สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
ในบรรดาพี่น้องสกุลสวี สวีซื่อเจี้ยคือคนที่ไม่ค่อยได้รับความสำคัญมากที่สุด ภรรยาต้องเชื่อฟังสามี เป็นภรรยาของเขา ถึงแม้ว่าอาหารและเสื้อผ้าจะเพียบพร้อมกว่าคนธรรมดา แต่มักจะถูกเปรียบเทียบกับบรรดาลูกสะใภ้ด้วยกันบ่อยๆ หากไม่มีจิตใจที่หนักแน่น พวกเขาคงยากที่จะรักและเคารพกันไปจนแก่เฒ่า
นางไม่ได้บอกเจตนาที่เชิญอิงเหนียงมาเยี่ยนจิงให้หลัวเจิ้นซิ่งรู้ ตอนที่เขียนจดหมายส่งไปอวี๋หังนั้นไม่ได้เขียนเจตนาที่แท้จริง ไม่ได้เปิดเผยอะไรเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าคนที่อวี๋หังจะเดาออก แต่มันก็แค่การคาดเดาของพวกเขา พวกเขาจะรู้เรื่องของเด็กๆ ได้เช่นไร หากเข้าใจผิดคงกลับกลายเป็นเรื่องตลก
ผู้ที่ไม่โลภมากย่อมมีจิตใจแข็งแกร่ง
จะเห็นได้ว่านี่คือนิสัยที่แท้จริงของอิงเหนียง
เมื่อสืออีเหนียงเจอกับอิงเหนียงอีกครั้ง สีหน้าของนางก็ยิ่งมีความเอ็นดูมากขึ้นกว่าเดิม “…วันที่แปดเดือนสี่คือวันคล้ายวันประสูตรของพระยูไล ถึงตอนนั้นเจ้าไปจุดธูปที่วัดเย่าหวังกับข้าและไท่ฮูหยินเถิด! “
พอได้ยินว่าจะได้ไปเที่ยว อิงเหนียงก็ยิ้มหน้าบาน “ถึงตอนนั้นต้องเตรียมอะไรไปบ้างเจ้าคะ”
“ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งนั้น!” สืออีเหนียงหัวเราะ “ธูปเทียนมีคนจัดการให้อยู่แล้ว” พูดจบก็นึกขึ้นมาได้ว่าในวัดมักจะมีนักบวชลัทธิเต๋าขายกำไลไม้กฤษณา หันไปบอกให้หู่พั่วนำถุงผ้าเงินห้าตำลึงให้อิงเหนียง
อิงเหนียงโบกมือปฏิเสธ “ตอนที่ข้ามา ท่านแม่มอบเงินให้ข้าห้าสิบตำลึงแล้ว”
“ข้าให้เจ้า” สืออีเหนียงยิ้ม หู่พั่วยัดถุงผ้าให้อิงเหนียง
เมื่ออิงเหนียงกลับมาถึงห้องก็ยื่นถุงผ้าให้แม่นม “ถึงตอนนั้นอย่าลืมนำไปด้วย”
แม่นมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับถุงผ้ามา “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ นิสัยของฮูหยิน…ไม่ค่อยแน่นอน บ่าวคิดว่าเก็บถุงผ้านี้เอาไว้ดีกว่า! ตอนที่เราออกมา นายหญิงก็มอบเงินให้เราแล้วเจ้าค่ะ”
อิงเหนียงรู้ว่านางหมายถึงท่าทีร้อนๆ หนาวๆ ของสืออีเหนียงที่มีต่อตน นางยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง นางคือท่านอาหญิงของข้า!” นางพูดต่ออีก “วันก่อนมีงานเลี้ยงเทศกาลซานเย่ว์ซาน วันเกิดของพี่ห้า แล้วยังต้องไปเยี่ยมองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง ไท่ฮูหยินไม่สบายก็ต้องไปอยู่เป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน…เรื่องเยอะแยะมากมาย อีกทั้งท่านโหวยังไม่อยู่ที่จวน ถึงแม้ว่าจะมีพี่สะใภ้สี่ช่วยดูแล แต่ท่านอาหญิงก็ยังต้องเป็นคนตัดสินใจ ไม่ต้องพูดถึงท่านอาหญิงที่ยุ่งจนไม่มีเวลา ถึงแม้จะมีเวลา แต่ข้าเป็นหลานสาว ไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้ ต่อไปอย่าพูดเช่นนี้อีก ตอนอยู่ที่อวี๋หัง เรามีการเคลื่อนไหวอะไรนิดหน่อย ทุกคนก็ลือไปทั่ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจวนท่านโหว มีคนตั้งมากมาย หากมีข่าวลืออะไรแพร่กระจายออกไป คนที่คิดไม่ดีก็จะมาดูความสนุก ส่วนคนที่คิดได้อาจจะคิดว่าเราทะนงตน แม้แต่ผู้ที่เป็นอาหญิงก็ยังจะคิดเล็กคิดน้อยด้วย เป็นคนไม่ยอมคน ถึงตอนนั้น แม้แต่ท่านอาหญิงก็คงพลอยเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย”
“บ่าวผิดเองเจ้าค่ะ!” แม่นมหน้าแดงก่ำ
อิงเหนียงเห็นนางยอมรับผิดก็ไม่พูดอะไรต่อ เอ่ยถามแม่นม “เจ้าคิดว่า ถึงตอนนั้นข้าสวมชุดอะไรดี”
แม่นมรีบเปิดหีบ “ในเมื่อเป็นของที่ฮูหยินมอบให้ บ่าวคิดว่าสวมชุดที่ฮูหยินมอบให้ดีกว่าเจ้าค่ะ!”
