขื่องหลายใบ ตำรวจจึงเข้าจับกุมพวกเขาทันที
พบของกลางเป็นสมุดบัญชีเงินฝากหลายเล่ม เงินสดจำนวนมาก และเสื้อผ้ามีราคาอีกหลายถุง
หลินม่ายถามด้วยความสนใจ “โจรสองคนนี้จะติดคุกนานแค่ไหนคะ ข้อหาขโมยทรัพย์สินจำนวนมากขนาดนี้?”
ตำรวจตอบกลับ “โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ประมาณสามถึงห้าปี”
หลินม่ายประหลาดใจ ในตอนนั้นพ่อไป๋ทำให้หลินเพ่ยยอมรับว่าขโมยเงินห้าพันหยวน และถูกตัดสินจำคุกสามปี
ทำไมหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาถึงถูกตัดสินให้รับโทษสถานเบาขนาดนี้?
เขาและภรรยาขโมยเงินจำนวนมากกว่ากรณีของหลินเพ่ยหลายเท่า
หลินม่ายนึกสงสัยอยู่ในใจ
ตำรวจอธิบายอย่างใจเย็น
แม้ว่าเงินฝากในสมุดบัญชีเงินฝากจะสูงถึงหลายหมื่นหยวน แต่เพราะยังไม่ได้ถอนออกมา เงินส่วนนี้จึงไม่สามารถนำไปเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
ส่วนเงินสดที่ถูกขโมยไปเป็นจำนวนหนึ่งพันกว่าหยวน รวมกับเสื้อผ้าพวกนั้น อย่างมากก็ไม่เกินสามพันหยวน
ในคดีลักทรัพย์จะตัดสินโทษจากจำนวนเงินและของกลาง จึงไม่แปลกใจที่ศาลจะพิพากษาจำคุกหลินเพ่ยถึงสามปีในคราวนั้น
หลินม่ายรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
คงจะดีไม่น้อยหากสัตว์เดรัจฉานคู่นี้ถูกตัดสินจำคุกแปดถึงสิบปี เพื่อให้สมกับความทุกข์ทรมานที่เธอได้รับตลอดมาในตระกูลหลิน
หลินเจี้ยนกั๋วเงยหน้าขึ้นและพูดกับตำรวจด้วยสีหน้าโศกเศร้า “เราได้สารภาพและเปิดโปงผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้ว เรื่องนี้จะพอลดโทษได้หรือเปล่า?”
ตำรวจพยักหน้า “เป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าศาลจะตัดสินอย่างไรอีกทีครับ”
พ่อไป๋ได้ยินแบบนั้นจึงถามออกไป “ใครคือผู้สมรู้ร่วมคิดหรือครับ?”
ตำรวจตอบ “พวกเขาสารภาพว่าเป็นไป๋ซวง ลูกสาวแท้ๆ ของพวกเขา”
พ่อไป๋หันกลับมาพูดกับแม่ไป๋อย่างประชดประชัน “ปรากฏว่าลูกสาวบุญธรรมของคุณสมรู้ร่วมคิดกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของหล่อน เพื่อมาขโมยของในบ้านเรานี่เอง”
แม่ไป๋เมินเฉยต่อคำเย้ยหยันของอีกฝ่าย หล่อนกรีดร้อง “ไม่ใช่ซวงเอ๋อร์ พวกเขาต้องใส่ร้ายซวงเอ๋อร์แน่!”
ทั้งหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยายืนยันเป็นเสียงเดียวกัน “ไป๋ซวงสั่งให้เราทำสิ่งนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าครอบครัวของคุณกำลังออกไปข้างนอกวันนี้? แล้วเราจะรู้หรือว่าสมุดบัญชีเงินฝากและเงินสดของคุณถูกเก็บไว้ที่ไหน ทั้งหมดคือสิ่งที่ไป๋ซวงบอกกับเรา”
หลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาไม่ได้มีความสัมพันธ์พิเศษกับไป๋ซวง พวกเขาไม่เพียงทรยศหล่อนอย่างไม่รู้สึกผิด ตรงกันข้ามกลับแค้นเคืองอย่างถึงที่สุด
ทั้งหมดเป็นความผิดของเด็กสาวอสรพิษคนนี้ หล่อนเป็นคนขุดหลุมและทำให้พวกเขาต้องถูกจำคุก
เช่นนั้นหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาจะยอมทนทุกข์โดยไม่พูดเปิดโปงอีกฝ่ายได้อย่างไร พวกเขาต้องการลากไป๋ซวงผู้บงการลงมาเพื่อลดโทษให้กับตัวเอง
แม่ไป๋มีท่าทางตื่นตกใจอย่างมาก พึมพำกับตัวเอง “ซวงเอ๋อร์ไม่มีทางทำแบบนั้น หล่อนจะต้องถูกบังคับ”
ตำรวจทำบันทึกให้กับพ่อไป๋ พวกเขาจะไปที่บ้านตระกูลไป๋เพื่อจับกุมไป๋ซวง และนำหล่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
แต่แม่ไป๋ขอให้ตำรวจทำบันทึกให้หล่อนแทน
หล่อนเปิดเผยว่าหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยามาหาตน โดยขอให้ตนดูแลหลินม่าย
แม่ไป๋กล่าวว่า “สามีภรรยาคู่นี้เห็นแก่เงินมาก เพราะพวกเขาไม่ได้รับเงินจากเรา พวกเขาจึงไปบีบบังคับและหลอกล่อซวงเอ๋อร์ให้ร่วมมือด้วย คุณตำรวจ ห้ามจับกุมคนผิดนะคะ!”
หลินม่ายอุ้มโต้วโต้ว ขณะที่ฟางจั๋วหรานยืนอยู่ด้านข้าง พลางคิดกับตัวเองว่า แม่ไป๋พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องไป๋ซวง
ไม่รู้เลยว่าไป๋ซวงจะถูกจับกุมหรือไม่ และจะตอบแทนแม่ไป๋ในอนาคตหรือเปล่า
แต่ก็ไม่แน่นัก ครอบครัวหลินนั้นร้ายกาจมาก ไป๋ซวงจะยอมตอบแทนแม่ไป๋ได้อย่างไร ถ้าไป๋ซวงไม่แว้งกัดแม่ไป๋ก็นับว่าโชคดีแล้ว
ตำรวจนายหนึ่งพูดขึ้น “อย่าห่วงเลยครับ เราจะไม่จับกุมคนดี หรือปล่อยให้คนชั่วลอยนวล”
หลังจากบันทึกปากคำของแม่ไป๋แล้ว ตำรวจก็เดินทางไปยังบ้านตระกูลไป๋พร้อมกับทุกคนเพื่อจับกุมไป๋ซวง
เมื่อเห็นว่าสมาชิกในครอบครัวหลินม่ายยังคงติดตามมา สีหน้าของแม่ไป๋ก็แปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียด “ทำไมยังไม่กลับบ้านตัวเองไปอีก?”
หล่อนไม่ต้องการให้หลินม่ายติดตามมาและเห็นสภาพอันน่าเวทนาของไป๋ซวงขณะถูกจับกุม
พ่อไป๋รู้สึกไม่พอใจ จึงพูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ “บ้านของผมคือบ้านของเสวี่ยเป่าเหมือนกัน ลูกสาวบุญธรรมของคุณอาศัยอยู่ในบ้านของผมได้ แล้วทำไมครอบครัวของเสวี่ยเป่าทั้งสามจะอยู่บ้านผมไม่ได้?”
แม่ไป๋ถูกพ่อไป๋พูดขัดคอ จึงทำได้เพียงปิดปากและจ้องไปทางหลินม่ายอย่างขมขื่น
หลินม่ายถามออกไปด้วยท่าทางเฉยเมย “คุณเกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอคะ? ถึงได้มองฉันด้วยสายตาแบบนั้น?”
