สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “หลานสาวสกุลเดิมของข้าพึ่งจะมาถึง เจ้ากลับไปบอกฮูหยินห้าว่า เราไปคารวะไท่ฮูหยินก่อนแล้วจะไปหานาง”
สาวใช้คนนั้นได้ยินเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “ยินดีด้วยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ยิ้ม “สองวันก่อนฮูหยินห้ายังถามว่าเมื่อไรคุณหนูใหญ่จะมา บ่าวจะได้กลับไปรายงานฮูหยินห้าเจ้าค่ะ ฮูหยินห้ารู้เช่นนี้ คงจะดีใจอย่างมาก!” นางพูดต่ออีก “ฮูหยินสี่ให้บ่าวคารวะคุณหนูใหญ่ก่อนแล้วค่อยกลับไปเถิด หากฮูหยินห้ารู้ว่าบ่าวกลับไปเช่นนี้ ประเดี๋ยวจะตำหนิว่าบ่าวไม่รู้กฎเกณฑ์เจ้าค่ะ!”
นางกำลังอ้างชื่อของฮูหยินห้าเยินยออิงเหนียง สืออีเหนียงยิ้มแต่ไม่ได้ห้ามนาง
ผ่านไปครู่หนึ่ง อิงเหนียงก็แต่งตัวเสร็จแล้วเดินออกมา
ม้วนผมด้วยห่วงลูกปัดเป็นมวยสองจุก สวมเสื้อกั๊กยาวสีเขียวปักลายพระจันทร์สีขาว สวมกระโปรงสีขาว ทำให้นางดูงดงามและน่าเข้าหา
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับนาง
อิ๋งอิ๋งที่อายุหนึ่งขวบกำลังฝึกเดิน ไท่ฮูหยินบอกให้คนอุ้มนางมาบนเตียงเตา นางกำลังจับโต๊ะบนเตียงเตาเพื่อฝึกเดิน
เมื่อเห็นสืออีเหนียง นางก็เอ่ยเรียก “ท่านย่า” แต่เพราะว่ายังออกเสียงได้ไม่ชัด คำว่า ‘ย่า’ จึงฟังดูคลุมเครือ แต่คำว่า ‘ท่าน’ กลับออกเสียงได้อย่างชัดเจน ราวกับเรียก ‘ท่านแม่’ ทำเอาทุกคนพากันหัวเราะ
“ครั้งแรกที่ข้าเจอท่านอาหญิงของเจ้า ท่านอาหญิงของเจ้าก็อายุเท่าเจ้า” ไท่ฮูหยินจับมืออิงเหนียงแล้วพูด “แค่พริบตาเดียวพวกเจ้าก็โตขนาดนี้แล้ว ข้าเองก็แก่แล้ว!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า
“ขงจื๊อกล่าวเอาไว้ว่า ‘เมื่ออายุ 60 ปี ข้าฟังผู้อื่นโดยไม่หวั่นไหว เมื่ออายุ 70 ปี ข้าทำตามใจตนปรารถนาโดยไม่ละเมิดกฎ’ เจ้าค่ะ” อิงเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราต่างหากที่อิจฉาท่านจะแย่เจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะ “เจ้านะเจ้า ยังเคยอ่านคำพูดของขงจื๊อ” นางพยักหน้าด้วยสีหน้าชอบใจ “ทานอาหารเย็นที่เรือนข้าเถิด ข้าเรียกพี่หญิงซินของเจ้ามาทานเป็นเพื่อน” นางชี้ไปที่เซี่ยงซื่อ “เจ้าก็ด้วย” จากนั้นก็ให้คนไปเรียกเจียงซื่อ “พาถิงเกอมาด้วย มาทานอาหารเย็นด้วยกัน”
อิงเหนียงถือโอกาสเหลือบมองสืออีเหนียง
เห็นสืออีเหนียงยิ้มให้ตัวเอง นางจึงยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็บ่นพึมพำ “เจ้าไม่ต้องมองนาง ข้าบอกให้เจ้าอยู่ นางไม่กล้าปฏิเสธแน่นอน”
สืออีเหนียงในตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น นางดูแลเรื่องในจวนสกุลหย่งผิงโหวมาแล้วสิบปี คนที่กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้านาง ก็มีแค่ไท่ฮูหยินเพียงคนเดียว
คนในห้องได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ
“ไท่ฮูหยินลำเอียงอีกแล้วเจ้าค่ะ!” มีคนหัวเราะแล้วเปิดม่านเข้ามา “คิดถึงแค่บุตรชายลูกสะใภ้ของพี่สะใภ้สี่ ข้าเองก็ยังไม่ได้ทานอาหารเย็นเลย!”
