‘ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ท่านเห็นสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นหรือเปล่า’ เฮ่อเหลียนเวยเวยมั่นใจว่าองค์ชายสามารถมองเห็นในสิ่งที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นมองไม่เห็น
เป็นอย่างที่คิด ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบสั้นๆ ว่า ‘เห็น’
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อ ‘ทำไมสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นถึงมีกลิ่นอายดำมืดแตกต่างจากกลิ่นอายของยมทูตล่ะ’
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาเครียดขึง ‘เจ้ามองเห็นความเคียดแค้นในตัวสุนัขล่าเนื้อได้อย่างนั้นหรือ’
เฮ่อเหลียนเวยเวยยอมรับกับเขา ‘ใช่ มิหนำซ้ำดูเหมือนว่ากลิ่นอายดำมืดนั่นจะกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย’
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเงียบ ดวงตามืดมิดของเขาจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่วางตา เพราะนางเป็นพระชายากลับชาติมาเกิดหรือ จึงทำให้ประสาทสัมผัสของนางไวต่อธาตุมืดถึงเพียงนี้
‘มีอะไรผิดปกติหรือ’ เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะตอบอะไรกลับมา นางจึงหันไปมองเขา
ก็ไม่มีอะไรมาก’ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ‘ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ แม้กระทั่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็ไม่อาจมองเห็นสุนัขล่าเนื้อตัวนี้ได้ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะผ่านการฝึกฝนและยกระดับพลังตัวเองขึ้นมาถึงระดับหนึ่งได้แล้ว’
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังรอคำชมจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”หมายความว่าข้าพิเศษกว่าคนอื่นหรือ”
“ใช่” เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยมีท่าทางพอใจ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายด้วยความสุข แต่ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงความรักอันท่วมท้นที่เขามีให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยได้เลย
หลังจากได้รับคำชม เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กลับมาเยือกเย็นดังเดิม ‘สุนัขล่าเนื้อตัวนี้มีความแค้นกับเซวียนปิงหรือ’ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ทำไมมันถึงได้ดูกระหายเลือดถึงเพียงนี้ล่ะ ยิ่งกว่านั้นมันก็ยังดูทั้งโศกเศร้าและพร้อมที่จะทำร้ายคนไม่เลือกหน้าอีกด้วย…
‘เจ้าเข้าใจถูกแล้ว’ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกยิ้มมุมปาก สีหน้ารังเกียจปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามนั้นในขณะที่เขาเอ่ยต่อ ”สุนัขเกิดมาพร้อมกับความซื่อสัตย์ โดยปกติแล้วพวกมันทำได้แม้กระทั่งสละชีวิตของตัวเองเพื่อผู้เป็นนาย แต่เซวียนปิงโหดร้ายต่อสัตว์เลี้ยงของเขาเกินไป นอกจากจะทรมานมันจนตายแล้ว เขายังเอาแก่นวิญญาณของมันไป จากนั้นก็ใช้วิญญาณของมันเพื่อฝึกฝนอาคมผูกวิญญาณ กักขังวิญญาณของมันไว้ในภูเขาเป็นเวลาหลายปี ตอนนี้ในที่สุดโอกาสที่มันจะได้แก้แค้นเซวียนปิงก็มาถึงแล้ว!”
ทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดจบ เขาก็สัมผัสได้ถึงสายลมเย็นยะเยือกนั้น!
“โฮ่ง! โฮ่ง!”
ทุกคนได้ยินเสียงสุนัขเห่าดังขึ้นอย่างยาวนานผิดปกติ เสียงเห่าทุ้มลึกนั้นทำให้พวกเขาหนาวสะท้านไปถึงสันหลัง!
“เสียงมาจากไหน” บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหันมองไปทางขวาและพยายามค้นหาแหล่งกำเนิดของเสียงนั้น พวกเขาดูกระวนกระวายยิ่งนัก เพราะการศึกษาศาสตร์แห่งหยินหยางทำให้พวกเขารู้ว่าสุนัขมีพลังจิต และการเห่าของมันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมาเยือนของวิญญาณร้าย
เสนาบดีทุกคนยืนขึ้น บนใบหน้าของพวกเขาล้วนแต่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตั้งแต่การประลองเริ่มต้นขึ้น เหตุการณ์ทุกอย่างก็เหมือนจะยิ่งดูน่าเหลือเชื่อขึ้นเรื่อยๆ
เสียงสุนัขเห่ายังคงก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง มันสร้างความหวาดกลัวให้ทุกคนอย่างมาก
วังหลวงตั้งอยู่ที่ใด
นี่เป็นที่ที่องค์ชายรัชทายาทประทับอยู่เชียวนะ
มันมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา แล้วสุนัขตัวนี้จะปรากฏตัวขึ้นได้อย่างไร
เว้นเสียแต่ว่า…
เว้นแต่มันจะเป็นสุนัขที่ตายไปแล้ว!
