แม่สามีกำลังตักเตือนนาง!
เจียงซื่อสีหน้าซีดเซียว
ถามนางว่านางเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์หรือไม่ กำลังบอกว่านางทำเกินหน้าที่ อ่านหนังสือที่ไม่ควรอ่าน คิดอะไรที่ไม่ควรคิด ยุ่งเรื่องของสามีตัวเอง และที่พูดถึงเรื่องของคุณหนูสกุลหวังก็เพราะกำลังตำหนินางว่านางไม่ควรสงสัยในการตัดสินใจของสวีซื่อจุน ทำให้สวีซื่อจุนเสียหน้าต่อหน้าคนสกุลเดิมของตัวเอง ทำให้นางดูไม่มีมารยาท ไร้การศึกษา
นางพลันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
อยู่ที่เรือนต้องเชื่อฟังบิดา แต่งงานออกมาแล้วต้องเชื่อฟังสามี ผู้หญิงที่แต่งงานออกเรือนแล้ว ไม่ว่าสกุลเดิมจะมีอำนาจมากแค่ไหน แต่ในสกุลสามี คนหนึ่งร่วงหล่น ทุกคนก็ร่วงหล่น คนหนึ่งเจริญรุ่งเรือง ทุกคนก็เจริญรุ่งเรือง หลักการนี้ นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร แต่ว่าสวีซื่อจุน…หากไม่ใช่เพราะนางเป็นห่วงเขาก็คงจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง ผู้หญิงทุกคนล้วนแต่อยากแต่งงานกับผู้ชายที่เปรียบเสมือนต้นไม้ที่สูงตระหง่าน คอยปกป้องคุ้มครองพวกนางให้ปลอดภัยจากลมและฝน นางเองก็อยากจะหลบอยู่ใต้ร่มไม้ เป็นภรรยาที่เพียบพร้อมและลูกสะใภ้ที่กตัญญู
แต่คำพูดพวกนี้ ตนจะกล้าพูดต่อหน้าแม่สามีได้อย่างไรเล่า!
หากพูดออกไป อาจถือเป็นความผิดอย่างหนึ่ง
ภรรยาต้องเคารพสามี คนทั้งเยี่ยนจิงบอกว่าแม่สามีของนางเพียบพร้อม อ่อนโยนและใจกว้าง แต่หากไม่มีพ่อสามีคอยปกป้อง แม่สามีจะมีชื่อเสียงอย่างนี้หรือ
“ท่านแม่ ล้วนแต่เป็นความผิดของข้าเจ้าค่ะ” เจียงซื่อลุกขึ้นยืนช้าๆ นางรู้สึกตาลาย “เป็นข้าที่ไม่รอบคอบเอง” นางพูดพร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าสืออีเหนียงช้าๆ “ต่อไปข้าไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว ท่านแม่โปรดอย่าโกรธข้าเลยเจ้าค่ะ”
การตายของชุ่ยเอ๋อร์ จุดจบขอป้าเถา ทำให้นางสัมผัสบางอย่างได้ เรื่องบางเรื่องนางเข้าใจดีแต่กลับทำอะไรไม่ได้ มองจากมุมนี้แล้ว เจียงซื่อไม่เหมาะที่จะดูแลเรื่องลานในของจวนสกุลสวี นางอยากให้สวีซื่อจุนแต่งงานเร็วๆ เพราะหวังว่าเจียงซื่อจะเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีความสามารถ แต่งเข้ามาแล้วสามารถช่วยนางดูแลเรื่องในจวนสกุลสวี ถึงตอนนั้นนางจะได้ค่อยๆ ถอนตัวออกมาใช้ชีวิตที่สุขสบาย