“สวมชุดของตัวเองดีกว่า!” อิงเหนียงครุ่นคิด “เกรงว่าพี่สะใภ้ใหญ่ที่ตรอกซานจิ่งก็คงไปด้วย ข้าสวมชุดที่ท่านอาหญิงมอบให้ ถึงแม้พวกนางจะไม่พูดอะไร แต่อาจทำให้สกุลหลัวเสียชื่อเสียงได้”
แม่นมพยักหน้าซ้ำๆ จากนั้นก็เปิดหีบใบใหม่
สืออีเหนียงส่งสาวใช้ที่ฉลาดมาอยู่ที่เรือนของอิงเหนียงสองสามคน แน่นอนว่าสืออีเหนียงรู้เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
เพราะนางเป็นเด็กที่เคยยากลำบากมาก่อน ถึงแม้ว่ายังเด็กแต่กลับคิดอะไรได้อย่างรอบคอบ
สืออีเหนียงพึงพอใจ นางแอบเล่าให้ไท่ฮูหยินฟัง ไท่ฮูหยินเองก็พอใจเป็นอย่างมาก “ดีๆๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว เจ้ารีบไปบอกนายท่านสกุลหลัวเถิด ทันทีที่คุณชายสี่กลับมา เราจะเชิญแม่สื่อไปสู่ขอ” ใจร้อนกว่าสืออีเหนียงเสียอีก สืออีเหนียงเม้มปากยิ้ม
ยามเย็นอิงเหนียงมาคารวะไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินจับมือพูดคุยกับนางอยู่นาน โชคดีที่ไท่ฮูหยินชอบพูดคุยกับเด็กๆ อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้น ความเป็นมิตรของไท่ฮูหยินคงทำให้ทุกคนสงสัย
ถือโอกาสตอนที่หลัวเจิ้นซิ่งหยุด สืออีเหนียงไปที่ตรอกกงเสียน
หลัวเจิ้นซิ่งกำลังจัดหนังสือ พอรู้เจตนาของสืออีเหนียงก็หัวเราะเสียงดัง “ตอนที่เจ้าบอกว่าอยากให้อิงเหนียงมาหาเจ้าที่เยี่ยนจิงข้าก็พอจะเดาออก ข้าคิดว่าเจ้าจะรอท่านโหวกลับมาก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาเร็วขนาดนี้” เขาพูดต่ออีก “ข้าเห็นเจี้ยเกอมาตั้งแต่เด็ก แล้วเขายังโตมากับเจ้า ให้อิงเหนียงแต่งงานกับเขา เราไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง!”
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ราวกับว่าปรึกษาเรื่องนี้กันมานานแล้วอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงแปลกใจ
หลัวเจิ้นซิ่งหัวเราะแต่ไม่อธิบายอะไร เขาพูดถึงอิงเหนียง “แต่หากเป็นเช่นนี้คงจะให้นางอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าคิดว่าเลือกวันให้นางกลับมาตรอกกงเสียนเถิด!”
