บทที่ 643 บันไดสวรรค์โกลาหล ซีเข้าร่วมการสอบคัดเลือก!
ศึกวันนี้ เป็นการเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ให้กับหลี่จิ่วเต้าอย่างแท้จริง!
ในอดีต ผู้ฝึกตนในใจเขาเป็นตัวตนระดับสูงส่ง ไม่อาจต้านทานได้ ทว่าบัดนี้ ด้วยร่างปุถุชนนี้ เขาก็สามารถสังหารผู้ฝึกตนได้แล้วเหมือนกัน เป็นผลให้ความเข้าใจที่เขามีต่อผู้ฝึกตนเปลี่ยนไปอย่างมาก
ที่แท้ผู้ฝึกตนก็ใช่ว่าฆ่าไม่ได้เสียหน่อย!
‘ใช้ได้นี่!’
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ บอกตัวเองในใจ
สำหรับเขา วันนี้เป็นวันที่มีความหมายอย่างยิ่งยวด เขาก็ฆ่าผู้ฝึกตนได้เหมือนกัน บ่งบอกว่าวันหน้าหากเขาได้พบซี ไม่แน่อาจได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับซี ช่วยแบ่งเบาภาระของนาง
‘บังอาจลงมือกับคุณชาย!’
‘รนหาที่ตายจริง ๆ!’
หลิงอิน ลั่วสุ่ยพากันคิดในใจ ริอ่านลงมือกับคุณชาย รนหาที่ตายก็ไม่ต้องทำถึงขั้นนี้กระมัง!
‘พักผ่อน ๆ!’
หลี่จิ่วเต้ามีความสุขมาก เดินกลับไปยังรถลากด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม เข้านอนด้วยความปีติ
…
ภายในเอกภพ
เจ้าหลวงทะลุทะลวงผ่านหมู่ดาราอย่างรวดเร็ว เขาดูดกลืนสสารพิศวงในนครพิศวงของจ้าวตะเข้ไปจนเกลี้ยง เป็นผลให้พลังของเขาเพิ่มพูน มิใช่กำลังรบระดับกึ่งเซียน หากแต่กลายเป็นกำลังรบระดับเซียน
ขนพิศวงบนตัวเขาก็เปลี่ยนแปลงไป เดิมเคยมีขนสีเขียว บัดนี้เปลี่ยนเป็นขนสีเทาแล้ว
ซ้ำยังมีขนสีเทาจำนวนไม่น้อยกลายเป็นสีดำ
ในนครพิศวงของจ้าวตะเข้มีสสารพิศวงอยู่มหาศาล เขาดูดกลืนไปทั้งหมด หากหลอมรวมเข้าด้วยกันได้เมื่อใด เขาย่อมมีกำลังรบระดับเซียนสมบูรณ์ ขนยาวทั้งตัวแปรเปลี่ยนเป็นขนสีดำสนิท ทรงพลังเทียบเท่าจ้าวตะเข้!
“สหายของข้า เจ้าวางใจเถิด ข้าจะให้พี่ใหญ่แก้แค้นแทนเราแน่นอน!”
เขาเอ่ยด้วยดวงตาวาวโรจน์ ลืมไปเสียสนิทว่าจ้าวตะเข้ถูกเขากลบหลุมฝังแท้ ๆ เขาโบ้ยความแค้นทั้งหมดไปที่มัจฉาสัตมายา และของวิเศษต่าง ๆ
ผ่านไปไม่นาน เจ้าหลวงเข้าสู่ระบบดวงดาวกว้างใหญ่อีกแห่ง ที่นี่ไม่มีดาวดวงอื่นนอกจากดาวมโหฬาร ณ ใจกลาง
ที่นี่คือที่ตั้งนครพิศวงของพี่ใหญ่เขา!
แน่นอนว่า พี่ใหญ่ผู้นี้เขาเรียกเองฝ่ายเดียว พี่ใหญ่ที่ว่าจะยอมรับเขาหรือไม่ยังไม่แน่
“พี่ใหญ่ น้องมาหาท่านแล้ว!”