และแน่นอนว่า นางรู้ดีว่าจินตนาการและความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน
คนที่ฉลาดและมีความสามารถ ล้วนแต่เป็นคนชอบเอาชนะ คนที่ชอบเอาชนะ ล้วนแต่มีความคิดเป็นของตัวเอง นางจึงจัดการคนของตัวเองวางไว้ในตำแหน่งที่สำคัญตั้งแต่เนิ่นๆ เช่นนี้ นางจะได้มีอำนาจในการโจมตีและป้องกัน ตราบใดที่เจียงซื่อเคารพนาง นางก็จะเคารพเจียงซื่อเหมือนกัน
ดังนั้น ทันทีที่เจียงซื่อแต่งงานเข้ามา นางเลยอยากให้เจียงซื่อช่วยนางดูแลเรื่องในจวน เพื่อสังเกตนิสัยและความสามารถของเจียงซื่อ ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่เห็นด้วย แต่นางก็คอยสังเกตเจียงซื่ออยู่ตลอดเวลา
ช่วยให้สวีซื่อจุนเข้าใจความผิดพลาดของตัวเอง นึกถึงความสัมพันธ์ของไท่จื่อ ยงอ๋องและจวนสกุลสวี ดูแลนิสัยชอบฝืนทำอะไรของสวีซื่อจุน…ตนรู้สึกว่าเจียงซื่อไม่เพียงแต่ฉลาด ซ้ำยังเป็นคนมีกลยุทธ์ หากมีความพอดีกว่านี้อีกสักหน่อย สวีซื่อจุนมีนางคอยช่วยเหลือก็นับเป็นเรื่องดี
นางจึงอยากเอ่ยตักเตือนเจียงซื่อ
“รีบลุกขึ้นเถิด!” สืออีเหนียงพูดอย่างสงบนิ่ง “มีเรื่องอันใดก็พูดกันดีๆ อย่าคุกเข่าเช่นนี้!”
ฟังน้ำเสียงของแม่สามีแล้ว ถึงแม้ตัวเองจะยอมรับผิด ก็คงไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ
เจียงซื่อหัวใจเต้นกระหน่ำ
นางรู้สึกไม่สบายใจ
“ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ!” นางยืนขึ้นด้วยท่าทีไม่สบายใจ ไม่รู้ว่ามีอะไรรอนางอยู่
“ข้าคิดมาเสมอว่า เด็กผู้หญิงอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องแย่” สืออีเหนียงจิบชาด้วยท่าทีนิ่งสงบอีกครั้ง ซึ่งแตกต่างกับท่าทีตื่นตระหนกของเจียงซื่อ “จะได้รู้เรื่องนอกเรือนบ้าง หากอยากช่วยสามีตัวเองก็จะได้คิดแผนออก เมื่อได้ยินคำพูดที่เจ้าใช้เกลี้ยกล่อมจุนเกอ ข้าก็อดชื่นชมไม่ได้ คิดว่าจุนเกอมีภรรยาที่เฉลียวฉลาด มีพี่สะใภ้อย่างเจ้า ต่อไปจะได้เป็นแบบอย่างให้น้องๆ อยู่กับบรรดาลูกสะใภ้ด้วยกันอย่างสามัคคีปรองดอง ไม่เพียงแต่เป็นวาสนาของจุนเกอ ยังเป็นวาสนาของสกุลสวีอีกด้วย”
เจียงซื่อมองไปที่สืออีเหนียงด้วยความตกใจ
นางคิดไม่ถึงว่าในสายตาของแม่สามี นางจะดูสูงส่งขนาดนั้น
