“ค่อยๆ คืนก็ได้ แต่ตอนนี้เงินที่เขายืมกรมพระราชวังหกแสนตำลึงยังคืนไม่หมดเลย!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เหอเฉิงปี้ได้รับชัยชนะที่ฝูเจี้ยน ฮ่องเต้อยากถือโอกาสเสริมการป้องกันตอนใต้ ปีก่อนเขื่อนแม่น้ำหวงเหอแตก ปีนี้เกิดภัยแล้งที่เจ้อเจียง ฮ่องเต้ต้องใช้เงินจำนวนมากมาย หนี้บัญชีเก่าของยงอ๋องค่อยๆ คืนได้ แต่ตอนนี้เขาจะยืมเงินได้จากที่ไหน”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “ยงอ๋องยืมแบบเปิดเผยหรือแอบยืมเจ้าคะ”
หากยืมแบบเปิดเผย ก็แสดงว่าอยากให้ฮ่องเต้รู้ว่าเขาไม่มีเงิน แต่หากแอบยืม สวีลิ่งอี๋ให้เขายืมเงินจำนวนมากขนาดนี้ในคราวเดียว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะสงสัยสถานะทางการเงินของสกุลสวีหรือไม่
“แน่นอนว่าต้องยืมอย่างเปิดเผย” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “ข้านำเงินสองแสนตำลึงออกมา ยืมเงินมาจากร้านเงินสองแสนตำลึง ยืมมาจากญาติสนิทมิตรสหายอีกหนึ่งแสน เช่นนี้ก็ถือว่าไม่มากเท่าไร”
สืออีเหนียงรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร “เงินจำนวนมากขนาดนี้ ท่านให้ยงอ๋องยืมเช่นนี้ ฮ่องเต้จะไม่พอพระทัยแล้วสั่งให้ท่านบริจาคเงินอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“บริจาคก็บริจาค” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงตอนนั้นก็ขายที่ดินและร้านค้าของข้าในต้าซิ่งและเยี่ยนจิงให้หมด”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้กระมัง!” สืออีเหนียงตกใจ “ร้านค้าในเยี่ยนจิงอยู่ที่ถนนตงต้าและถนนซีต้า หากขายไป ต่อไปมีเงินมากแค่ไหนก็คงจะซื้อคืนมาไม่ได้”
“ข้ากลัวเขาไม่บังคับให้ข้าขายมากกว่า!” สวีลิ่งอี๋ไม่สนใจ “ของเก่าไม่ไปของใหม่ไม่มา เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เราไม่เสียเปรียบแน่นอน”
พวกเขาสองคนพูดคุยกันอยู่ที่นี่ เจียงซื่อไปถึงห้องหนังสือของสวีซื่อเจี้ยแล้ว
“ท่านพี่เป็นอะไรไปเจ้าคะ” นางนั่งข้างเตียงแล้วยื่นมือออกไปแตะหน้าผากสวีซื่อจุน “ไม่สบายตรงไหนหรือ”
“ข้าไม่เป็นอะไร” สวีซื่อจุนคิดไม่ถึงว่าเจียงซื่อจะมาหาเขาด้วยตัวเอง รีบลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน “ไม่ได้เจอน้องห้านานแล้วเลยมาพูดคุยกับน้องห้า คิดไม่ถึงว่าจะเผลอหลับไป” พูดจบเขาก็หัวเราะ
“ช่วงนี้ท่านพี่เอาแต่ช่วยท่านพ่อจัดการเรื่องในจวน คิดว่าคงจะเหนื่อยกระมัง” เจียงซื่อยิ้มแล้วหันไปเรียกเป่าจู “ไปชงชาโสมมาให้คุณชายน้อยสี่”
“ไม่เป็นไร” สวีซื่อจุนพูด “นี่มันเรือนของน้องห้า!”
“ก็จริง” เจียงซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ เช่นนั้นเรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ!”
