ตอนที่ 668 ปัญญาชนที่น่าขยะแขยง
ทันทีที่เลิกเรียนตอนเที่ยง หลินม่ายก็ยืมโทรศัพท์จากห้องพักอาจารย์โทรหาพ่อไป๋
เธอบอกเขาว่าแม่ไป๋มามหาวิทยาลัยในตอนเช้าเพื่อพยายามทำให้ชื่อเสียงของเธอเสื่อมเสีย แม้จะทำได้ไม่สำเร็จ แต่ก็อาจทำให้ใครหลายคนมองเธอในทางที่ไม่ดี
เรื่องนี้เธอไม่ได้พูดเกินจริงสักนิด
แม้เธอจะทำให้แม่ไป๋พูดไม่ออกในครั้งแรก แต่ข่าวลือเกี่ยวกับการที่เธอปฏิบัติต่อแม่และลูกสาวบุญธรรมก็แพร่สะพัดไปในหมู่เพื่อนร่วมชั้นของเธอ
ใบหน้าของพ่อไป๋ที่ปลายอีกด้านของโทรศัพท์พลันแดงก่ำด้วยความโกรธ
เสวี่ยเป่าเป็นลูกที่มีอนาคตสดใสมากที่สุดของตระกูลไป๋รุ่นต่อไป แต่ซินอี๋กลับไปมหาวิทยาลัยเพื่อทำลายชื่อเสียงของเธอ นั่นเท่ากับเป็นการพยายามทำลายเธอ!
พ่อไป๋ตอบกลับ “พ่อจะจัดการเรื่องนี้เอง ไม่ต้องห่วง ลูกเรียนให้สบายใจเถอะ”
หลินม่ายตอบตกลง
เธอโทรหาพ่อไป๋ในครั้งนี้ ก็เพื่อขอให้เขาสอนบทเรียนให้แม่ไป๋
เมื่อได้รับบทเรียนจากชายที่ตนรักมาก หัวใจของแม่ไป๋จะต้องเจ็บปวดไม่น้อยแน่
หากแม่ไป๋ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี ย่อมเป็นธรรมดาที่เธอต้องโต้กลับ!
หลังจากวางสาย หลินม่ายก็ปั่นจักรยานไปยังโรงอาหารเพื่อกินข้าว
มหาวิทยาลัยชิงหวากว้างใหญ่จนดูเหมือนเทศมณฑล หากไม่ปั่นจักรยานก็ต้องเดิน ซึ่งเสียเวลาอย่างมาก
หลินม่ายไปยังโรงอาหารเพื่อซื้ออาหาร
เธอมองดูของที่ขายจากแต่ละร้านเพื่อซื้อสิ่งที่จะรับประทาน ทันใดนั้นกล่องอาหารกลางวันก็ถูกยัดใส่มือของเธอ
เธอเงยหน้าขึ้นและพบว่าเป็นจ้าวซั่วหยาง ชายผมยาวที่มีใบหน้าเหมือนปีศาจหมู
จ้าวซั่วหยางยิ้มให้กับเธอ “บังเอิญว่าฉันไม่อยากกินเมนูนี้พอดี ฉันให้เธอก็แล้วกันนะ”
หลินม่ายหยิบกล่องอาหารกลางวันอีกกล่องอย่างไร้มารยาท “ฉันไม่ชอบแซงคิวคนอื่น”
เธอเดินจากไปโดยไม่สังเกตแววตาที่เคร่งขรึมในดวงตาของจ้าวซั่วหยาง
หลังจากซื้ออาหารแล้ว หลินม่ายก็มองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่นั่งว่าง
เพื่อนร่วมห้องหลายคนโบกมือให้เธออย่างกระตือรือร้น “ม่ายจื่อ มานี่สิ ยังมีที่นั่งว่างอยู่”
หลินม่ายเดินมานั่งกับพวกหล่อน
เสิ่นอวิ้นชี้ไปยังจ้าวซั่วหยางและกระซิบ “เธอรู้จักรุ่นพี่คนนั้นด้วยเหรอ?”
หลินม่ายส่ายหัวและพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม “ไม่รู้”
เถียนเฟินถามอย่างไม่เชื่อ “ถ้าเธอไม่รู้จักเขา เขาจะซื้ออาหารให้เธอทำไม?”