เมื่อทุกคนได้ยินถ้อยคำดังกล่าว พวกเขาก็หันมองไปทางแม่ไป๋เป็นตาเดียว
ก่อนที่หล่อนจะขจัดความขยะแขยงและความเกลียดชังที่มีต่อหลินม่ายในสายตาตัวเองได้ ทุกคนก็ได้เห็นสิ่งนี้ทั้งหมดแล้ว
แม่ไป๋อับอายมากจนอยากแทรกแผ่นดินหนีโดยเร็วที่สุด
พ่อไป๋อุ้มโต้วโต้วและพูดกับหลินม่ายว่า “อย่าไปสนใจหล่อนเลย เราทุกคนต่างก็รักลูกนะ”
หลินม่ายพยักหน้ารับรู้
ไป๋ซวงที่อยู่บ้านเพียงลำพังรู้สึกตื่นตระหนกทันใดเมื่อได้ยินเสียงดังจากประตูหน้าบ้าน
หล่อนออกจากห้องด้วยความหวาดกลัว และยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นเมื่อเห็นพ่อไป๋และคนอื่นๆ พาตำรวจสองนายกลับมาด้วย
พ่อไป๋ชี้ไปทางไป๋ซวงและพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายว่า “หล่อนคือไป๋ซวงครับ”
ใบหน้าของไป๋ซวงซีดเซียวลงถนัดตา
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายเดินตรงไปหาไป๋ซวง หนึ่งในนั้นพูดกับหล่อนว่า “คุณไป๋ซวง คุณถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับคดีลักทรัพย์ โปรดตามเรากลับไปยังสถานีตำรวจเพื่อให้ความร่วมมือในการสอบสวนด้วยครับ”
แต่ก่อนที่ไป๋ซวงจะทันได้ตอบกลับสิ่งใด ตำรวจอีกนายก็สวมกุญแจมือให้กับหล่อนอย่างรวดเร็ว
ไป๋ซวงตกใจมากจนร้องไห้ออกมาพลางกรีดร้องโวยวาย ดิ้นพล่านอย่างสิ้นหวังและร้องขอให้แม่ไป๋ช่วย หากใครที่ไม่รู้เรื่องราวมาเห็นสิ่งนี้ คงคิดว่าเธอกำลังถูกนำไปยังลานประหารเพื่อรับตะกั่วเงิน
แม่ไป๋คิดเข้าไปขวางทางเพื่อช่วยเหลือไป๋ซวง
ตำรวจนายหนึ่งจึงถามขึ้นทันทีว่า “คุณอยากถูกจับด้วยข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หรืออย่างไรครับ?”
เมื่อแม่ไป๋ได้ยินแบบนั้น หล่อนพลันตื่นตระหนกและทำได้เพียงเฝ้ามองเจ้าหน้าที่ตำรวจพาลูกสาวของตนออกไป
ภาพของไป๋ซวงถูกตำรวจใส่กุญแจมือและนำตัวขึ้นรถตกอยู่ในสายตาของเพื่อนบ้านหลายคน
ทุกคนกระซิบกระซาบ “พ่อแม่แท้ๆ ของไป๋ซวงเป็นโจรที่ขึ้นบ้านตระกูลไป๋เมื่อเช้านี้ และตอนนี้ไป๋ซวงก็ถูกจับกุมไปสอบสวน ฉันเชื่อแปดในสิบเลยว่าไป๋ซวงสมรู้ร่วมคิดกับพ่อแม่ของหล่อน ไม่อย่างนั้นไป๋ซวงคงไม่ถูกจับ”
“เรื่องนี้คงจะจริงแล้วล่ะ ไป๋ซวงเคยขโมยสร้อยทองของแม่บุญธรรมมาก่อน ตอนนี้ยังร่วมมือกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเพื่อยกเค้าบ้านตระกูลไป๋ ลูกสาวบุญธรรมที่ชั่วร้ายแบบนี้ เป็นฉันคงไล่มันออกจากบ้านไปนานแล้ว มีเพียงเสี่ยวหลัวเท่านั้นที่ยังคิดว่ามันเป็นลูกรัก”
“ใช่ๆ เป็นถึงครูแต่กลับแยกแยะถูกผิดไม่ได้ หล่อนคงป่วยทางสมองจนกลายเป็นคนโง่เขลาไปเสียแล้ว” เพื่อนบ้านหลายคนออกความคิดเห็น
แม่ไป๋ที่ตามออกมาส่งไป๋ซวงผู้ถูกนำตัวขึ้นรถตำรวจรู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่ได้ยินคำติฉินนินทาเหล่านี้
