GGS:บทที่ 925 หนูเจ้าปัญหา
ซูจิ้งไม่ได้ให้หลัวฉือหลินและไป๋ฮิตูเข้าสร้างปัญหาให้กับตลาดมืดนี้ต่อแต่อย่างใด เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ยังไม่สามารถกวดล้างได้หมดอยู่แล้ว
หลังเสร็จเรื่อง เขาได้ให้หลัวฉือหลินไปยังโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนเพื่อคอยดูแลพ่อ แม่ และน้องสาวของเขา และให้ไป๋ฮิตูไปคอยดูแลฉือชิง
ด้วยการที่คนนั้นมีความสำคัญกว่าเขาเสียยิ่งกว่าเสี่ยวรุย เรื่องแบบนี้เองก็อาจจะเกิดขึ้นได้กับคนที่เขารักเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าทุกคนจะมีลูกบอลต้นไม้กินคนของซูจิ้งอยู่แล้ว แต่ยังไงซะการที่ให้ไป๋ฮิตูและหลัวฉือหลินคอยปกป้องไว้ก็ยังให้เขาสบายใจกว่าอยู่ดี
ถึงแม้ว่าการที่ให้ทั้งสองคนมาทำหน้าที่เป็นบอดิการ์ดแบบนี้มันจะดูไร้ค่าไปหน่อยเพราะความสามารถของทั้งสองให้ไปทำอย่างอื่นจะดีกว่าก็ตาม
หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ซูจิ้งก็ได้ตรงกลับบ้านในทันที พร้อมกับความคิดที่ว่าจะหาวิธีป้องกันคนที่สนิทกับเขาด้วยได้ยังไงบ้าง
สิ่งแรกที่ซูจิ้งคิดได้นั้นก็คือการส่งสัตว์เลี้ยงของเขาไปอยู่ด้วย แต่นี่ไม่เพียงการส่งบรรดาหมาๆของเขาไปด้วยเท่านั้น
เขานั้นมีบิงบิงที่สามารถพ่นน้ำแข็งออกมาได้ เจ้านี้ให้ไปคอยดูแลฉือชิงก็ได้ตลอดเวลาหรือแม้แต่เล่นด้วยก็ยังได้ ถึงแม้ตัวเดียวจะยังไม่น่าจะพอก็ตาม เขาคงต้องหาสัตว์เลี้ยงเพิ่มโดยเฉพาะสัตว์ขนาดเล็กและพวกแมลงที่พาไปไหนมาไหนด้วยง่ายๆซะแล้ว
“เจ้าผึ้งที่ได้มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารกระบี่สามภพ (Desolate Era)นี่น่าจะพอใช้ได้แหะ” ซูจิ้งนั้นชอบผึ้งที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯอภินิหารกระบี่สามภพนี้อย่างมาก
นั่นก็เพราะเจ้าผึ้งพวกนี้นั้นค่อนข้างจะร้ายกาจเลยทีเดียว หากเป็นผึ้งโดยทั่วไปนั้นพวกมันยังพอตกเป็นเป้าของผึ้งเพชรฆาตได้ก็จริง แต่เจ้าผึ้งที่เขาได้มานี้สามารถฆ่าผึ้งเพชรฆาตได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว
พิษของพวกมันนั้นร้ายแรงขนาดล้มผู้ใหญ่หนึ่งคนด้วยพวกมันเพียงตัวเดียว และยังไม่เหมือนผึ้งธรรมดาที่พอปล่อยเหล็กในออกไปแล้วจะร่วงลงมาตาย
พวกมันสามารถต่อยได้โดยไม่เสียเหล็กในออกไปและปล่อยเพียงแต่พิษเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น แถมเพียงแค่วันเดียวพิษของมันก็ฟื้นคืนกลับมาแล้ว
หากฉือชิงนำผึ้งฝูงนี้ไปด้วย แน่นอนว่าย่อมเพียงพอต่อการป้องกันตัวจากพวกอันธพาลทั่วไป
อย่างไรก็ตามปัญหาคือผึ้งพวกนี้มีสติปัญญาต่ำมาก ทำได้เพียงเก็บน้ำผึ้งได้นี่ก็ถือว่าเต็มกลืนแล้ว พวกมันนั้นสามารถจำคำสั่งได้เพียงคำสั่งเดียวเท่านั้น
ต่อให้เขาควบคุมพวกมันด้วยตัวเองโดยตรงก็ตามเขากลัวว่าพวกมันจะไม่สามารถทำหน้าที่ปกป้องฉือชิงได้อย่างสมบูรณ์
ถึงแม้ว่าก่อนหน้าที่จะยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขานั้น ซูจิ้งได้เก็บสะสมสัตว์อันตรายทั้งหลายเอาไว้ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมดกระสุน แมงป่อง และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่พวกมันทั้งหมดนั้นช่างจำนวนน้อยนิด แถมสติปัญญาของพวกมันต่ำเหลือหลาย นี่ขนาดเขาสามารถควบคุมตรงๆยังทำอะไรได้ไม่มาก หากปล่อยให้ช่วยดูแลฉือชิง ดีไม่ดีฉือชิงอาจจะอันตรายเสียเองมากกว่า