เขาร้องเรียกเสียงดัง หยุดชะงักที่ชายขอบระบบดวงดาวแห่งนี้ มิกล้าบุกเข้าไปโดยพลการ
ดาวมโหฬารดวงนี้มีขนยาวสีฟ้าอันน่าพิศวงงอกอยู่เต็มไปหมด สสารพิศวงที่นี่มีความบริสุทธิ์สูง และยังมีจำนวนมากกว่า จนดาวดวงนี้ติดเชื้อไปด้วย มีพลังมากล้นเกินหยั่ง เขามิกล้าฝ่าเข้าไปแม้แต่น้อย กลัวจะถูกโจมตี
ขนยาวสีฟ้าพลิ้วไสว นี่คือสสารพิศวงลางร้ายที่มีระดับสูงกว่าสีดำ แม้ว่าพลังของเขาเพิ่มทวีคูณ กระนั้นเมื่ออยู่ภายใต้พลังพิศวงลางร้ายสีฟ้าเช่นนี้ ยังคงปวกเปียกต้านไม่ได้แม้แต่การโจมตีเดียว ไม่อาจเทียบกันได้เลย คงได้ถูกสังหารในชั่วพริบตา!
เขาไม่อยากถูกฆ่าก่อนได้พบพี่ใหญ่
แม้ว่าพวกเขาโอบกอดความพิศวงลางร้ายด้วยกันทั้งหมด ทว่าแต่ละนครพิศวงนั้นมิได้สมัครสมานนัก ต่างฝ่ายต่างตั้งตัวเป็นปรปักษ์ต่อกัน ส่วนใหญ่แล้วล้วนต้องการกลืนกินนครพิศวงแห่งอื่นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ฝ่ายตนเอง
“เจ้าหลวงหรือ”
เสียงหนึ่งดังออกมาจากดวงดาว จากนั้น ลำแสงสีฟ้าพิศวงลำหนึ่งพวยพุ่งเข้ามา ด้านในห่อหุ้มสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายที่มีขนสีฟ้างอกอยู่เต็มกายตนหนึ่ง
ผู้นี้ก็คือพี่ใหญ่ที่เจ้าหลวงกล่าวถึง
เห็นได้ชัดว่า เขายังไม่ลืมเจ้าหลวง หลังได้ยินเสียงอีกฝ่ายก็ก้าวออกมาในทันที
“พี่ใหญ่!”
ทันทีที่เจ้าหลวงได้พบพี่ใหญ่ก็ร่ำไห้โศกา
“ข้า…อนาถเหลือเกิน! จ้าวตะเข้ก็ด้วย!”
เขาร้องไห้บอกเล่าประสบการณ์น่าสังเวชของเขาและจ้าวตะเข้ ทั้งยังนำทุกอย่างที่เขากวาดล้างจากนครพิศวงของจ้าวตะเข้ออกมา
‘ทาส’ ทั้งหมดนั้นก็ถูกเขาปล่อยออกมาทั้งหมด!
“ข้ามาคราวนี้ ก็เพื่อขอสมัครเป็นพรรคพวกพี่ใหญ่!”
เขาร่ำไห้ไม่หยุด พร้อมกล่าวต่อ “พวกเราอนาถกันมากจริง ๆ พี่ใหญ่โปรดผดุงความเป็นธรรมเพื่อเรา แก้แค้นแทนเราด้วย!”
“พวกเจ้าทั้งสองเป็นคนที่ข้าเห็นมาตั้งแต่เด็ก รักใคร่กลมเกลียวกันดั่งพี่น้อง เจ้ามาหาข้า จะเรียกว่าสมัครเป็นพรรคพวกได้อย่างไร ดินแดนของข้าก็คือบ้านของเจ้า!”