ทุกคนหันไปมอง มีสตรีที่สวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงดอกกุหลาบ ม้วนผมมวยดอกโบตั๋นเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
อิงเหนียงเห็นนางสวมกำไลลูกปัดพลอยปี้สี่ขนาดเท่าเล็บมือ สีฟ้าสดใส ไม่ใช่ของธรรมดา นางจึงรู้ว่านางคือฮูหยินห้าของจวนหย่งผิงโหว
หลังจากสืออีเหนียงแนะนำให้พวกนางรู้จักกันแล้ว นางก็ยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับ “ฮูหยินห้าเจ้าคะ”
ฮูหยินห้าชี้ไปที่ซินเจี่ยเอ๋อรที่อยู่ข้างหลัง “นี่คือพี่หญิงสองของเจ้า!” แล้วก็ชี้ไปเฉิงเกอ “นี่คือน้องแปดของเจ้า”
พวกนางสองคนย่อเข่าคำนับกัน เฉิงเกอดึงแขนเสื้ออิงเหนียง “พี่หญิงใหญ่ ท่านนั่งเรือมาหรือนั่งรถม้ามา?”
อิงเหนียงตกใจ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้านั่งรถม้าไปถึงหังโจว จากนั้นก็นั่งเรือจากหังโจวไปถงโจว แล้วก็นั่งรถม้ามาเยี่ยนจิง”
เฉิงเกอสายตาเป็นประกาย
ฮูหยินห้าจับมืออิงเหนียง “อย่าไปสนใจเขา! ตั้งแต่น้องเจ็ดของเจ้าออกไปข้างนอก น้องแปดของเจ้าก็เอาแต่บ่นว่าเมื่อไรจะได้ออกไปข้างนอกเหมือนน้องเจ็ดบ้าง”
นี่คือเรื่องในสกุลสวี อิงเหนียงแค่ยิ้มอย่างแผ่วเบา
ทุกคนนั่งลงตามลำดับ เจียงซื่อพาแม่นมที่อุ้มถิงเกอเดินเข้ามา
ตั้งแต่สืออีเหนียงพูดเช่นนั้น จู่ๆ นางก็สุขุมขึ้นไม่น้อย มีรอยคล้ำใต้ตา ทุกคนแค่คิดว่านางไม่ได้นอนเพราะลูก ไท่ฮูหยินพูด “อายุยังน้อย สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ หากไม่ไหว เจ้านำถิงเกอมาอยู่ที่เรือนของข้าสักสองสามวันก็ได้”
“ท่านอายุมากแล้ว แม้แต่คุณชายน้อยหกก็ยังไม่รบกวนท่าน จะให้ถิงเกอมารบกวนท่านได้เช่นไรเจ้าคะ” นางปฏิเสธอ้อมๆ แต่นางกลับดูผ่ายผอมลงไม่น้อย
นางย่อเข่าคำนับญาติผู้ใหญ่อย่างมีมารยาท ยิ้มแล้วทักทายอิงเหนียง ไม่ทำท่าทีสนิทสนมเกินไป แต่ก็ไม่เย็นชาเกินไป ทำให้นางดูอ่อนน้อมถ่อมตน
อิงเหนียงเห็นแล้วก็แอบแปลกใจ
ปีใหม่ปีก่อนที่เจอกับพี่สะใภ้สี่คนนี้ นางหน้าตาสวยงาม พูดจาฉะฉาน มีชีวิตชีวา ผ่านไปแค่ปีเดียว มีหลานชายคนโต กำลังเป็นช่วงเวลาที่ดีของนาง แต่ทำไมสีหน้าของนางกลับมืดมน ดูไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไร
นางยิ้มแล้วเดินเข้าไปย่อเข่าคำนับ เจียงซื่อนำกำไลไข่มุกมอบให้นางเป็นของขวัญ
ไท่ฮูหยินเห็นทุกคนทักทายกันแล้ว จึงเรียกป้าตู้ให้บอกป้ารับใช้ยกอาหารเย็นเข้ามา
ทุกคนห้อมล้อมไท่ฮูหยินเดินไปห้องปีกทิศตะวันออก
หลังทานอาหารเย็นเสร็จ เด็กๆ สองสามคนพูดคุยกันอยู่หน้าไท่ฮูหยิน ฮูหยินห้าขยิบตาให้สืออีเหนียง พวกนางสองคนยืนอยู่ตรงประตูระหว่างห้องโถงและห้องปีกทิศตะวันออก คนในห้องเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นพวกนางพอดี พวกนางเองมองเห็นสถานการณ์ในห้อง ทำท่าทีราวกับผู้ใหญ่ที่กำลังให้พื้นที่ส่วนตัวเด็กๆ ได้พูดคุยกัน
“มีสกุลมาสู่ขอซินเจี่ยเอ๋อร์ของเรา ข้าตัดสินใจไม่ได้ อยากมาปรึกษาพี่สะใภ้สี่เจ้าคะ” นางพูดด้วยสีหน้าที่ลังเล
สืออีเหนียงพูดเสียงเบาลงตามนาง “น้องสะใภ้ห้าคิดว่าเช่นไร!”
