เฮ่อเหลียนเวยเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
น้ำเสียงอันสง่างามของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังขึ้นในหูของนางอีกครั้ง ”ถ้ามันยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรปล่อยให้มันอยู่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเงียบในระหว่างที่ฟังคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ขณะเดียวกันนั้น กิเลนอัคคีกับชิงหลงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับมองตากัน
สุนัขทั่วไปย่อมไม่สามารถเร่ร่อนอยู่ในนรกได้โดยปราศจากแก่นวิญญาณ
ยิ่งกว่านั้น มันยังมีพลังปีศาจอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าสุนัขล่าเนื้อตัวนี้ไม่ใช่สุนัขธรรมดาตั้งแต่ตอนที่มีชีวิตอยู่
ประกอบกับความเคียดแค้นอันท่วมท้นขณะกำลังสิ้นใจที่มันมี จึงทำให้สุนัขล่าเนื้อตัวนี้สามารถซึมซับความเคียดแค้นจากฟ้าดินได้ ปรากฏการณ์นี้นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง มันจะกลายเป็นสุนัขอสูรทันทีที่มีคนยอมเป็นเจ้านายให้กับมัน สุนัขอสูรแตกต่างไปจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หากผู้เป็นเจ้าของใช้พลังของสุนัขอสูรได้อย่างชาญฉลาด คนผู้นั้นย่อมไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวต่อปีศาจจากทั้งแดนปีศาจและยมโลก
ในอดีตนั้นนายท่านต้องการฝึกสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หายากพวกนี้ให้เป็นสัตว์พาหนะของตัวเองมาโดยตลอด
แต่คราวนี้เขากลับตัดสินใจที่จะมอบสุนัขตัวนี้ให้กับภรรยา…
เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงยื่นมือเข้าไปช่วยสุนัขล่าเนื้อตัวนี้ไว้เพราะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำเท่านั้น นางไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน นางเองก็เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อน ดังนั้นนางจึงรู้ว่าสุนัขเป็นสัตว์ที่มีความจงรักภักดีที่สุด นางช่วยสุนัขตัวนี้พอเป็นมารยาทเท่านั้น แต่หลังจากได้ฟังคำพูดขององค์ชาย นางจึงเริ่มนำข้อเสนอนั้นมาพิจารณา
องค์ชายผู้ชั่วร้ายย่อมสามารถอ่านความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ทันที ”ถ้าเจ้าไม่ยอมรับมัน ไม่ช้าก็เร็ว มันจะควบคุมตัวเองไม่ได้ และสูญเสียสัญชาตญาณธรรมชาติของตัวเองไป”
สุนัขล่าเนื้อตัวนั้นดูจะเข้าใจคำพูดขององค์ชาย มันโน้มตัวไปข้างหน้าราวกับเห็นด้วยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เวลานี้ร่างของมันมีกลุ่มหมอกสีดำล้อมรอบอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ สรุปว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นเจ้านายของเจ้า ทำไมเจ้าถึงได้เชื่อฟังคำพูดขององค์ชายล่ะ ”ก็ได้ แต่ในมิติสวรรค์ของข้ามีเสี่ยวไป๋อยู่ด้วย พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันล่ะ”
สุนัขล่าเนื้อตัวนั้นพยักหน้า พลังปีศาจที่แผ่ออกมาจากร่างของมันทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นเฉียบ
หลังจากเฮ่อเหลียนเวยเวยตัดสินใจที่จะเก็บสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นไว้ นางก็กัดนิ้วตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีผู้ชมคนไหนละสายตาออกจากซงเจิ้งเหวินเหริน เลือดสามหยดร่วงลงจากรอยกัดที่นิ้วของนาง
สุนัขล่าเนื้อตัวนั้นตัวสั่น บรรยากาศแห่งความมืดที่อยู่รอบมันทวีความรุนแรงขึ้น จนกระทั่งสุดท้ายมันก็ถูกหมอกสีดำนั้นบดบังเอาไว้จนมิด แต่เมื่อมันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ร่างของมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยขนสีเข้มหนา ขณะเดียวกันขนาดตัวของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า ในเวลานี้สุนัขล่าเนื้อตัวนั้นดูน่าเคารพและน่าเกรงขามราวกับราชา