“เรื่องนี้ยังไม่มีทีท่าเลยเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงคิดว่ารอจดหมายจากอวี๋หังก่อนดีกว่า “กำหนดเรื่องงานแต่งงานก่อนแล้วค่อยย้ายกลับมาก็ไม่สาย”
“ก็ดีเหมือนกัน!” หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “อิงเหนียงพึ่งจะมาถึง หากรีบย้ายมาอยู่กับข้า คนอื่นอาจคิดว่านางมาที่เยี่ยนจิงเพราะเรื่องงานแต่งงาน”
สองพี่น้องพูดคุยกันอยู่นาน หลัวเจิ้นซิ่งเชิญสืออีเหนียงทานอาหารเย็นที่ตรอกกงเสียน
สืออีเหนียงเริ่มจัดการเรื่องงานแต่งงานของสวีซื่อเจี้ย
จะให้เขาอยู่ลานนอกไม่ได้แล้ว สวีซื่ออวี้สองสามีภรรยาอยู่ที่ลานในของฮูหยินสาม สวีซื่อจุนสองสามีภรรยาอยู่ที่ลานเดิมของหยวนเหนียง ครอบครัวของฮูหยินห้าอยู่ลานข้างโถงเตี่ยนชุน จะให้พวกเขาไปอยู่ที่ลานเล็กข้างโถงเตี่ยนชุนไม่ได้ ลานนั่นเล็กเกินไป
สืออีเหนียงเดินไปมาที่สวนดอกไม้หลังจวน
อิงเหนียงสงสัย “ท่านอาหญิงจะปลูกอะไรหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงตกใจ
อิงเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเห็นท่านมองดอกไม้ต้นไม้พวกนั้น คิดว่าท่านจะปลูกอะไรเสียอีก!”
สืออีเหนียงหัวเราะ
ในใจของนางพลันรู้สึกว่าอิงเหนียงและสวีซื่อเจี้ยล้วนแต่ชอบสถานที่ที่มีดอกไม้ต้นไม้!
“อิงเหนียง เจ้าชอบสถานที่แบบใด” นางเอ่ยปากถาม
“ข้าชอบทุกที่เจ้าค่ะ” อิงเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่าชอบเรือนหนงเซียงมากที่สุดเพราะที่นั่นปลูกผลไม้ได้”
เพราะมีประโยชน์มากกว่าแค่การปลูกดอกไม้ต้นไม้อย่างนั้นหรือ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วจับมืออิงเหนียง
มีสาวใช้วิ่งหอบเข้ามา “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่เจ้าคะ เร็วเข้าเจ้าค่ะ ท่านโหวและคุณชายน้อยหกกลับมาแล้ว!”
สืออีเหนียงดีอกดีใจ รีบจูงมืออิงเหนียงไปที่ประตูฉุยฮวา
อิงเหนียงเองก็ดีใจเช่นกัน “บอกว่าจะกลับมาช่วงกลางเดือนสี่ไม่ใช่หรือ นี่พึ่งจะต้นเดือนสี่เอง!”
“คงออกเดินทางล่วงหน้ากระมัง!” สืออีเหนียงตอบกลับอย่างเหม่อลอย มีคนวิ่งเข้ามาหาพวกนาง
“ท่านแม่ เรากลับมาแล้วขอรับ!” สืออีเหนียงยังไม่ได้สติกลับมา ก็มีก้อนสีฟ้าพุ่งเข้ามาหานาง
นอกจากจิ่นเกอแล้วยังจะเป็นใครอีก
สืออีเหนียงกางแขนกอดเขาด้วยสัญชาตญาณ
“เจ้านะเจ้า บุ่มบ่ามเสียจริง!” นางบ่นพึมพำ แต่สายตากลับกวาดมองไปรอบๆ
ไม่ไกลนัก สวีลิ่งอี๋ที่สวมเสื้อผ้าแพรหังโจวสีฟ้า ยิ้มแล้วมองมาที่นาง สายตาสดใสราวกับแสงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน ช่างอบอุ่นจนทำให้ผู้คนหลงใหล
สืออีเหนียงหัวใจเต้นแรง นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร โอบกอดจิ่นเกอเอาไว้แน่น ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้วถึงจะเพียงพอที่จะแสดงความคิดถึงในใจของนาง
“ท่านแม่ เบาๆ หน่อยขอรับ!” จิ่นเกอบ่นขึ้นมา “ท่านกอดข้าแน่นจนข้าแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว”
สืออีเหนียงหัวเราะ นางปล่อยบุตรชายออกแล้วลูบหัวเขาอย่างเบามือ “สวีซื่อจิ่นนะสวีซื่อจิ่น ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน กล้าบ่นแม่แล้ว!” ทันใดนั้นนางก็ตระหนักขึ้นได้ว่า ต้องยื่นมือขึ้นไปถึงจะลูบหัวเขาได้