“…แซ่ลู่ นามว่าเสียน บิดาเคยรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารม้าฝ่ายขวา เสียชีวิตตอนที่ไปออกรบที่ซีเป่ยกับพี่สี่ ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เขาเป็นเว่ยถงจือแห่งเทียนจิน ว่ากันว่าหน้าตาหล่อเหลา ถึงแม้ปีนี้จะอายุสิบแปดปีแล้ว แต่คนที่ข้าส่งไปสืบข่าวกลับมารายงานว่า คุณชายลู่คนนี้วิสัยทัศน์กว้างไกล อยากหาคนที่ตัวเองชอบจริงๆ ซินเจี่ยเอ๋อร์ของเรา เรื่องอื่นไม่กล้าพูด แต่นางหน้าตาสะสวยไม่แพ้ใคร…” ฮูหยินห้ายิ้มแล้วมองสืออีเหนียง “ข้าตกลงกับแม่สื่อแล้วว่าอีกสองวันจะไปดูตัวคุณชายลู่ เลยอยากให้พี่สะใภ้สี่ไปช่วยกันดู พี่สะใภ้สี่ไม่เหมือนข้า อย่างน้อยก็ยังเคยเป็นแม่สื่อตั้งสองสามครั้ง นับว่ามีประสบการณ์”
ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้
“ได้เลย!” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “เทียนจิงเป็นเมืองใหญ่โต ตำแหน่งถงจือ เป็นขุนนางระดับห้าใช่หรือไม่ ถึงแม้จะแต่งงานออกไปอยู่ไกลบ้าน แต่เทียนจินห่างจากเยี่ยนจิงแค่ห้าหกวัน ถนนหนทางก็สะดวกสบาย ไปมาสะดวก คุณชายลู่หน้าตาดี มีความสามารถ แล้วยังมีตำแหน่งขุนนาง…” นางพยักหน้าเบาๆ “ช่างเหมาะสมกับซินเจี่ยเอ๋อร์ของเราเสียจริง!”
ฮูหยินห้ายิ้มด้วยสีหน้าชอบอกชอบใจ
ใช้เวลาสองปี ในที่สุดก็หาสกุลสามีที่ดีให้บุตรสาวได้แล้ว
“พี่สะใภ้สี่ ท่านคิดว่าดูตัวที่วัดเซียงกั๋วหรือวัดฉือหยวนดี?”
“แม่สื่อว่าอย่างไรบ้าง” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หากไม่รู้ว่าที่ไหนเหมาะสม ก็ให้แม่สื่อตัดสินใจดีกว่า”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วส่ายหน้า “ข้าไม่อยากให้แม่สื่อตัดสินใจ ใครจะรู้ว่ามีลับลมคมในอะไรหรือไม่” จากนั้นก็พูดถึงเรื่องที่เคยได้ยินมา “…เมื่อถึงวันดูตัว ฝ่ายชายขี่ม้า ฝ่ายหญิงใช้พัดปิดมุมปาก เมื่อถึงคืนเข้าหอ เปิดผ้าคลุมหน้าออกถึงได้เห็นว่า มุมปากของฝ่ายหญิงมีหูด ฝ่ายชายเป็นง่อย”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
“พวกเจ้าสองคนซุบซิบอะไรกัน” ไท่ฮูหยินยิ้ม “แอบสนุกอยู่ตรงนั้นสองคน!”