จ้าวหลานผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ย “เจ้านำของเหล่านี้มาเพื่อเหตุใด ห่างเหินกับข้าปานนั้นเชียว เอาเถิด นี่คือน้ำใจจากเจ้า หากข้าไม่รับ จะไปหักหาญน้ำใจเจ้าเปล่า ๆ” เขาโบกมือ เก็บทุกอย่างเข้ากรุ
“วางใจเถิด ข้าต้องผดุงความเป็นธรรมให้พวกเจ้าแน่ และล้างแค้นแทนพวกเจ้า!” เขาตบบ่าเจ้าหลวงพร้อมเอ่ยบอก
“ขอบคุณพี่ใหญ่!” เจ้าหลวงกล่าวขอบคุณเสียงรัว
“ข้าจะไปเรียกรวมพลเดี๋ยวนี้ บุกไปยังอาณาจักรอวี้ซวีพร้อมเจ้า ช่วยล้างแค้นแทนพวกเจ้า!” พี่ใหญ่เอ่ย
เขาใคร่สนใจในเหล่าของวิเศษที่เจ้าหลวงได้เอ่ยมามาก และยิ่งสนใจในตัวบุคคลผู้อาจอยู่เบื้องหลังของวิเศษเหล่านี้
หากเขากำราบผู้อยู่เบื้องหลังของวิเศษเหล่านั้นได้ พลังอำนาจนครพิศวงของเขาย่อมต้องคูณทวี
สงครามใหญ่จวนจะปะทุ นี่คือโอกาสแสดงตน นครพิศวงทั้งหลายต่างรอคอยวันนั้น และพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับนครพิศวงของตนเอง
…
ภายในแดนบรรพโกลาหล
ซีมาถึงตำหนักตงชิว
ตำหนักตงชิวกว้างใหญ่โอ่อ่า วิหารโบราณมากมายสูงตระหง่านเหนือเมฆ กฎแห่งโกลาหลลึกล้ำถักทอประสาน ยิ่งใหญ่ดุดัน ราวกับกำลังก้มมองแดนบรรพโกลาหลทั้งผืน
‘เก้ามหาตระกูลในภพเซียนไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าตำหนักตงชิว!’ ซีสะท้อนใจอย่างอดไม่ได้
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ตำหนักตงชิวสมเป็นกองกำลังชั้นนำในแดนบรรพโกลาหล กระทั่งลูกศิษย์ผู้มีหน้าที่เฝ้ายามยังไม่อาจสบประมาทได้ แต่ละคนล้วนเป็นถึงจ้าวแห่งเซียน!
นางสัมผัสได้ว่าลูกศิษย์เหล่านี้ไม่ธรรมดา ปราณโกลาหลไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง จึงไม่เคลือบแคลงเลยว่า หากส่งลูกศิษย์เหล่านี้ไปยังภพเซียน ไม่ว่าศิษย์คนใดล้วนสามารถกำราบจ้าวแห่งเซียนสูงสุด หรืออาจถึงขั้นกำราบราชันแห่งเซียนซึ่งอยู่เหนือจ้าวแห่งเซียนได้!
พลังโกลาหลนี้อัศจรรย์อย่างยิ่ง อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง มิใช่สิ่งที่พลังเซียนจะเทียบได้ ต่อให้อยู่ในขอบเขตเดียวกัน ก็ยังห่างชั้นกันมากโข มิอาจทัดเทียมกันได้เลย
ตำหนักตงชิวรับศิษย์หนึ่งหมื่นปีหน นางโชคดีไม่น้อย ทันระยะหมื่นปีพอดี
สิ่งมีชีวิตที่มาเข้าร่วมการสอบคัดเลือกของตำหนักตงชิวไม่รู้ว่ามีตั้งเท่าไหร่ ยั้วเยี้ยเรียงรายอเนกอนันต์ หลังซีได้เห็นก็ยิ่งสะท้อนใจเข้าไปใหญ่
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนแล้วน่าทึ่ง ขอบเขตสูงส่งกันถ้วนหน้า จ้าวแห่งเซียนมีให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาด ราชันแห่งเซียนยิ่งเยอะจนนับไม่หมด กระทั้งยอดเซียน เซียนจวินซึ่งอยู่เหนือราชันแห่งเซียนยังมากันไม่น้อย!
‘สมเป็นแดนบรรพโกลาหล!’
ซีคิดในใจอย่างอดไม่ได้
ขอบเขตสูงปานนี้ ทว่าอายุกลับไม่เท่าไหร่ สิ่งมีชีวิตที่เดินทางมาที่นี่ล้วนอายุยังน้อย เปี่ยมไปด้วยพลังเยาว์วัย นี่ก็เพราะเป็นแดนบรรพโกลาหล ถึงบ่มเพาะสิ่งมีชีวิตสะท้านโลกันตร์ออกมาได้มากมายเพียงนี้ หากเป็นในภพเซียน ไม่มีทางเป็นจริงได้เลย!