หลินม่ายตักข้าวเต็มปาก “ฉันจะรู้ได้ยังไง”
ฉีเยว่ชิงคาดเดาอย่างอิจฉา “เป็นเพราะพี่จ้าวซั่วหยางต้องการจีบเธอหรือเปล่า? เพราะเธอสวยมาก”
เมื่อหลินม่ายได้ยินคำว่าจ้าวซั่วหยาง เธอก็จำคนคนนั้นได้ในทันที
ในอีกสิบหรือยี่สิบปี บุคคลนี้จะเป็นปัญญาชนที่มีชื่อเสียง
ตามพจนานุกรมทั่วไป ปัญญาชนหมายถึงบุคคลที่มีพื้นฐานทางวิชาการ ถึงพร้อมด้วยคุณภาพทางวิชาชีพ เป็นบุคคลอุดมคติที่มีวิจารณญาณและความรับผิดชอบทางศีลธรรม
อย่างไรก็ตาม ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า คำนิยามเหล่านี้กลับกลายเป็นคำเสื่อมเสียในประเทศจีน
มันเป็นคำย่อพิเศษสำหรับคนเฉพาะกลุ่มที่จงใจชี้นำความคิดเห็นหรือให้ข้อสังเกตเชิงวิจารณ์และอ้างตนว่าเป็น ‘ปัญญาชนสาธารณะ’
จู่ ๆ หลินม่ายก็นึกขึ้นได้ ไม่แปลกใจเลยที่เธอรู้สึกคลื่นไส้ทุกครั้งที่เห็นรุ่นพี่ปีศาจหน้าหมูผมยาวคนนี้ เพราะเขาคือจ้าวซั่วหยางนั่นเอง
ชาติที่แล้วเขามีชื่อเสียงโด่งดังเพราะมีการศึกษามากกว่าคนทั่วไป เขาจึงดูแคลนและใส่ร้ายมาตุภูมิ
จากนั้นก็ถูกสังหารในภายหลัง ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง
เธอไม่ได้คาดคิดว่าคนที่มีชื่อเสียงคนนี้จะมีใบหน้าเช่นนี้ในตอนที่เขายังเด็ก ซึ่งดูน่ารำคาญอย่างมากในสายตาเธอ
หลังอาหารกลางวัน หลินม่ายและเพื่อนร่วมห้องก็กลับไปยังหอพักเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอ่านหนังสือ
พวกหล่อนทั้งหมดต้องฝ่าฝันหลายสิ่งอย่างจนได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ ดังนั้นทุกคนจึงเรียนและอ่านหนังสืออย่างหนักหน่วง
หลายคนเดินเข้าไปในหอพักเพื่อพูดคุยและหัวเราะ และเห็นสวีชิงหยานั่งอยู่บนเตียงของหล่อนเอง
สวีชิงหยามาจากเมืองระดับสามในภาคกลางของจีนซึ่งมีผู้หญิงสวยอยู่มากมาย
แต่สวีชิงหยาเป็นคนอีกประเภทหนึ่ง หล่อนไม่ใช่คนสวยนัก ผิวของหล่อนทั้งดูหยาบกร้านและดำคล้ำ
ดูจากลักษณะภายนอกแล้ว ทำให้หลายคนล้วนคิดว่าหล่อนมาจากหมู่บ้านชาวประมงในภาคใต้
เมื่อทุกคนเห็นสวีชิงหยา แม้จะไม่ชอบหล่อนมากนัก แต่พวกหล่อนก็ทักทายสวีชิงหยาอย่างอบอุ่น
นักเรียนในหอคอยงาช้างมีความคิดค่อนข้างเรียบง่าย พวกเขาอาศัยอยู่ในหอพักเดียวกันและยังคงหวังว่าจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
เหมียวเหมียวถามสวีชิงหยาอย่างตรงไปตรงมา “เธอกินผักดองกับหมั่นโถวแทนมื้อเที่ยงอีกแล้วเหรอ? ฉันขอให้เธอไปกินอาหารกลางวันกับเรา แต่เธอก็ปฏิเสธ ทีหลังไปกับเราสิ กินกับเราแล้วเธอจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น!”
