ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์เหยียดยิ้ม ความอวดดีของนางจะต้องจบลงวันนี้ด้วยฝีมือของเซวียนปิง!
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์เชื่อว่าเซวียนปิงมีแผนการของตัวเองในการรับมือกับนาง เพราะเขาย่อมไม่มีวันปล่อยให้ใครหยามเกียรตินางได้เช่นนี้
เป็นอย่างที่ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์คาดเอาไว้ เซวียนปิงหลับตาลงเล็กน้อยก่อนจะขยับริมฝีปากเหมือนกำลังท่องคาถาออกมาโดยไร้เสียง
เสี่ยวไป๋ที่อยู่ในมิติสวรรค์ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่เกิดขึ้น น้ำเสียงเย็นชาของมันดังขึ้นในหูของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”เวยเวย เจ้าได้ยินสิ่งที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นพูดอยู่หรือเปล่า เขากำลังท่องคาถาหรือ”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้กระแสจิตของตัวเองสื่อสารกับสัตว์อสูรผู้พิทักษ์ ดวงตาของนางเรืองแสงวาบ ก่อนจะบอกเขา ”ถ้าเจ้าไม่พูดขึ้นมา ข้าก็คงไม่ทันสังเกต คาถาที่เขาท่องอยู่ฟังดูค่อนข้างแปลกทีเดียว”
เสี่ยวไป๋ตอบเสียงอู้อี้ว่า ”เขาเริ่มท่องคาถาตั้งแต่การประลองยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ ข้าว่ามันคงมีอะไรมากกว่าที่เราเห็น เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี”
“อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนแรกในแถวเป็นชายหนุ่มที่ไม่มีจุดเด่นอะไรจากเมืองหวงจื่อ เขาเริ่มพิธีด้วยการใช้กระบี่ไม้ขีดเส้นสองเส้นลงบนพื้น จากนั้นจึงหยิบยันต์ผ้าเหลืองออกมา ก่อนจะเริ่มท่องคาถาตามจังหวะการหายใจ
เมื่อเขาชูยันต์ผ้าเหลืองขึ้น ทุกคนก็พลันรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงจากอากาศที่อยู่ในท้องพระโรง สายลมเย็นยะเยือกพัดกรรโชกเข้ามาจากทั่วทุกทิศทุกทาง ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างเสียวสันหลังวาบไปตามๆ กัน ความรู้สึกนี้ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ มันเหมือนกับมีคนยืนมองพวกเขาอยู่จากทางด้านหลัง แต่พอหันกลับไปก็ไม่พบใคร
ท้องพระโรงดูเหมือนจะสูญเสียความมีชีวิตชีวาไป พวกเขาได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบนั้น บางครั้งมันก็ดังคล้ายกับเสียงลม แต่บางครั้งก็ฟังดูเหมือนเสียงหอบหายใจของใครสักคน
ยิ่งเสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเพียงใด หน้าผากของชายหนุ่มก็ยิ่งมีเม็ดเหงื่อผุดพราย แต่เขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสาเหตุที่ทำให้เขาเหงื่อออกถึงเพียงนี้คืออะไรกันแน่ ชายหนุ่มพึมพำระหว่างเดินหมุนอยู่ในสนามประลองนั้น ”เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
“เกิดอะไรขึ้น” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองใกล้เคียงที่ยืนอยู่ข้างเขาโน้มตัวเข้ามามอง สีหน้าของเขาพลันบูดบึ้งไปในทันใด ”มี… มี…”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดเผือด เขาตัวสั่นไปทั้งร่าง ”มียมทูตสองตน”
“อย่าตกใจไป เจ้า… เจ้าควรใจเย็นเข้าไว้ ค่อยเป็นค่อยไป” แม้เขาจะพยายามปลอบใจเด็กหนุ่ม แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นก็ยังเผลอก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
ยมทูตตนเดียวก็รับมือได้ยากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับมีมาถึงสองตน ต่อให้เขาจะสามารถส่งยมทูตตนแรกกลับไปได้สำเร็จ แล้วเขาจะทำอย่างไรกับยมทูตตนที่สองล่ะ
เพียงแค่คิดเขาก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูก
ในตอนแรกทุกคนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อพื้นที่โดยรอบเริ่มเย็นและมืดลงมากเข้า ในที่สุดผู้ชมก็สังเกตเห็นเงาร่างสองร่างที่ปรากฏขึ้น
เสียงโซ่เหล็กกระทบกัน ร่างทั้งสองร่างนั้นกำลังเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าราบเรียบปราศจากซึ่งอารมณ์ใดๆ พวกเขากวาดตามองไปรอบๆ ด้วยดวงตาไร้ชีวิตชีวาเหมือนคนตาย ภาพนี้ดูน่าสะพรึงกลัวกว่าผีสาวก่อนหน้านี้เสียอีก
แต่ทำไมถึงมียมทูตปรากฏตัวขึ้นในเวลาเดียวกันถึงสองตนได้ล่ะ
มือที่ถือยันต์ผ้าเหลืองของเด็กหนุ่มเริ่มสั่นระริก ยมทูตทั้งสองมาถึงตัวเขาแล้ว หนึ่งในนั้นยืนอยู่ด้านซ้ายของเขา ในขณะที่อีกตนหนึ่งยืนอยู่ทางขวา ทั้งสองทำท่าเหมือนกำลังพยายามดมกลิ่นอะไรบางอย่างอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า ”โยนยันต์ในมือเจ้าลงในกองไฟซะ”
ภูตผีวิญญาณกลัวไฟ และยันต์ผ้าเหลืองก็เป็นตัวดึงดูดยมทูตชั้นดี ยมทูตจะตามยันต์ผ้าเหลืองผืนนั้นไป และทันทีที่พวกเขาเห็นไฟนั้น พวกเขาจะต้องหนีไปอย่างแน่นอน
มันเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ง่ายจะตายไป
แต่เด็กหนุ่มคนนั้นกลับปฏิเสธที่จะเชื่อเฮ่อเหลียนเวยเวย ท่านกำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือ ท่านอยากให้ข้าทิ้งยันต์ผ้าเหลืองนี่น่ะหรือ นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะสามารถปกป้องชีวิตข้าได้นะ!
ตอนนั้นเองที่เซวียนปิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า ”พี่มู่ไป๋อย่าไปฟังคำพูดของนางเลยขอรับ ถ้าท่านทิ้งยันต์ผ้าเหลือง ทันจะพ่ายแพ้ในการประลองนี้ทันที ท่านควรจะต้านพวกเขาเอาไว้ขอรับ อย่างไรยมทูตก็อยู่ในโลกคนเป็นได้ไม่นานนัก ทันทีที่หมดเวลาของพวกเขา พวกเขาจะต้องกลับไป ตราบใดที่ท่านยังมียันต์ผ้าเหลืองผืนนั้นอยู่ในมือ ท่านย่อมไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใดขอรับ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าหลังจากได้ยินคำพูดของเซวียนปิง ก่อนจะเพิ่มพลังวิญญาณของตัวเองขึ้นอีกเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดที่จะทำตามคำแนะนำของนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหันหน้าไปมองเด็กชายตัวน้อยที่นั่งย่อตัวอยู่ข้างนาง ”เจ้าเจ็ด เจ้าอยู่ห่างๆ พวกเขาเอาไว้ล่ะ ในอีกไม่ถึงครึ่งก้านธูป ยมทูตทั้งสองตนจะต้องตระหนักได้แน่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้กลิ่นไม่ใช่วิญญาณ แต่เป็นยันต์ผ้าเหลืองนั่น” คนพวกนี้คิดว่ายมทูตโง่หรือ พวกเขาบอกไม่ได้หรือว่ายมทูตแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป
“จะเกิดอะไรขึ้นหรือถ้ายมทูตรู้ว่านั่นเป็นยันต์ผ้าเหลือง” อู่จิ้งยังคงงงอยู่
หลิวอวี้บ่นอุบให้กับสติปัญญาอันโง่เขลาของเขา แล้วจึงอธิบายว่า ”พวกเขาเป็นยมทูตเชียวนะ พวกเขามาที่โลกมนุษย์เพื่อเก็บเกี่ยววิญญาณ ถ้าพวกเขารู้ว่าสิ่งที่พวกเขาเก็บกลับไปไม่ใช่วิญญาณ แต่เป็นยันต์ผ้าเหลือง พวกเขาจะเอาวิญญาณของผู้อัญเชิญไปทันที”
เด็กหนุ่มเหงื่อแตกพลั่กเมื่อได้ยินเสียงเอะอะที่เกิดขึ้น
เซวียนปิงหัวเราะราวกับดูถูก ก่อนจะหันมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ”พระชายาสามไม่ควรทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมนะพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้กระหม่อมเคยอัญเชิญยมทูตมาก็หลายครั้ง ตราบใดที่เรามียันต์ผ้าเหลืองอยู่ในมือ และสามารถยื้อเวลาการเผชิญหน้าออกไปได้ ย่อมไม่มีเรื่องร้ายอันใดเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านเคยอัญเชิญออกมาแค่ยมทูตตนเดียว แต่ตอนนี้มีถึงสองตน ยันต์ผ้าเหลืองผืนเดียวจะไปพอไล่ยมทูตสองตนได้อย่างไรกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยอธิบายช้าๆ แต่ไม่อ้อมค้อม
เซวียนปิงชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ผ่านไปไม่นานเขาก็ตอกกลับอย่างเย็นชาว่า ”คุยกับคนที่ไม่รู้อะไรเรื่องการขับไล่วิญญาณร้ายไปก็เปล่าประโยชน์” เขามั่นใจว่าตราบใดที่เขาสามารถยืนหยัดอยู่จนถึงเวลาที่กำหนดได้ ยมทูตก็จะกลับไปเอง
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหนุ่มเองก็คิดในทำนองเดียวกัน เขาเสริมขึ้นว่า ”พี่เซวียนปิงอย่าเสียเวลาอธิบายกับนางเลยขอรับ ข้าต้องยื้อไว้อีกนานเพียงใดหรือ”
“เจ้าพวกนี้ช่างโง่เขลาเสียไม่มี!” เด็กชายตัวน้อยเคี้ยวซาลาเปาไส้เนื้อพร้อมกับมองพวกเขาด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความดูถูก ”พี่สะใภ้สาม ท่านน่าจะปล่อยให้พวกเขาตายไปเสียเลยขอรับ พวกเราจักรวรรดิจ้านหลงได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีเตือนพวกเขาแล้ว แต่เขาก็อวดดีเกินไป และเขาจะต้องชดใช้ความผิดพลาดนี้ด้วยชีวิตของตนขอรับ”
ฟิ้ว!
ทันทีที่เด็กชายพูดจบ สายลมเย็นก็โหมกระหน่ำไปทั่วห้อง
ตอนแรกยมทูตที่ยืนอยู่ทางด้านขวาของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายยังง่วนอยู่กับการดมกลิ่นนั้น แต่จู่ๆ เขาก็เคลื่อนสายตาขึ้นมองยันต์ผ้าเหลืองผืนนั้น เขาคว้ามันมาไว้ในมือ ก่อนจะฉีกมันจนกลายเป็นชิ้นๆ ด้วยมือข้างเดียว
จากนั้นริมฝีปากของเขาก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายจนเห็นเขี้ยวในปาก ในเวลาเดียวกันนั้น เคียวเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
เมื่อตระหนักได้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดถูก ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว เขาหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยเพื่อขอความช่วยเหลือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะช่วยเขา นางเห็นด้วยกับเจ้าเจ็ดว่าพวกนางได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ยิ่งกว่านั้นเด็กหนุ่มจอมอวดดีคนนี้ก็หาเรื่องเยาะเย้ยพวกนางมาตั้งแต่แรก
หึ รนหาเรื่องเองแท้ๆ
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย…”
ฟุ่บ!
ตามกฎแล้ว หากมีใครขัดขวางยมทูตในระหว่างที่พวกเขากำลังทำการเก็บเกี่ยววิญญาณมนุษย์อยู่ คนคนนั้นย่อมต้องชดใช้ด้วยศีรษะของตัวเอง
เสียงลงดาบดังก้องไปทั่วท้องพระโรงเมื่อเคียวเล่มนั้นบั่นเข้าที่ศีรษะของเขา
เสนาบดีหลายคนถึงกับทรุดเมื่อเห็นภาพนั้น ส่วนผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ก็รู้สึกเสียววาบไปทั้งสันหลัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น นางไม่สนใจภาพนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา
ก่อนที่เซวียนปิงจะทันได้มีปฏิกิริยา ยมทูตทั้งสองตนนั้นก็หายไปในหมอกสีดำพร้อมกับศีรษะของมู่ไป๋ที่อยู่ในมือ
เมื่อยมทูตเหล่านั้นจากไป ท้องพระโรงก็กลับคืนสู่ความสงบสุขดังเดิม
สิ่งเดียวที่เตือนให้ทุกคนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้มีเพียงแค่ร่างเย็นชืดของมู่ไป๋เท่านั้น
เด็กชายตัวน้อยที่หมั่นไส้เซวียนปิงอยู่นานแล้วขยับตัวเข้าไปหาเขาพร้อมซาลาเปาเต็มปาก เขาถามเซวียนปิงที่เคยมีท่าทางมั่นใจด้วยใบหน้าดุดันว่า ”เวลานี้ คนที่เชื่อคำแนะนำของท่านดันตายไปเสียแล้ว ท่านแน่ใจหรือว่าคนของเมืองเซวียนหยวนรู้วิธีขับไล่วิญญาณร้ายจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่หนทางในการทำร้ายผู้อื่น”