“จิ่นเกอ…” สืออีเหนียงตะลึงจนตาค้าง
ไม่เจอกันครึ่งปี บุตรชายตัวเองไม่เพียงแต่สูงขึ้น แล้วยังผอมลงไม่น้อย ผิวขาวสะอาด หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง สีหน้ามีความหยิ่งทะนง ไม่มีท่าทีน่ารักน่าชังของเด็กอ้วนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่กลับมีท่าทีสง่างามของชายหนุ่มเข้ามาแทน
ตนพลาดอะไรไปกันแน่
สืออีเหนียงพลันน้ำตาไหล
“อย่าร้องไห้ขอรับ!” จิ่นเกอที่สูงพอๆ กับสืออีเหนียงรีบกอดมารดาของตัวเอง “ข้ากลับมาแล้ว ข้านำของกลับมาให้ท่านตั้งเยอะแยะ มีชุดคลุมเผาจื่อและสายรัดเอวของชาวซีอวี้ แล้วยังมีเสื้อผ้าและเครื่องประดับของชาวเหมียวด้วย…ท่านต้องชอบแน่นอน!” เขาปลอบใจสืออีเหนียงเบาๆ
“เจ้านำเสื้อผ้าและเครื่องประดับของชาวเหมียวมาจากไหน” สืออีเหนียงน้ำตาคลอเบ้า แต่กลับมองเขาด้วยสายตาที่เคร่งขรึม
“อ้อ!” สายตาของจิ่นเกอมีความตื่นตระหนก แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “มีคนนำมามอบให้ขอรับ!” เขาหยุดชะงัก จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ทุกคนรู้ว่าท่านพ่อเคยโจมตีเเคว้นเหมียวเจียง เพื่อเอาใจท่านพ่อ พวกเขาจึงนำเสื้อผ้าและเครื่องประดับของชาวเหมียวมามอบให้ท่านพ่อ” พูดจบก็จับไหล่สืออีเหนียง “ท่านแม่ขอรับ เราไปดูเครื่องประดับของชาวเหมียวกันเถิด ท่านต้องไม่เคยเห็นแน่นอน มันสวยยิ่งนัก” เขาพูดด้วยท่าทีเหมือนกำลังโน้มน้าวใจ
“เจ้านะเจ้า อยู่ต่อหน้าข้ายังกล้าพูดจาเหลวไหล…” สืออีเหนียงทั้งโมโหทั้งขบขัน แต่นางยังพูดไม่จบ จิ่นเกอก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง “ไม่ใช่ขอรับ ไม่ใช่ ข้าจะกล้าพูดจาเหลวไหลต่อหน้าท่านแม่ได้อย่างไร คนอื่นมอบให้จริงๆ หากท่านไม่เชื่อ ท่านก็ลองไปถามท่านพ่อดูสิขอรับ” จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อออดอ้อนสืออีเหนียง “ท่านแม่ พวกเราเดินทางมาตั้งหลายวัน แม้แต่ชาร้อนก็ไม่ได้ดื่ม ทันทีที่ถึงเมืองหลวง ท่านพ่อก็ถามว่าท่านอยู่ที่ไหน เข้ามาในจวน แม้แต่เรือนก็ยังไม่ได้กลับ รีบมาหาท่านแม่ก่อน” เขาชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “หากท่านไม่เชื่อก็ดูข้าสิ ทั้งตัวเต็มไปด้วยคราบฝุ่น!” จากนั้นก็จับไหล่สืออีเหนียงเดินไปข้างหน้า “ท่านแม่ ตอนนี้ข้าทั้งกระหายทั้งหิว หากท่านจะตำหนิข้า รอข้าล้างหน้าล้างตาก่อนได้หรือไม่”
เขาทำท่าทีน่าสงสาร แต่ดูออกว่าเสแสร้ง ทำให้อิงเหนียงที่อยู่ข้างๆ อดหัวเราะไม่ได้
จิ่นเกอถึงได้สังเกตเห็นอิงเหนียง
สายตาของเขาเป็นประกาย
พี่หญิงใหญ่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าอย่างไรท่านแม่ก็ต้องไว้หน้าเขา
“พี่หญิงใหญ่ ท่านมาเมื่อไรขอรับ” เขาทักทายอิงเหนียงอย่างเป็นมิตร
อิงเหนียงกลั้นหัวเราะ “ข้ามาถึงเมื่อปลายเดือนสอง ตอนนั้นเจ้าออกไปกับท่านโหวแล้ว”
“ไม่แปลกที่ข้าไม่รู้” เขาหาเรื่องคุย “พี่หญิงใหญ่พักอยู่ที่ไหน ประเดี๋ยวข้าไปเล่นกับท่าน ข้านำผ้าคลุมหัวของชาวซีอวี้มาด้วย พี่หญิงใหญ่ชอบสีอะไร ประเดี๋ยวข้านำไปให้พี่หญิงใหญ่…” พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
มีมือที่อบอุ่นมากุมมือนางเบาๆ แล้วปล่อยออก เสียงอ่อนโยนดังเข้ามาในหูของนาง “สืออีเหนียง ลูกคิดถึงเจ้าตลอดทาง เจ้าอย่าเค้นถามเขาเลย!”