สภาพครอบครัวของสวีชิงหยาไม่ค่อยดี เหมียวเหมียวจึงกล่าวด้วยเจตนาดี
แต่สวีชิงหยารู้สึกละอายใจและไม่พอใจเล็กน้อย จึงพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่จำเป็นหรอก”
รูมเมทหลายคนพูดกล่าวขึ้นทันที “นักเรียนสวีชิงหยา เราจะเป็นเพื่อนร่วมห้องกันอย่างน้อยสี่ปี เธอไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก จากนี้ไปเรามากินอาหารเย็นด้วยกันนะ”
สวีชิงหยาไม่รีบตอบ แต่มองไปยังหลินม่าย
หลินม่ายปีนขึ้นไปบนเตียงชั้นสองของตน พลางหยิบหนังสือขึ้นมาและเริ่มอ่าน
เธอเรียนวิชาเอกวิศวกรรมสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์
เหตุผลที่เธอเลือกเรียนสาขานี้ เพราะรู้ว่าในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า การฟื้นตัวของประเทศจีนจะทำให้ชาวตะวันตกอิจฉาและปิดกั้นเทคโนโลยีต่าง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปิดกั้นทางเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศอย่างมาก
เธอไม่อยากไปเกิดใหม่ตลอดชีวิตเพื่อต้องพบเห็นภาพอันน่าเศร้าแบบนี้อีก
เธอต้องวางแผนล่วงหน้าและเริ่มพัฒนาชิปตั้งแต่ตอนนี้ ถึงเวลานั้นจะได้แก้ปัญหาได้ทัน
เธอมีผลการเรียนดีในวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ดังนั้นเธอจึงเหมาะกับหลักสูตรวิชาชีพนี้
แม้เธอไม่ต้องการจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพนี้ เธอก็สามารถเรียนรู้เพียงผิวเผินและจัดตั้งทีมเพื่อศึกษาชิปได้
หากทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการ เธอก็จะมุ่งเน้นไปยังการทำธุรกิจและหารายได้เพื่อร่วมในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
เธอไม่เคยได้สัมผัสกับวิชาเอกวิศวกรรมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในชีวิตที่แล้ว และวิชาเอกนี้มีเนื้อหามากมาย
นอกเหนือจากการเรียนรู้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวงจรแล้ว เธอยังต้องเรียนรู้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ ภาษาโปรแกรม การออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ การประมวลผลสัญญาณดิจิทัล และอื่น ๆ
ไม่มีวิชาใดที่ง่ายสำหรับเธอ ดังนั้นเธอจึงต้องตั้งใจอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อเรียนรู้
เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมห้องทุกคนในหอพักเป็นห่วงหล่อนยกเว้นแต่หลินม่ายที่ไม่แยแสใดๆ สวีชิงหยาก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
สวีชิงหยาถามอย่างสมเพช “นักเรียนหลินม่าย เธอไม่พอใจอะไรในตัวฉันหรือเปล่า?”
หลินม่ายเพ่งมองหนังสือเรียนและถามกลับอย่างเหม่อลอย “ฉันไม่พอใจอะไรในตัวเธองั้นเหรอ? เธอคิดว่ายังไงล่ะ?”
สวีชิงหยาตอบกลับ “ฉันคิดว่าเธอเกลียดชังและพยายามดูถูกฉัน”
“หา! ทำไมฉันต้องเกลียดเธอด้วยล่ะ? เธอทำอะไรให้ฉันเกลียด? พูดให้ฟังหน่อยสิ?”
หลินม่ายหมกมุ่นอยู่กับหนังสือก็จริง แต่เมื่อสวีชิงหยาพูดคุยกับเธอ เธอก็ตอบสนองโดยไม่รู้ตัว
ริมฝีปากของสวีชิงหยาขยับ แต่หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไร
หล่อนไม่สามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจได้ ทุกคนในหอพักเป็นห่วงหล่อน มีเพียงหลินม่ายที่ไม่สนใจหล่อน การกระทำเช่นนั้นก็หมายถึงความเกลียดชังและดูถูกไม่ใช่เหรอ?
แต่หากบอกเรื่องนี้ไปตามตรง เพื่อนร่วมห้องต้องบอกว่าหล่อนคิดไปเองอย่างแน่นอน
สวีชิงหยาไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้เพียงกล่าว “ฉันเห็นว่าเธอไม่สนใจฉันมากนัก ฉันก็เลยคิดว่าเธอคงดูถูกฉัน”
เหมียวเหมียวเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น “เธอไม่รู้หรือว่าหลินม่ายเป็นหนอนหนังสือ? หล่อนมักจะหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือเสมอเมื่อมีเวลาว่าง ไม่ค่อยสนใจคนอื่นหรอก และไม่สนใจพวกเราด้วย”
เพื่อนร่วมห้องต่างแนะนำสวีชิงหยาว่าอย่าคิดมาก
แม้ว่าสวีชิงหยาจะไม่ได้พูดอะไร แต่หล่อนก็อารมณ์เสียมาก
เป็นเพราะสถานะทางการเงินที่ดีของหลินม่าย เพื่อนร่วมห้องของเธอทุกคนจึงยืนเคียงข้างเธอและช่วยพูดให้เธอ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่มั่นมากนะที่มาจีบแฟนพี่หมอ ระวังแฟนเขาเชือดเด้อ
ชิงหยานี่แปลกๆ นะ เป็นคนประเภทมองโลกในแง่ร้ายมาก ควรไปพบจิตแพทย์นะคะ
ไหหม่า(海馬)