ต้องรู้ว่าในภพเซียน ผู้ที่สามารถบรรลุเป็นจ้าวแห่งเซียนตั้งแต่ยังเยาว์วัยนับว่าโดดเด่นไม่ธรรมดาแล้ว ส่วนราชันแห่งเซียนซึ่งอยู่เหนือขั้นจ้าวแห่งเซียนนั้นไม่เคยมีมาก่อน!
และยอดเซียน เซียนจวินนั้น อย่าว่าแต่คนวัยเยาว์เลย กระทั่งวัยกลางคน วัยชรา ยังมิสู้จะมีกี่คนได้บรรลุถึง
‘หากมิใช่ว่าข้าได้พบวาสนาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ร่างกายเปลี่ยนไปถึงแก่น ข้าคงไม่อาจแม้แต่จะคิดเข้าตำหนักตงชิว!’ ซีเอ่ยในใจ
ก่อนร่างกายของนางเปลี่ยนแปลงไปถึงแก่น นางหาได้มีความโดดเด่นไม่ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตตนใดในสถานที่แห่งนี้ต่างสามารถเล่นงานนางได้ง่ายดาย นางแตะไม่ถึงเงื่อนไขต่ำสุดของตำหนักตงชิวด้วยซ้ำ
ทว่าบัดนี้แตกต่างออกไป
บัดนี้ ต่อให้สิ่งมีชีวิตในที่นี้น่าทึ่งสะท้านโลกันตร์กันถ้วนหน้า นางก็มั่นใจว่าสามารถดวลกันได้สักตั้ง!
เหง่งหง่าง!
เวลานั้นเอง เสียงระฆังดังขึ้น ร่างที่มีอายุหลายร่างเหินออกจากตำหนักตงชิว มีทั้งบุรุษและสตรี ต่างเป็นผู้อาวุโสซึ่งรับหน้าที่ดูแลการสอบคัดเลือกในครั้งนี้
“บันไดสวรรค์โกลาหลเชื่อมต่อสู่ประตูตำหนัก นี่คือเนื้อหาการสอบของพวกเจ้า ผู้ที่ก้าวขึ้นไปได้สิบขั้น สามารถเข้าตำหนักนอกของตำหนักตงชิวได้ ผู้ที่ก้าวขึ้นไปถึงยี่สิบขั้น สามารถเข้าตำหนักในของตำหนักตงชิวได้ ส่วนผู้ที่ก้าวขึ้นไปถึงห้าสิบขั้น จะได้เป็นหัวหน้าศิษย์ของวังต่าง ๆ ได้รับการอบรบสั่งสอนอย่างดี!”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งประกาศเนื้อหาการสอบคัดเลือก
สิ้นเสียงของเขา ห้วงมิติพลันบิดเบี้ยว ม่านหมอกโกลาหลแผ่ขยาย แสงมงคลนับล้านปรากฏ บันไดสวรรค์อันกว้างใหญ่ไพศาลปรากฏออกมาฉับพลัน ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน
สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งลองนับดู พบว่ารวมแล้วทั้งหมดหนึ่งร้อยขั้น
“หากว่าผ่านไปได้ทั้งหนึ่งร้อยขั้นจะเป็นอย่างไร”
เขาถามเสียงดัง ท่าทางมั่นใจสุด ๆ ยังไม่พึงพอใจในบันไดห้าสิบขั้น คิดจะผ่านไปให้ได้ทั้งหนึ่งร้อยขั้น
และเขามีสิทธิ์ทำเช่นนั้น ขอบเขตพลังของเขาสูงลิ่ว อยู่เหนือยอดเซียน เป็นถึงเซียนจวินท่านหนึ่ง!