“….ถ้าจะไม่ผิดพระธาติมีความสามารถทำให้คนและสัตว์สงบใจลงได้อีกทั้งยังช่วยเพิ่มปัญญาให้กับสิ่งมีชีวิตนี่นา ถ้าฉันใช้พระธาตุกับผึ้งร่วมกับคริสตัลฝึกตนนั่นจะเป็นยังไงนะ”
ซูจิ้งใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันทีที่คิดวิธีนี้ได้ เขาเองก่อนหน้านี้ก็ได้ลองใช้วิธีการนี้กับเหล่าหมาป่า อินทรีย์ทอง แมวบ้านและแมวจรมาก่อนแล้วเหมือนกัน และมันก็ใช้ได้จริง
เขาเชื่อมั่นได้ว่าสติปัญญาของพวกจะต้องเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าที่สำเร็จได้โดยง่ายนั้นเป็นเพราะสัตว์พวกนี้มีสติปัญญาในระดับที่ดีอยู่แล้ว
แม้แต่หมาแมวเองต่อให้ไม่ได้ฝึกพวกมันกันยังซื่อสัตว์ต่อเจ้าของได้เลย แค่ฝึกนิดหน่อยก็ย่อมทำได้เป็นธรรมดา
แต่กับพวกสิ่งมีชีวิตจำพวกแมลงนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าสติปัญญาของพวกมันจะห่างไกลเกินกว่าที่พระธาตุจะกล่อมเกลาจิตใจได้รึเปล่าเหมือนกัน
“ลองดูแล้วกัน” ซูจิ้งได้เข้าสู่พื้นที่ระบบนิเวศเสมือนในทันที เขานั่งลงตรงหน้ารังผึ้ง ก่อนที่จะนำเอาพระธาตุออกมาแล้วทำการท่องบทสวดมนต์ในทันที
หลังจากผ่านไปสักพัก อย่างน้อยๆก็ดูเหมือนว่าเจ้าผึ้งพวกนี้จะได้รับผลจากพลังพระธาตุอยู่บ้าง
ตอนนี้แทนที่พวกมันจะบินไปรอบๆแบบก่อนหน้านี้ พวกมันไม่ได้ส่งเสียงหึ่งๆแต่อย่างใด พวกมันเงียบเสียงลงราวกับกำลังตั้งใจอยู่
แต่ในขณะที่ซูจิ้งไม่ได้สนใจในทางอื่นนั้น เจ้าดอกไม้ใหญ่ที่เพิ่งจะเก็บได้มาก่อนหน้านี้ ได้มีดวงตาเปิดขึ้นและหลับอย่างช้าๆ
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ซูจิ้งได้ยกเลิกการปลดปล่อยกระแสจิตและเข้าไปบังคับพวกผึ้งเข้าไปฝึกตนในคริสตัลฝึกตนแบบเดียวกับหมาและแมวบ้านที่เขาเคยทำก่อนหน้านี้
หลังจากที่พวกมันได้เข้าไปยังคริสตัลฝึกตนแล้ว หลังจากผ่านไปนานพอสมควร แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลแต่อย่างใด
“ไอ้เราก็คิดว่าพระธาตุนี้จะได้ผลดีแล้วสิน้า… ดันไม่สำเร็จซะได้ อืมมม ดูเหมือนว่าพระธาตุนี่เองก็จะมีผลจำกัดอยู่เหมือนกัน เป็นไปได้ว่ามันอาจจะอยู่มานานจนอ่อนแรงลงไป
แต่ก็ยังเป็นไปได้หากฝึกพวกมันซ้ำๆ แต่การที่จะทำได้ในระเวลาอันสั้นนี่น่าจะไม่ไหวจริงๆแหะ” ซูจิ้งบ่นเสร็จก็ได้ถอนหายใจออกมา
ในภายภาคหน้าหากเขายังคงฝึกเจ้าผึ้งพวกนี้ต่อไปเขาเองก็เชื่อได้อย่างมั่นใจว่ายังไงก็สำเร็จ ประเด็นคือต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนมากกว่า เอาจริงๆเขาเองก็ไม่น่าจะมาหวังอะไรกับแมลงพวกนี้อยู่แล้วล่ะนะ
ซูจิ้งได้คิดอีกเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาว่า “ฉันหวังว่าเจ้าพวกนี้พอจะทำอะไรได้บ้างนะ” ซูจิ้งหันไปสนใจแมลงที่เขาเพิ่งจะได้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าในทะเลสาบนางฟ้า
ในตอนที่เขาได้ให้หนูกินเจ้างูจิ๋วไปจนทำให้เจ้าหนูตัวแฟบไปในตอนนั้น เขาเองก็ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับเจ้างูนี่เป็นพิเศษ