หากเป็นวันธรรมดา นางคงจะดีใจ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้…ตบหัวแล้วลูบหลัง เกรงว่าคำพูดต่อไปคงจะไม่น่าฟังสักเท่าไร แล้วก็คงจะเป็นประเด็นสำคัญ
“เรื่องของจวนยงอ๋อง ที่เจ้าช่วยเตือนจุนเกอนั้นเป็นเรื่องที่ดี” สืออีเหนียงมองไปที่เจียงซื่อ “จุนเกอยังเด็ก ได้ยินเรื่องนี้ก็ตื่นตระหนก ไม่แปลกที่เขาตัดสินใจไม่ได้ ท่านพ่อของเจ้าเคยเป็นจอหงวน เคยเป็นขุนนางราชสำนัก แล้วยังเป็นบุรุษ เข้าใจเรื่องในราชสำนักมากกว่าผู้หญิงอย่างเรา ท่านโหวไม่อยู่ที่จวน เจ้าอยากให้ท่านพ่อของเจ้าช่วยตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่เหตุใดคนที่มาเกลี้ยกล่อมเจ้ากลับเป็นท่านป้าของเจ้าเล่า”
สีหน้าของเจียงซื่อเปลี่ยนไป
“เห็นได้ชัดว่าเรื่องบางเรื่องเจ้ายังไม่ค่อยเข้าใจ” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “แล้วอีกอย่าง วันนี้เจ้าถามว่า เหตุใดจุนเกอถึงต้องมอบน้ำเต้าเลี้ยงตั๊กแตนให้คุณชายหวังต่อหน้าท่านป้าของเจ้า ข้าเข้าใจเจตนาของเจ้า จุนเกอไม่มอบอะไรให้เขา แต่กลับจะมอบน้ำเต้าเลี้ยงตั๊กแตนให้เขา หากคุณชายหวังเอาแต่เล่นไม่สนใจหน้าที่การงาน จุนเกอก็จะกลายเป็นสหายที่ไม่ดี ไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของจุนเกอ เรื่องในจวน ท่านป้าของเจ้ารู้ ไม่จำเป็นต้องปิดบังนาง ภรรยาที่ดีเคารพสามี ภรรยาที่โง่เขลาด่าทอสามี เจ้าก็เคยอ่านหนังสือ ‘บัญญัติสตรี’ และ ‘ตำนานปีศาจสาว’ แน่นอนว่าต้องรู้หลักการพวกนี้ เหตุใดวันนี้ถึงได้ทำเช่นนั้น เรื่องบางเรื่องเจ้าต้องคิดให้รอบคอบ”
สืออีเหนียงพูดอย่างจริงจัง นางยกถ้วยชาขึ้นมา “สายมากแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด ข้ายังอยากให้เจ้าช่วยข้าแบ่งเบาภาระเร็วๆ ดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในจวนแทนข้า!”
“เจ้าค่ะ!” เจียงซื่อขานรับเสียงเบาด้วยท่าทีเหม่อลอย จากนั้นก็ออกไปจากเรือนหลักด้วยท่าทีใจลอย
“คุณนายน้อยสี่เจ้าคะ” สะใภ้หยวนเป่าจู้เห็นสีหน้าของนางผิดปกติก็เป็นกังวล ไม่รู้ว่าฮูหยินสี่เรียกคุณนายน้อยสี่ไปพูดอะไร “ท่านเป็นอะไรไป”
เสียงที่เป็นกังวลดังเข้าหูของเจียงซื่อท่ามกลางลมหนาว พลอยทำให้นางได้สติกลับมา
ใช่! ตัวเองเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!