“ผ่านไปได้ทั้งหนึ่งร้อยขั้นหรือ”
ผู้อาวุโสท่านนั้นหัวเราะ “คนวัยเยาว์กล้าคิดเช่นนี้นับเป็นเรื่องดี แต่อย่าคิดให้เกินกำลังนัก นับแต่ตำหนักตงชิวถือกำเนิด มิเคยมีผู้ใดผ่านบันไดไปได้ทั้งหนึ่งร้อยขั้นมาก่อน ประมุขตำหนักในอดีตของตำหนักตงชิว อย่างดีที่สุดก็ผ่านไปได้เพียงหกสิบแปดขั้นเท่านั้น”
“ยากขนาดนั้นเชียว?!”
เซียนจวินหนุ่มตกตะลึง ประมุขตำหนักตงชิวทั้งหลายในอดีตล้วนเป็นผู้กุมอำนาจใหญ่ในแดนบรรพโกลาหล ถึงอย่างนั้นสถิติสูงสุดยังอยู่แค่หกสิบแปดขั้น เขารึยังคิดจะผ่านให้ได้ทั้งหนึ่งร้อยขั้น นับว่าเพ้อเจ้อสิ้นดี ไม่รู้จักสำเหนียกตนเอง!
“ข้าขอพูดเช่นนี้แล้วกัน หากผ่านหกสิบขั้น เจ้าจะได้เป็นศิษย์สายตรงของประมุขตำหนัก มีโอกาสได้เป็นประมุขตำหนักคนต่อไป!”
ผู้อาวุโสกล่าว “ทว่าหลายแสนปีที่ผ่านมา มิเคยมีผู้ใดผ่านมาเกินหกสิบขั้น ตำแหน่งศิษย์สายตรงของประมุขตำหนักจึงยังว่างมาถึงป่านนี้”
เขากล่าวต่อ “อย่าเพิ่งมองการณ์ไกลไป ผ่านให้ได้ยี่สิบขั้นก่อนเป็นพอ หลังได้เป็นศิษย์ตำหนักใน ความสำเร็จของพวกเจ้าในวันหน้าก็เกินกว่าที่จะจินตนาการถึงแล้ว!”
จากนั้น เขาอธิบายอย่างละเอียดต่ออีกหน่อย
“บันไดสวรรค์โกลาหลทดสอบพรสวรรค์และศักยภาพของพวกเจ้า มีเพียงผู้ผ่านเกณฑ์เท่านั้น จึงจะข้ามผ่านบันไดสวรรค์ขึ้นไปได้ หากว่าพรสวรรค์และศักยภาพต่างไม่พอ ต่อให้ขอบเขตพลังสูงปานใดก็เปล่าประโยชน์ ไม่อาจก้าวผ่านไปถึงบันไดขั้นถัดไป”
ผู้อาวุโสบอก
เหง่งหง่าง!
เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง ผู้อาวุโสตำหนักตงชิวประกาศเริ่มการสอบคัดเลือก
แม้จะมีสิ่งมีชีวิตเข้าร่วมการสอบคัดเลือกเป็นจำนวนมาก ทว่าบันไดสวรรค์โกลาหลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เมื่ออยู่เบื้องหน้าบันไดสวรรค์โกลาหล สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างกระจิริดดุจมดปลวก เข้าร่วมการสอบคัดเลือกได้พร้อมกัน
สิ้นเสียงผู้อาวุโสตำหนักตงชิว สิ่งมีชีวิตผู้เข้าร่วมการสอบคัดเลือกเคลื่อนไหวกันทั้งหมด บุกไปยังบันไดสวรรค์โกลาหล
“ข้าขอดูหน่อยเถิด ด้วยพลังกายเนื้อของข้าในยามนี้ จะผ่านไปได้ถึงขั้นไหน!”
ซีดวงตาเป็นประกาย เคลื่อนไหวตัวพุ่งไปทางบันไดสวรรค์โกลาหลเช่นกัน
“ต้นอ่อนดี ๆ มีไม่น้อย แต่คงมิมีผู้ใดผ่านไปได้เกินหกสิบขั้นอยู่ดี”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งว่าไปตามประสบการณ์ที่ผ่านมา
เขารับผิดชอบด้านการสอบคัดเลือกมาโดยตลอด เรียกได้ว่าประสบการณ์โชกโชน โดยปกติ การคาดการณ์ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน แม่นยำเป็นอย่างยิ่ง