เมื่อคิดได้เช่นนี้บรรดาเสนาบดีก็ถึงกับพากันหน้าซีด พวกเขาขยับตัวเข้าหากันพร้อมกับสอดส่ายสายตามองบรรยากาศรอบตัวขณะที่เสียงเห่าที่ทั้งทุ้มลึกและน่าขนลุกนั้นดังก้องไปทั่วท้องพระโรงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด บรรยากาศดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง
เซวียนปิงไม่สามารถข่มความสงสัยของตัวเองได้อีกต่อไป เขาจึงหันไปมองทางด้านซ้ายมือ
บนไหล่ซ้ายของเขามีใบหน้าของคนคนนั้นพาดอยู่ ใบหน้านั้นซีดเผือด จมูกแหลมและริมฝีปากบาง แต่มันกลับดูเหมือนตายมาเป็นเวลานานแล้ว ใบหน้านั้นแผ่บรรยากาศเย็นยะเยือกออกมา
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เซวียนปิงหวาดกลัว สิ่งที่ทำให้เขาตกใจจนตัวแข็งคือเรื่องที่ว่าใบหน้าอันซีดเซียวนั้นเหมือนกับใบหน้าของเขาทุกประการ!
เซวียนปิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ภาพนั้นทำให้ผู้ชมพลอยรู้สึกกลัวไปด้วย!
“รีบยืนขึ้น!” ซงเจิ้งเหวินเหรินตะโกนอยู่นอกวงประลอง ”สิ่งที่เจ้าเห็นไม่ใช่ความจริง อย่าขยับ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะทำให้เขตอาคมทั้งหมดถูกทำลาย!”
ทันใดนั้น เซวียนปิงก็ได้สติ เขายืดตัวขึ้นแล้วงอนิ้วเข้าหากัน ไม่นานหลังจากนั้น ยันต์ผ้าเหลืองก็ปรากฏขึ้นก่อนจะล้อมรอบตัวเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผ้ายันต์พวกนั้นกลับไม่ได้เรืองแสงเหมือนเช่นก่อนหน้านี้
ครั้งแรกตอนที่เขาได้ยินเสียงเห่านั้น เซวียนปิงก็รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะพลังวิญญาณนั้นไม่อาจคุ้มครองเขาได้อีกต่อไปแล้วนั่นเอง
สุนัขล่าเนื้อที่เนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเลือดไม่คิดที่จะซ่อนตัวอยู่ในมุมห้องอีกต่อไป มันก้าวออกมาข้างหน้าแม้จะเดินกะโผลกกะเผลก มันจ้องไปที่เซวียนปิงด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะกระโจนเข้าใส่และใช้ฟันอันแหลมคมของมันฉีกร่างของเขา!
เซวียนปิงสบถอยู่ในใจ ก่อนจะถีบสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นกลับไป เขายกมือขึ้นเตรียมท่องคาถา!
เฮ่อเหลียนเวยเวยจำได้ว่านั่นเป็นคาถาที่มีฤทธิ์ถึงตาย และมีไว้เพื่อทำลายวิญญาณของเป้าหมาย
สุนัขล่าเนื้อยังคงจ้องมองไปที่เซวียนปิงด้วยดวงตาสีแดงฉาน ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์อันยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าสุนัขล่าเนื้อตัวนี้มาที่นี่เพื่อแก้แค้นเซวียนปิง แต่หากไม่ใช่เพราะเสียงร้องของสุนัขล่าเนื้อตัวนั้น ยมทูตที่อยู่ทางซ้ายมือของเซวียนปิงคงได้ทำลายเขตอาคมนี้และพรากวิญญาณของเขาไปแล้ว!
สัตว์มักจะรู้จักบุญคุณมากกว่ามนุษย์
มันเห็นว่าเซวียนปิงเป็นผู้เลี้ยงมันมา มันจึงตอบแทนความเมตตาของเขาก่อนที่มันจะแก้แค้นเขา
สุนัขล่าเนื้อตัวนี้ยังมีความเห็นอกเห็นใจให้เจ้านายของมันอยู่
แต่ความตั้งใจเดียวของเซวียนปิงกลับเป็นการกำจัดสุนัขล่าเนื้อตัวนี้ไปจากโลก
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ใช้คาถาหยินหยางอันขึ้นชื่อว่าเป็นคาถาที่อันตรายที่สุดของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายนี้กับมัน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเข้าไปในดวงตาของสุนัขล่าเนื้อพร้อมกับทอดถอนใจ จากนั้นนางจึงยกมือขึ้นรวบรวมพลังวิญญาณของตัวเองก่อนจะตะโกนขึ้นว่า ”ทำลาย!”
พลังวิญญาณของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นแข็งแกร่งกว่าของเซวียนปิงอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยคำสั่งเพียงสั้นๆ ของเฮ่อเหลียนเวยเวย พลังวิญญาณที่อยู่ในคาถาหยินหยางก็พลันสลายไปจนหมดสิ้น
สุนัขล่าเนื้อที่ถูกกักขังไว้ในตอนแรกแยกเขี้ยวอันแหลมคมของมันออกมาอีกครั้ง แล้วฝังเขี้ยวนั้นเข้าที่คอของเซวียนปิง!
ยันต์ผ้าเหลืองร่วงลงกับพื้น คิ้วของเซวียนปิงขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างสุดแสน วินาทีต่อมา ความหวาดกลัวก็วาดขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เขารู้สึกได้ถึงกระแสลมกรรโชกที่มาพร้อมกับคมเคียวในมือของยมทูตที่กำลังเข้ามาใกล้เขา
ตอนนี้เองที่ซงเจิ้งเหวินเหรินพุ่งผ่านเข้าไป เสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวของเขาลอยอยู่ในอากาศขณะที่เขายืนขวางเซวียนปิงเอาไว้พร้อมกับกระบี่ไม้ในมือ ยันต์ผ้าเหลืองลอยขึ้นสู่อากาศอีกครั้ง และปกป้องเซวียนปิงด้วยแสงที่สว่างยิ่งกว่าเดิม
ในเวลาเดียวกันนั้น ทั้งยมทูตและสุนัขล่าเนื้อต่างก็ล่าถอยไปพร้อมกัน
น่าเสียดายที่ซงเจิ้งเหวินเหรินมองไม่เห็นสุนัขล่าเนื้อ เขามองเห็นได้แค่เพียงยมทูตเท่านั้น
ม่านตาของเซวียนปิงหดตัวเข้าหากันด้วยความตกใจ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงสงบสติอารมณ์ลงได้ แล้วเอ่ยว่า ”องค์รัชทายาท”
“ลุกขึ้น” ซงเจิ้งเหวินเหรินสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เมื่อรู้ว่าการกระทำของตัวเองทำให้เรื่องเล็กกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เซวียนปิงจึงยกมือขึ้นลูบคอที่ได้รับบาดเจ็บของตัวเองพร้อมกับยืนขึ้น บนคอของเขาไม่มีร่องรอยบาดเจ็บ แต่กลับมีกลิ่นอายอันมืดมนติดอยู่ นอกจากความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นแล้ว เซวียนปิงยังรู้สึกโกรธจนควันแทบออกหู
เขาร่ายคาถาหยินหยางออกไปแล้วแท้ๆ แต่สุนัขล่าเนื้อตัวนั้นก็ยังสามารถพุ่งเข้าจู่โจมเขาได้!
เซวียนปิงไม่รู้ว่าคนที่โต้กลับการโจมตีของเขาไม่ใช่สุนัขล่าเนื้อ แต่คือเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่เงียบๆ ในมุมมาตลอดต่างหาก
ตอนนี้สุนัขล่าเนื้อกลับคืนสู่สภาพที่ไม่มีใครมองเห็น และคนที่มองเห็นมันก็มีเพียงแค่เฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท่านั้น
ในความมืดนั้น สุนัขล่าเนื้อเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยเท้าซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นมันก็คุกเข่าลง
แม้เฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่เข้าใจภาษาสุนัข แต่นางก็รู้ว่าสุนัขตัวนี้ขอบคุณที่นางช่วยมัน เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าในเมื่อนางพอจะเข้าใจศาสตร์แห่งหยินหยางอยู่บ้าง ดังนั้นนางก็น่าจะช่วยให้วิญญาณของสุนัขล่าเนื้อตัวนี้ไปสู่สุขคติได้เช่นกัน
แต่นึกไม่ถึงว่าสุนัขล่าเนื้อตัวนี้จะส่ายหัว ก่อนลุกขึ้นยืนอย่างไม่ยอมแพ้อยู่ข้างหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย ท่าทางของมันเหมือนกำลังให้สัจจะสาบานว่าจะปกป้องนาง…