เรื่องต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น คนสมปรารถนาก็มักจะบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ จะว่าไปแล้วก็เพราะว่าอดทนไม่ได้ ฝึกฝนไม่เพียงพอ หากนางยังทำเช่นนี้ต่อไป…
เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว นางก็อดไม่ได้ที่จะกลัว แล้วก็เห็นว่าแผ่นหลังของตัวเองเปียกโชกไปหมดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
*****
หู่พั่วเดินเข้าไปเก็บถ้วยชาอย่างเบามือเบาเท้า เห็นสืออีเหนียงนั่งมองออกไปข้างนอกบนเตียงเตาอย่างเหม่อลอย
“ฮูหยิน ท่านจะไปคารวะไท่ฮูหยินตอนนี้ หรือว่าประเดี๋ยวค่อยไปเจ้าคะ” นางเตือนสืออีเหนียงเบาๆ
“อ้อ!” สืออีเหนียงได้สติกลับมา “ไปตอนนี้เถิด! ข้าเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว เกรงว่าประเดี๋ยวหิมะจะตก รีบไปก่อนดีกว่า” นางพูดต่ออีก “ไม่รู้ว่าท่านโหวและจิ่นเกอไปถึงไหนแล้ว ท่านโหวออกไปข้างนอก รังแกข้า ไม่ให้ข้ารู้สถานการณ์ข้างนอก ไม่มีความจริงแม้แต่ประโยคเดียว” นางบ่นด้วยความโมโห จากนั้นก็ลงมาจากเตียงเตา
หู่พั่วยิ้มแล้วนำเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกมา “ท่านโหวคงกลัวท่านจะบ่นกระมังเจ้าคะ จดหมายครั้งก่อนที่ท่านเขียนส่งไปด่านหุบเขาจยาอวี้ มีตั้งสิบกว่าฉบับ ล้วนแต่พูดเรื่องอาหารเสื้อผ้า อยู่ข้างนอกไม่มีอะไรให้เลือกเยอะ ท่านโหวคงไม่อยากพูดความจริงกับฮูหยินจึงพูดอย่างคลุมเครือ”
สืออีเหนียงจะไม่รู้เจตนาของสวีลิ่งอี๋ได้อย่างไร แต่ให้นางรอพวกเขาอยู่ที่จวนเช่นนี้ มองดูลมหิมะข้างนอก พลันตระหนักขึ้นมาได้ว่าด่านหุบเขาจยาอวี้หนาวกว่าที่นี่เสียอีก นางก็ยิ่งไม่สบายใจ
นางรู้ว่าพูดเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร หู่พั่วและคนอื่นๆ มักจะช่วยพูดให้สวีลิ่งอี๋ ราวกับกลัวนางจะโมโหสวีลิ่งอี๋
“พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องมาหาข้าก็ได้” สืออีเหนียงไม่พูดถึงเรื่องสวีลิ่งอี๋อีก นางพูดกับหู่พั่ว “ครอบครัวของเจ้าคงจะมีแขก ให้ชิวอวี่อยู่กับข้าก็พอแล้ว”
หู่พั่วยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ ฮูหยินมีอะไรอยากจะให้ข้านำกลับมาให้หรือไม่”
ถึงแม้ผู้ดูแลลานนอกจะรับผิดชอบการจัดซื้อข้าวของ แต่สืออีเหนียงเคยชินกับการให้หู่พั่วซื้อของใช้ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ให้กับนาง
“ปีใหม่แบบนี้ทุกร้านล้วนแต่ปิดประตู เจ้าจะไปซื้อของที่ไหนมาให้ข้า” พูดจบ สืออีเหนียงก็หยุดฝีเท้าลง
ตามหลักแล้ว หากนางไม่พูด สกุลเจียงก็ต้องเอ่ยเตือนเจียงซื่อ จะปล่อยให้เจียงซื่อเดินไปทางที่ผิดแบบนี้ได้อย่างไร
หรือว่านี่คือสิ่งที่สกุลเจียงอยากเห็น?
ตอนที่สกุลเจียงกับสกุลสวีหมั้นหมายกัน ก็เท่ากับการโบกธงขาวให้ฮ่องเต้ แต่ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว สกุลเจียงไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร และฮ่องเต้ก็ยังคงปฏิบัติต่อสกุลเจียงเหมือนเดิม ไม่ห่างเหิน แล้วก็ไม่ใกล้ชิด
สกุลเจียงน่าจะรอไม่ไหวแล้ว!
ตอนนี้คงต้องดูว่าเจียงซื่อจะเลือกทางใด!