ซวงเอ๋อร์ขโมยเครื่องประดับทองของหล่อน ร่วมมือกับพ่อแม่ลักทรัพย์ในบ้านตระกูลไป๋ หล่อนถูกบีบบังคับให้ต้องทำ ทำไมคนเหล่านั้นถึงไม่เข้าใจความยากลำบากของซวงเอ๋อร์เสียเลย
แม่ไป๋ทนไม่ได้ที่เพื่อนบ้านมารวมตัวกันและกล่าวหาว่าหล่อนโง่เขลา ทนไม่ได้กับการถูกเยาะเย้ยและถากถางใส่แบบนั้น หล่อนจึงหันหลังกลับและเดินเข้าไปในบ้าน
พ่อไป๋กวักมือเรียกหล่อนเข้าไปในห้องนั่งเล่น
แม่ไป๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินตามเข้าไป
พ่อไป๋วางข้อตกลงการหย่าร้างที่เขาเตรียมไว้เมื่อนานมาแล้วลงบนโต๊ะกาแฟ ก่อนพูดกับหล่อนด้วยเสียงเรียบเฉย “คุณลงชื่อซะ ผมจะได้ลางานวันพรุ่งนี้เพื่อจัดการเรื่องการหย่าให้แล้วเสร็จ”
ไป๋ซวงถูกพาไปสถานีตำรวจ ทำให้แม่ไป๋อารมณ์ขุ่นมัว ด้วยไม่มีใครในครอบครัวที่ปลอบโยนหล่อนเลย แถมสามีที่รักยังโยนข้อตกลงการหย่าร้างอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวว่าต้องการหย่ากับหล่อนจริงๆ อีก
แม่ไป๋จึงทนไม่ได้อีกต่อไปและสูญเสียความสามารถในการควบคุมอารมณ์
หล่อนชี้หน้าพ่อไป๋และตะคอกใส่ “ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าจิตใจของคุณจะเลวทรามขนาดนี้ คุณต้องการหย่ากับฉันทันทีที่พวกเขานำตัวซวงเอ๋อร์ไป! นี่ไม่ต่างจากการใช้มีดแทงอกของฉันเลยสักนิด!”
พ่อไป๋มองหล่อนอย่างใจเย็น “ผมไม่ได้แทงคุณสักหน่อย คุณไม่ต้องมาทำท่าเหมือนจะกระอักเลือดหรอก! คุณนั่นแหละที่เป็นคนทำร้ายเสวี่ยเป่าบ่อยครั้ง เพื่อปกป้องลูกสาวบุญธรรมของตัวเอง แล้วยังใส่ร้ายป้ายสีผม พยายามทำลายอนาคตของผม คุณลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้วเหรอ?”
แม่ไป๋แทบปิดปากของตัวเองทันที
พ่อไป๋เลื่อนกระดาษข้อตกลงการหย่าร้างไปตรงหน้าแม่ไป๋ “ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ ถ้าลูกสาวบุญธรรมของคุณกล้าทำผิดอีก ผมจะไล่หล่อนออกจากบ้าน และถ้าคุณปกป้องหล่อน เราจะหย่ากัน แล้วยังไง? คุณคงไม่ได้เข้าใจผิดคิดว่าข้อตกลงเหล่านั้นเป็นเรื่องขำขันใช่ไหม?”
พ่อไป๋ถามหล่อนด้วยความหวังสุดท้าย “คุณจะยอมแพ้เรื่องไป๋ซวงได้ไหม? ถ้าคุณปล่อยไป๋ซวงไปตามทางของหล่อนได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องหย่าขาดกัน”
หลังจากอยู่กันฉันท์สามีภรรยาร่วมหลายสิบปี แม้ว่าแม่ไป๋จะทำร้ายเขาอย่างไม่น่าให้อภัย แต่พ่อไป๋ก็ยังอยากให้โอกาสหล่อนเป็นครั้งสุดท้าย
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ยังไงคะแม่ไป๋ สามีให้โอกาสขนาดนี้แล้ว จะรับไหม? ถ้าไม่รับก็เซ็นหย่าไปจบๆ แล้วปล่อยให้เขามีชีวิตที่ดีโดยไม่ต้องมีภรรยาโง่แบบนี้
ไหหม่า(海馬)