“เล่าเรื่องตลกเจ้าค่ะ!” ฮูหยินห้าและสืออีเหนียงหันหน้ามาส่งยิ้มให้กัน จากนั้นก็เดินเข้าไป “วันอื่นค่อยเล่าให้ท่านฟัง!” พอฮูหยินห้าเดินเข้าไป เจียงซื่อที่นั่งอยู่ข้างไท่ฮูหยินก็ลุกขึ้นยืน ฮูหยินห้าก็ไม่เกรงใจ นางนั่งลงแล้วรับค้อนเหม่ยเหรินมาจากสาวใช้ ช่วยไท่ฮูหยินทุบเบาๆ “ประเดี๋ยวพวกเด็กๆ จะแอบฟัง”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ
สืออีเหนียงถามเจียงซื่อ “ได้ยินเป่าจูบอกว่า สองสามวันนี้เจ้านอนไม่ค่อยหลับ ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง เชิญท่านหมอมาดูหรือไม่”
ถูกแม่สามีสั่งสอน ไม่ยอมรับฟัง แล้วยังทำท่าทีนอนไม่หลับ ทานอะไรไม่ลง ก็หมายความว่าการที่แม่สามีสั่งสอนนางคือเรื่องผิด
เจียงซื่อรีบพูด “ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ อาจเป็นเพราะฤดูใบไม้ผลิ เลยค่อนข้างง่วงซึม”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่สามเดือนสามแล้ว คือเทศกาลซานเย่ว์ซาน แล้วยังเป็นวันเกิดของเจี้ยเกอ เจี้ยเกอเป็นคนง่ายๆ ทานบะหมี่อายุยืนเหมือนทุกปีก็พอแล้ว แต่งานเลี้ยงวันที่สามเดือนสามต้องจัดการให้เรียบร้อย เรือนใหม่ของจิ่นเกอก็ยังทำความสะอาดไม่เสร็จ พ่อสามีของเจ้าเขียนจดหมายมาบอกว่าจะออกเดือนทางกลับเยี่ยนจิงกลางเดือนสาม ข้าต้องจัดการเรือนให้เสร็จก่อนที่พ่อสามีของเจ้าจะกลับมา หากเจ้าไม่เป็นอะไร ก็มาช่วยข้าจัดการงานเลี้ยงเทศกาลซานเย่ว์ซานเถิด!”
“ท่านแม่เจ้าคะ!” เจียงซื่อมองสืออีเหนียงด้วยท่าทีตกใจ
เหตุผลที่ข้าไม่รู้ว่าเขาหลูซานเป็นเช่นไร เพราะว่าตัวข้าอยู่ในเขาหลูซาน
สืออีเหนียงพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว เจียงซื่อกลับไปคิดอีกครั้ง แน่นอนว่านางต้องเข้าใจ แต่ฝั่งหนึ่งคือสกุลเดิม อีกฝั่งหนึ่งคือสกุลสามี นางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี อยู่ต่อหน้าแม่สามี นางจึงต้องเงียบ
แต่ไม่เคยคิดว่า แม่สามีจะทำลายสถานการณ์นี้ก่อน แล้วยังบอกให้นางช่วยจัดการงานเลี้ยงเทศกาลซานเย่ว์ซานต่อหน้าทุกคนแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า คุณชายสี่จะออกเดินทางกลางเดือนสามจริงหรือ” คำพูดตั้งมากมาย แต่ไท่ฮูหยินได้ยินแค่ประโยคนี้ “เขาเขียนจดหมายให้ข้าก็พูดเช่นนี้ ข้าคิดว่าเขาโกหกข้าเสียอีก” นางรีบเรียกสืออีเหนียงเข้าไปถาม “พวกเขาคงจะกลับมาทันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างใช่หรือไม่ เจ้าต้องคิดว่าเราจะฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างอย่างไร เขาไม่อยู่ที่จวนตั้งนาน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวอยากกลับมาฉลองวันเกิดท่าน ต้องมาทันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแน่นอน ถึงตอนนั้นค่อยปรึกษาท่านว่าจะฉลองอย่างไรก็ได้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าด้วยความพอใจ “บอกพวกเขาว่าไม่ต้องรีบ ความปลอดภัยสำคัญที่สุด วันเกิดของข้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนกตัญญู…” นางพูดอยู่ตั้งนาน
เจียงซื่อยืนมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของสืออีเหนียงอยู่ตรงนั้น ในใจของนางสับสนไปหมด
แม่สามีทำเช่นนี้ เพราะกำลังฝึกฝนนางก่อนที่จะมอบหมายเรื่องในจวนให้นางเป็นคนดูแลอย่างนั้นหรือ
หู่พั่วเองก็กำลังกังวลเหมือนกัน “…เรื่องใดควรถามคุณนายน้อยสี่ หรือเรื่องใดควรถามท่านเจ้าคะ”
“งานเลี้ยงจะจัดแบบใด ใช้เงินเท่าไร ใช้เงินอย่างไร บอกให้คุณนายน้อยเขียนแบบแผนเถิด” สืออีเหนียงยิ้ม “นำมาให้ข้าดู ส่วนพวกเจ้าทำตามแผนก็พอแล้ว ถึงตอนนั้นจะซื้ออะไร ตกแต่งโถงบุปผาอย่างไร เตรียมรายการอาหารรายการไหนบ้าง พวกเจ้าปรึกษาคุณนายน้อยสี่เถิด” นางพูดต่ออีก “เจ้าไปบอกเหวินอี๋เหนียง บอกให้นางคัดลอกหนังสือบัญชีของสองสามปีก่อนไปให้คุณนายน้อยสี่หนึ่งฉบับ เช่นนี้นางจะได้มีความมั่นใจ”
หู่พั่วขานรับแล้วเดินออกไป