รวมถึงแมลงอย่างอื่นที่เขาเพิ่งจะได้มาด้วยเหมือนกัน เหตุผลก็เพราะพวกมันนั้นมีพิษที่ร้ายเสียงยิ่งกว่าฝูงผึ้งที่เขามี หากเขานั้นยังไม่แน่ใจในตัวพวกมันละก็ ไม่มีทางเลยที่เขาจะมอบให้ดูแลฉือชิงหรือคนอื่นได้แม้แต่น้อย
หลังจากทำการตรวจสอบเจ้างูจิ๋วอีกครั้ง เขาก็ได้ให้หลี่น้อยและอาลี่ไปจับหนูมา เขาให้แมลงที่ยังเป็นๆให้กับพวกมันเพื่อทดสอบ แต่ดูๆไปแล้วก็ยังไม่มีอาการอะไรแม้แต่น้อย เขาจึงปล่อยพวกมันไปเพื่อคอยดูอาการ
“ฮอว” มีเสียงหนูดังขึ้น หากแปลภาษาผ่านทางหยกหมื่นอสูรก็จะแปลได้ว่า “หิวแล้ว หิวแล้ว”
หนูพวกนี้คือสัตว์ทดลองที่ซูจิ้งเลี้ยงเอาไว้ แน่นอนว่าการที่จะเป็นสัตว์ทดลองได้นั้นจำเป็นที่พวกมันต้องมีสุขภาพที่ดี
ปกติพวกมันก็ไม่ได้ทำท่าทางหิวต่อหน้าคนขนาดนี้หรอก แต่เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้นำข้าวโพดและข้าวมาให้พวกมันกิน แน่นอนว่าหนูบ้านนั้นกินได้แทบจะทุกอย่าง แพร่พันธุ์ได้ดี แถมยังเลี้ยงง่ายยิ่งกว่าหนูพันธุ์ไหนๆอีกด้วย
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับขนาดตัวแล้ว หนูบ้านพวกนี้นั้นเป็นจอมเขมือบ หลังจากผ่านไปเพียงชั่วครู่ ทั้งข้าวและและข้าวโพดที่ซูจิ้งนำออกมานั้นก็ได้หมดลง ซูจิ้งจึงเตรียมตัวออกไปจากระบบนิเวศเสมือน
ทันใดนั้น ซูจิ้งก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังว่า “ผมยังหิวอยู่เลย” ซูจิ้งหันไปมองทางเสียงของเจ้าหนูที่กำลังร้องโวกเวกอยู่ เขาเห็นเจ้าหนูตัวนั้นถึงกับประหลาดใจและพูดออกมาว่า
“แม่เ… ไอ้ตัวนี้ฉันก็ว่ามันกินเร็วแถมมากกว่าชาวบ้านนี่นา ทำไมมันถึงยังไม่อิ่มอีกล่ะ”
ถึงจะบ่นออกมาแบบนั้นแต่เมื่อซูจิ้งเห็นว่าท้องของมันนั้นแฟบราวกับไม่ได้กินอะไรมาเลย แต่กับตัวอื่นนั้นท้องป่องนอนแอ้งแม้งเพราะความอิ่มไปตามๆกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเห็นเจ้าหนูตัวนี้อึแบบบ่อยสุดๆอีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งมีท่าทางสนใจในทันที เขานำข้าวออกมาอีกหนึ่งชั่งแล้วเทลงไปบนพื้น และเจ้าหนูตัวนี้เองก็ทำการกินข้าวหนึ่งชั่งหมดไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าหายวับไปกับตาเลยก็ว่าได้ แม้แต่ข้าวเปลือกเองก็ไม่เหลือแม้แต่น้อย
“ผมหิวอ่ะ” เจ้าหนูยังพยายามขอต่อ
“ได้ ได้ กินให้อร่อยล่ะ” ด้วยการที่ซูจิ้งขี้เกียจเทข้าวบ่อยๆ คราวนี้เขาจึงนำข้าวออกมาห้าชั่งแล้วเทลงพื้นลวดเดียว คราวนี้เจ้าหนูก็ยังหยิบเม็ดข้าวเข้าปากไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดพัก
เพียงชั่วขณะเดียวมันก็กินข้าวห้าชั่งหมดไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังร้องออกมาอีกว่า “หิว หิว หิว” เจ้าหนูที่กินข้าวขนาดที่กองท่วมหัวมันได้สองสามรอบนั้นยังบอกว่าหิวอยู่อีกนี่ไม่ใช่เรื่องปกติซะแล้ว
“แปลกๆแหะ หรือว่าเป็นเพราะแมลงที่มันกินไปกันนะ” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นจึงรีบปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาแล้วทำการสะกดจิตหนูตัวที่ร้องโวยวายนี่ในทันที
หนูแต่ละตัวที่เขาทดลองไว้นั้นจะทำเครื่องหมายเอาไว้เพื่จะได้ไม่สับสนว่ากินอะไรเข้าไป แมลงที่เจ้าหนูนี่กินเข้าไปนั้นตัวมันเรียวๆ สีขาวๆ และดูบอบบาง
ลำตัวของมันนั้นผอมๆและยาวประมาณสี่ถึงห้าเซนติเมตร และดูแล้วไม่น่าจะส่งผลอะไรต่อมนุษย์และสัตว์มากที่สุดแล้ว