สิ่งเดียวที่ยังคงเหมือนเดิมก็คือหมอกสีดำที่กระจายออกมาจากร่างของมัน มันหนาขึ้นกว่าก่อนหน้านี้และยังดูกลมกลืนไปกับความมืดมิดได้เป็นอย่างดี
เป็นอีกครั้งที่ชิงหลงและกิเลนอัคคีถึงกับต้องมองหน้ากัน เวลานี้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต่างไปจากพวกเขา เขากลับเหลือบมองสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นด้วยสายตาเย็นชาไม่แยแส
สุนัขล่าเนื้อตัวนั้นพยักหน้าพร้อมกับยืนขึ้นต่อหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย ท่าทางของมันบ่งบอกว่ามันพยายามที่จะปกป้องนาง สัญชาตญาณสัตว์ร้ายอันน่าเกรงขามนั้นดูจะสามารถสร้างความหวาดผวาให้กับบรรดาภูตผีปีศาจจนต้องล่าถอยกลับไปได้
หลังจากนั้นเซวียนปิงก็ไม่สามารถมองเห็นสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นได้อีกต่อไป เขาดูอับอายขายหน้าอย่างมาก ผมที่แต่เดิมเคยหวีเรียบร้อยมาตอนนี้กลับยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
ในฐานะขุนนางของจักรวรรดิจ้านหลง ในที่สุดหลิวอี้ก็ได้ใช้วาทศิลป์ของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ”ตอนนี้เราก็ได้เห็นฝีมือในการขับไล่วิญญาณร้ายของเมืองเซวียนหยวนกับตาตัวเอง เขาสามารถกำราบยมทูตทั้งสี่ตนได้จริงๆ! หึๆ มิหนำซ้ำยังถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อการประลองในครั้งนี้อีกด้วย”
“เหล่าหลิว ท่านก็ช่างพูดได้น่าฟังนัก จากที่ข้าเห็น เขาก็แค่พยายามที่จะอวดฝีมือของตัวเอง แต่กลับล้มเหลวไม่สามารถทำตามที่ตัวเองโอ้อวดไว้ได้ก็เท่านั้น!” สยงจิ้งหัวเราะลั่น ”ไม่ใช่แค่นั้น เขายังกล้าเยาะเย้ยพระชายาสามของเรา แต่แท้จริงแล้วตัวเองต่างหากที่เป็นคนขี้ขลาดอย่างแท้จริง!”
เซวียนปิงกัดฟันกรอดเมื่อสังเกตเห็นว่าทุกสายตาที่จับจ้องมายังเขาล้วนแต่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
เมื่อได้ยินเสียงนินทาของผู้คนรอบตัว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะโยนความผิดให้กับสุนัขล่าเนื้อ เขาปกป้องตัวเองเสียงดังว่า ”ถ้าสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นไม่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน มีหรือที่เขตอาคมของข้าจะถูกทำลายลงได้!”
“สุนัขล่าเนื้อหรือ” ผู้อาวุโสซวีอู๋ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำพูดของเซวียนปิง
เซวียนปิงตอบด้วยความคับแค้นใจว่า ”ท่านอาจารย์ขอรับ ท่านจำสุนัขล่าเนื้อที่ข้าเคยเลี้ยงไว้ได้หรือไม่ ข้าเป็นคนดูแลและหาข้าวให้มันกิน แต่มันกลับตอบแทนความเมตตาของข้าด้วยการทำเช่นนี้! แม้จะตายไปแล้วแต่มันก็ยังตามรังควานข้าขอรับ ที่ยมทูตพวกนั้นมีโอกาสจู่โจมข้าก็เพราะการปรากฏตัวขึ้นของมัน”
“ข้าจำได้ว่าเจ้ามักจะพามันมาที่วังหลวงอยู่บ่อยๆ” บนใบหน้าเล็กๆ ของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์มีความโกรธปรากฏขึ้นเล็กน้อย นางเอ่ยด้วยท่าทางราวกับตัวเองเป็นผู้ถูกว่า ”ช่างเนรคุณเสียจริง! เจ้าไม่ควรเก็บสัตว์ร้ายตัวนี้มาเลี้ยงเลย! แม้จะตายไปแล้วมันก็ยังกล้าทำร้ายเจ้านายของตัวเองเชียวหรือ!”
ผู้อาวุโสซวีอู๋ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการประลอง สำหรับเขาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการหาเหตุผลมาเป็นข้ออ้างเพื่อปกป้องชื่อเสียงของเมืองเซวียนหยวนเอาไว้ให้ได้ต่างหาก
อย่างน้อยการปรากฏตัวของสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นก็สามารถใช้เป็นข้อแก้ตัวให้กับความล้มเหลวของเซวียนปิงได้!