สวีซื่อจุนไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อ เขากลับไปที่เรือนกับเจียงซื่อ
เจียงซื่อไปชงชาโสมด้วยตัวเอง จากนั้นก็นั่งดูสวีซื่อจุนดื่มชาด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพี่เจ้าคะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่เก้าเดือนเก้าแล้ว วันนั้นของทุกปีที่จวนฉลองกันอย่างไรหรือ”
สวีซื่อจุนเห็นนางพูดเป็นนัย เขาจึงพูดว่า “เจ้ามีความคิดเห็นอะไรหรือไม่” เขามองไปที่ท้องของนาง
“ข้าท้องโตแบบนี้ แน่นอนว่าต้องอยู่ที่เรือน ไม่ควรทำให้ท่านย่ากับท่านแม่เป็นห่วง” เจียงซื่อพูดต่อไปว่า “ข้าแค่คิดว่า หากในจวนไม่มีอะไรพิเศษ ไม่สู้เราเชิญท่านย่า ท่านแม่ แล้วยังมีท่านอาสะใภ้ห้าและพี่สะใภ้ใหญ่ที่ตรอกซานจิ่งมาชมดอกเบญจมาศ ทานปูที่จวน ท่านคิดเห็นอย่างไรเล่า”
สวีซื่อจุนลังเล
เมื่อครู่พึ่งจะถูกท่านพ่อตำหนิ แต่เขากลับจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ ไม่ไตร่ตรองตัวเองให้ดี หากท่านพ่อรู้เข้า เกรงว่าท่านพ่อคงจะโมโหมากกว่าเดิม
เจียงซื่อเห็นท่าทางของเขา
แต่นางก็มีเจตนาของนาง
“ท่านพี่คิดว่าไม่ดีอย่างนั้นหรือ” เจียงซื่อยิ้ม “เลี้ยงญาติผู้ใหญ่ในเทศกาลฉงหยางนับว่าคือเรื่องที่ดีที่สุด ข้าได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่บอกว่า หลังจากเทศกาลฉงหยาง พี่ใหญ่ก็จะออกไปเก็บเงินแล้ว เราจะได้ถือโอกาสนี้ฉลองด้วยกัน ไม่เช่นนั้นก็คงต้องรอถึงปีใหม่”
“เก็บเงิน!?” สวีซื่อจุนรู้สึกประหลาดใจ เรื่องที่สวีซื่อฉินช่วยฟังซื่อจัดการเรื่องสินเดิม ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคนไม่ได้ป่าวประกาศ แต่บนโลกใบนี้ไม่มีกำแพงที่ลมผ่านไม่ได้ สวีซื่อจุนก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าสวีซื่อฉินยังจะไปเก็บเงินด้วยตัวเอง
เจียงซื่อพยักหน้า นางพูด “เมื่อก่อนข้าคิดว่าพี่ใหญ่เป็นคนร่าเรง คิดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่ยังเป็นคนขยันขันแข็งอีกด้วย หากเป็นคนอื่นใครยังจะไปเก็บเงินอย่างลำบากด้วยตัวเองเช่นนี้ แค่ส่งผู้ดูแลที่เชื่อใจได้ไปก็พอแล้ว” นางพูดต่ออีกว่า “ฟังจากน้ำเสียงของพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว เหตุผลที่พี่ใหญ่ไปเก็บเงินเอง เพราะอยากถือโอกาสนี้ทำกิจการ หารายได้ให้ครอบครัว”
“จริงหรือ!” สวีซื่อจุนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “พี่สามมีเงินในมือจำนวนมากไม่ใช่หรือ”
“หากเอาแต่ใช้จ่ายอย่างเดียว เงินนั้นก็หมดได้” เจียงซื่อพูดต่อไป “พี่สามย้ายออกไปอยู่ข้างนอกตั้งหลายปีแล้ว แล้วยังไม่มีหน้าที่การงานเป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่แปลกที่จะไม่มีเงิน แต่พี่สามย้ายออกไปจากจวนสกุลหย่งผิงโหว งานสังสรรค์ในแต่ละปี แขกที่เชิญมาที่เรือน ล้วนแต่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก พี่สะใภ้ใหญ่มักจะนำเงินของตัวเองออกมาช่วย พี่ใหญ่ไม่อยากใช้สินเดิมของพี่สะใภ้ใหญ่ จึงอยากทำกิจการเล็กๆ น้อยๆ พี่สะใภ้ใหญ่เกลี้ยกล่อมพี่ใหญ่ บอกว่าการทำกิจการก็ต้องมีความรู้เรื่องค้าขาย ไม่สู้ช่วยพี่สะใภ้ใหญ่จัดการบัญชีสินเดิมก่อน เดินไปดูแต่ละที่ รอให้มีความสนใจเรื่องกิจการแล้วค่อยเปิดร้านก็ไม่สายเกินไป พี่ใหญ่ได้ยินดังนั้นก็คิดว่ามีเหตุผล จึงเริ่มช่วยพี่สะใภ้ใหญ่ดูแลบัญชี บางครั้งบัญชีไม่ชัดเจน ก็ต้องไปดูที่ไร่ เจอคนทำการค้าขายระหว่างทาง ก็เดินเข้าไปพูดคุยด้วยสองสามประโยค เช่นนี้พี่ใหญ่จึงถือโอกาสตอนที่ไปเก็บเงินทำกิจการสองสามอย่าง ล้วนแต่ได้กำไร จากนั้นก็ค่อยๆ สั่งสมความรู้ ข้าได้ยินมาว่า อีกสองปีเขาจะเปิดร้านค้าที่ถนนตงต้าไม่ก็ถนนซีต้าในเยี่ยนจิง!” นางยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่บอกว่า เมื่อก่อนครอบครัวมีเรื่องอันใด ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับพี่สาม แต่ตอนนี้พี่ใหญ่เป็นคนดูแลครอบครัว พี่สามมีเรื่องอันใด ยังต้องมาปรึกษาพี่ใหญ่เลยเจ้าค่ะ!”
สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้สายตาก็เป็นประกาย
เจียงซื่อเห็นดังนั้นก็ลอบดีใจ จากนั้นก็พูดถึงจินซื่อ
“ท่านพี่รู้หรือไม่ พี่สามมีแต่เปลือกเจ้าค่ะ!”
สวีซื่อจุนตกใจ “เจ้าไปฟังมาจากใคร”
“พี่สะใภ้สามเป็นคนพูดเอง” เจียงซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “บอกว่าเงินเดือนของพี่สามยังไม่พอซื้อข้าวทานสองวัน แต่สหายร่วมงานของพี่สามกลับร่ำรวยและใช้เงินเก่งทุกคน พี่สามจะปลีกตัวอยู่คนเดียวได้อย่างไรเล่า แต่หากทำตามพวกเขา ตอนที่พี่สามอยู่ที่องครักษ์วังหลวงเขาเป็นแค่องครักษ์ถือธงไม่ค่อยได้รับผลตอบแทนมากมายอะไร เลยคิดอยากจะเปลี่ยนตำแหน่ง ถึงแม้ว่าท่านพ่อหรือท่านลุงช่วยพูดให้เขา แต่เรื่องที่ควรดูแลก็ควรดูแล ไม่เช่นนั้น คนอื่นก็จะคิดว่าเขาใจแคบ ต่อไปคงไม่ไปหามาสู่กับเขาอีกแล้ว มีเรื่องดีอะไรก็ไม่มีทางนึกถึง พี่สามจึงไม่ไปหาใครทั้งนั้น คิดหาแต่วิธีตีสนิทกับผู้บัญชาการ ขึ้นปีใหม่ทีหนึ่งก็ใช้เงินไม่น้อย เพื่อเรื่องนี้ พี่สะใภ้สามถึงกับขายเรือนที่เป็นสินเดิมของตัวเองทิ้งไปเรือนหนึ่ง”
“ขายเรือนที่เป็นสินเดิมของตัวเองได้อย่างไรกัน!” สวีซื่อจุนพูดด้วยความแปลกใจ “หรือท่านลุงสามและพี่ใหญ่ก็ปล่อยให้พวกเขาทำเหลวไหลเช่นนี้?”
“ข้าก็ถามพี่สะใภ้สามแบบนั้นเจ้าค่ะ” เจียงซื่อพูด “พี่สะใภ้สามบอกว่า มีเงินไม่สู้มีชีวิตที่ดี พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่เห็นพวกเขาลำบาก นางคอยดูแลพวกเขาตลอด แม้แต่ไปซื้อแป้งดอกไม้ตามท้องถนนก็ยังต้องซื้อสองกล่อง พวกเขาจะกล้าขอเงินพี่สะใภ้ใหญ่ได้เช่นไรกัน จึงกลับไปปรึกษากับคนสกุลเดิม ใต้เท้าจินได้ยินดังนั้นก็ตอบตกลงทันที แล้วยังบอกอีกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องลำบาก เรื่องสำคัญตอนนี้ของพี่สามคือต้องคิดหาวิธีไปทำงานที่กองปัญจทิศรักษานครให้ได้ เรือนขายไปแล้วซื้อใหม่ได้ แต่โอกาสนี้หากปล่อยให้หลุดมือไป ถึงแม้ว่าจะมีเงินก็ซื้อไม่ได้”
พูดถึงตรงนี้ เจียงซื่อก็แอบเหลือบมองสวีซื่อจุน “เห็นได้ชัดว่าหากเราจะทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขายไร่หรือขายที่ดิน ญาติผู้ใหญ่ในสกุลล้วนแต่สนับสนุนเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ?” คำพูดของภรรยาทำให้เขาตกใจ เขาถือถ้วยชาโสมด้วยท่าทีเหม่อลอย
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” เจียงซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านดูอย่างน้องห้า เพราะอยากเป็นขุนนาง ในจวนก็มีอาจารย์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่ท่านพ่อยังขอให้ท่านลุงใหญ่ช่วยแนะนำอาจารย์ฉังให้อีก แล้วท่านดูน้องหกสิเจ้าคะ อยากเรียนศิลปะการต่อสู้ ท่านเขยใหญ่ไปหาอาจารย์มาให้ยังไม่พอ แล้วยังมาที่เยี่ยนจิงด้วยตัวเอง แม้แต่น้องเจ็ด ท่านซุนโหวผู้เฒ่าก็ส่งอาจารย์มาให้เขาตั้งสองคน ท่านลองคิดดูสิ พวกเขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อหรือท่านซุนโหวผู้เฒ่า ล้วนไม่มีใครคิดว่ามันเป็นเรื่องลำบากเลยสักคน ก็เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับอนาคตของน้องห้าและน้องหก ดังนั้น เราต้องเรียงลำดับความสำคัญให้ชัดเจน”
สวีซื่อจุนไม่พูดอะไร
เจียงซื่อรู้ว่าวันนี้คงพูดได้แค่เท่านี้ หากพูดมากไปกว่านี้ อาจทำให้สวีซื่อจุนรำคาญเอาได้
นางยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน สรุปประเด็นสำคัญของวันนี้ “ท่านพี่ดื่มชาเสร็จแล้วก็พักผ่อนสักประเดี๋ยวเถิด ข้าใกล้จะคลอดแล้ว ข้าหวังว่าถึงตอนนั้นท่านพี่จะช่วยข้าตัดสินใจ! “
“อ้อ!” สวีซื่อจุนได้สติกลับมา “เจ้าไม่ต้องห่วง ถึงตอนนั้นข้าจะต้องช่วยเจ้าแน่นอน”
เจียงซื่อยิ้มแล้วช่วยเปลี่ยนหมอนที่อยู่ข้างหลังให้สวีซื่อจุน จากนั้นก็รับใช้เขาพักผ่อน
สวีซื่อจุนนอนไม่หลับ แต่เขาก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของภรรยาตัวเอง เขานอนอยู่ในห้องที่เงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก พลิกตัวไปมาก็พลันนึกถึงเรื่องของสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยน
สะใภ้หยวนเป่าจู้ที่ยืนอยู่ในห้องโถงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลเห็นเจียงซื่อเดินออกมา นางก็รีบเดินเข้ามาพูดเบาๆ “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ คุณชายน้อยสี่ไม่ได้โกรธใช่หรือไม่”
“เรื่องที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว” เจียงซื่อไม่มั่นใจ “คงต้องดูว่าคุณชายน้อยสี่คิดอย่างไร!”
“คุณชายน้อยสี่เป็นคนฉลาดเจ้าค่ะ” สะใภ้หยวนเป่าจู้ปลอบใจนาง “เขาต้องรู้ถึงความลำบากของท่านแน่นอน”
“ข้าก็แค่ทำตามหน้าที่ของภรรยา” เจียงซื่อพูดเช่นนี้ แต่ในใจกลับแอบอธิษฐานขอให้สวีซื่อจุนเข้าใจเจตนาของตัวเอง
สะใภ้หยวนเป่าจู้เห็นดังนั้นก็เอ่ยเรียก “คุณนายน้อยสี่” ด้วยความลังเล “ท่านคิดว่าเราควรบอกฮูหยินหรือไม่เจ้าคะ…”
หากทำแบบนั้น ถึงแม้ว่าคุณชายน้อยสี่ไม่ยอมฟัง คุณหนูของนางก็จะได้มีความผิดน้อยหน่อย
“ท่านป้าคิดได้รอบคอบอย่างมาก” เจียงซื่อพูด “ส่งคนไปบอกท่านแม่เถิด บางทีท่านแม่อาจจะยังเป็นห่วงอยู่!”
“เจียงซื่อคนนั้น ช่างพูดเก่งเสียจริง” สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามหู่พั่วที่มารายงานว่า “ภรรยาของเจี่ยนเกอขายเรือนที่เป็นสินเดิมของตัวเองจริงหรือ เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้!”
“ขายจริงๆ เจ้าค่ะ” หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “แต่พวกเขาคิดว่าที่ตรงนั้นไม่ดี ขายแล้วค่อยไปซื้อเรือนที่ขนาดเล็กกว่าและทำเลดีกว่า”
สืออีเหนียงหัวเราะ นางหันไปพูดกับสวีลิ่งอี๋ “มีภรรยาที่ดีราวกับมีสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน ท่านโหววางใจได้แล้วใช่หรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาครุ่นคิด จากนั้นก็พูดว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาเจ้า!”
สืออีเหนียงฟังอย่างตั้งใจ
“เจ้าคิดว่า ให้อิงเหนียงแต่งงานกับเจี้ยเกอดีหรือไม่”
สืออีเหนียงตกอกตกใจ
ในใจของนางคิดว่าพวกเขานั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
“เด็กคนนั้นน่ารักตั้งแต่เด็ก” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “เจี้ยเกอกับนางอายุเท่ากัน นางเหมือนเจ้า ชอบดอกไม้ต้นไม้ แล้วเจ้าก็ยังเป็นอาหญิงของนาง หากนางแต่งเข้ามา เราไม่มีทางทำให้นางลำบากแน่นอน เจ้าก็จะได้มีเพื่อน เจ้าคิดอย่างไรบ้าง”