สามีที่อยู่ระหว่างแม่สามีและภรรยาลำบากใจแค่ไหน เจียงซื่อที่อยู่ระหว่างสองสกุลก็ต้องลำบากใจมากแค่นั้น
สืออีเหนียงถอนหายใจเบาๆ
*****
หลังจากเทศกาลโคมไฟ สืออีเหนียงได้รับจดหมายของสวีลิ่งอี๋ บอกว่าจะเดินทางกลับเยี่ยนจิงกลางเดือนสาม ไถ่ถามถึงเรือนใหม่ของจิ่นเกอ แต่ไม่มีคำอวยพรปีใหม่แม้แต่ประโยคเดียว
สืออีเหนียงบ่นสวีลิ่งอี๋ในใจ จากนั้นก็เขียนจดหมายให้เขา
ถึงกลางเดือนสอง อิงเหนียงก็มาถึงเยี่ยนจิง
สวีซื่อเจี้ยกำลังปลูกดอกพุทธรักษากับบ่าวรับใช้สองคน
สืออีเหนียงถามถึงอิงเหนียงที่ยังไม่เข้ามาในเรือน “เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
อิงเหนียงมองดูอย่างละเอียดแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าปลูกต้นกล้วยน้ำว้าก็ไม่เลวเจ้าค่ะ”
สวีซื่อเจี้ยได้ยินดังนั้นก็หันมามอง ล้างมืออย่างลวกๆ แล้วรีบเดินออกมา “ท่านแม่! น้องหญิงมาแล้วหรือ!”
อิงเหนียงย่อเข่าคำนับสวีซื่อเจี้ย นางยิ้มแล้วเอ่ยเรียก “พี่ห้า”
“ข้าเห็นว่าตรงนั้นมีต้นการบูร” สวีซื่อเจี้ยยิ้ม “จึงอยากปลูกดอกพุทธรักษา”
“ข้าแค่คิดว่าหินไท่หูสูงแค่เอว จึงคิดว่าปลูกต้นกล้วยน้ำว้าดีกว่าเจ้าค่ะ” อิงเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “หากหินไท่หูสูงเท่าคน แน่นอนว่าปลูกดอกพุทธรักษาย่อมดีกว่า”
ทำให้ดูน่าสนใจ ไม่ก็ทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อย นี่คือวิธีจัดสวนสองวิธีในสมัยโบราณ สวีซื่อเจี้ยใช้วิธีแรก แต่อิงเหนียงใช้วิธีหลัง
สวีซื่อเจี้ยได้ยินดังนั้นก็หันไปมองนางตั้งเเต่หัวจรดเท้า “น้องหญิงพูดมีเหตุผล หรือว่าเปลี่ยนไปปลูกต้นกล้วยน้ำว้าแล้วนำดอกพุทธรักษาไปปลูกที่เรือนของข้าแทนดีขอรับ” แต่ประโยคสุดท้าย เขากลับหันมาถามสืออีเหนียง
สืออีเหนียงมองไปที่อิงเหนียง
อิงเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ห้าไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ ปลูกดอกพุทธรักษาก็สวยเหมือนกัน แต่ข้าแค่ชอบต้นกล้วยน้ำว้ามากกว่า จึงอยากให้ทุกคนปลูกต้นกล้วยน้ำว้าให้หมด”
สวีซื่อเจี้ยแปลกใจ “เหตุใดน้องหญิงถึงชอบกล้วยน้ำว้าเล่า”
“เสียงฝนตกกระทบกับใบของต้นกล้วยน้ำว้าฟังแล้วไพเราะเจ้าค่ะ!” อิงเหนียงหัวเราะอย่างร่าเริง
สวีซื่อเจี้ยประหลาดใจ จากนั้นเขาก็หัวเราะตาม
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะตามไปด้วย
“เอาล่ะๆ เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด!” นางพูดกับอิงเหนียง “ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว เราไปคารวะไท่ฮูหยินด้วยกัน”
อิงเหนียงย่อเข่าคำนับ จากนั้นก็เดินไปยังเรือนปีกทิศตะวันตกกับบ่าวรับใช้
สาวใช้ของฮูหยินห้าเดินเข้ามา
“ฮูหยินสี่!” นางย่อเข่าคำนับ “ฮูหยินเชิญท่านไปหา บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับท่านเจ้าค่ะ”