“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าแสดงฝีมือได้ไม่เต็มที่เหมือนปกติเป็นเพราะมีบางสิ่งขัดขวางเจ้าอยู่นี่เอง” ผู้อาวุโสซวีอู๋ลูบเคราพลางคิดว่าข้อแก้ตัวนี้ฟังดูดีทีเดียวสำหรับผลงานที่ออกมาต่ำกว่ามาตรฐานของเซวียนปิง
แต่ทันใดนั้น ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็พลันกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ”ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนล้วนแต่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เป็นอย่างไร สุนัขเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์และจิตใจบริสุทธิ์ที่สุด แต่ทำไมจู่ๆ มันถึงเพิ่งมาหาท่านในเวลานี้ล่ะ เซวียนปิง ท่านคิดว่าท่านจะสามารถปิดบังความผิดจากการกระทำอันโหดเหี้ยมของตัวเองได้ตลอดไปหรือ”
“กระหม่อมไม่เข้าใจขอรับว่าพระชายาสามกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่!” เซวียนปิงตอบเสียงดัง แต่ลึกลงไปในใจนั้นเขากลับรู้สึกผิดอย่างรุนแรง เป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงคนนี้จะรู้ถึงสิ่งที่เขาเคยทำในอดีตได้!
เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันตึงเครียดนั้น ผู้อาวุโสซวีอู๋จึงรีบพูดขึ้นว่า ”พอได้แล้ว เซวียนปิง ผลงานของเจ้าในครั้งนี้อยู่ต่ำกว่ามาตรฐานปกตินัก เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด” เขาเข้าใจถึงสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกใบ้ได้อย่างชัดเจน แต่เขาจะไม่มีวันยอมให้นางเปิดเผยในสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของพวกเขาได้โดยเด็ดขาด
“เขาแพ้เพราะแสดงฝีมือได้ต่ำกว่ามาตรฐานปกติของตัวเองอย่างนั้นหรือ คนของเมืองเซวียนหยวนเกิดมาก็ไร้ยางอายกันเลยหรือไร” เด็กชายตัวน้อยเคี้ยวของว่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
ในระหว่างที่เด็กชายตัวน้อยกำลังตั้งหน้าตั้งตากินของว่างอยู่นั้น ขุนนางทั้งหลายต่างก็หวาดกลัวเกินกว่าจะกลับไปนั่ง พวกเขากลัวว่าองค์ชายเจ็ดจะจับพวกเขากินเข้าไปด้วย
คำพูดของเด็กชายตัวน้อยเหมือนกับการตบหน้าเซวียนปิง เขากำมือแน่นด้วยความอับอายขายหน้าอย่างสุดแสน
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์หัวเราะอย่างสง่างาม ก่อนจะปรายตามองเจ้าเจ็ด ”องค์ชายเจ็ดตัวน้อยช่างเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาจริงๆ เซวียนปิงอัญเชิญยมทูตสี่ตนออกมาได้สำเร็จแล้ว หากสุนัขล่าเนื้อตัวนั้นไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น เขาก็คงชนะการแข่งขันไปแล้ว แต่ข้าสงสัยมากกว่าว่าพระชายาสามจะสามารถอัญเชิญยมทูตได้กี่ตน การประลองยังไม่จบ และยังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุปว่าพวกข้าเป็นผู้แพ้”
“องค์หญิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว คนเมืองเซวียนหยวนอย่างข้าไม่ชอบถกเถียงในเรื่องเล็กน้อย ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าพระชายาสามจะสามารถอัญเชิญยมทูตออกมาได้หรือไม่ แต่พวกท่านกลับเอาแต่เยาะเย้ยข้า ใครเล่าจะรู้ หลังจากนี้นางอาจจะคว้าน้ำเหลวก็ได้!” เซวียนปิงมั่นใจว่าแม้เขาจะทำไม่สำเร็จ แต่ก็ยังทำได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยเรียนศาสตร์การขับไล่วิญญาณร้ายมาก่อนอย่างพระชายาสาม!
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ บรรดาขุนนางของจักรวรรดิจ้านหลงก็พลันรู้สึกกังวล อย่างไรเขาก็พูดถูกเรื่องความสามารถของพระชายาสาม การอัญเชิญยมทูตอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับนางจริงๆ…