บทที่ 650 หัวใจโกลาหล เทวโลก!
สะเทือนเลือนลั่นกันถ้วนหน้า!
ภาพนี้สร้างความสะท้านให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพโกลาหล สิ่งมีชีวิตเมืองเก่าแก่ รวมถึง…สิ่งมีชีวิตฝ่ายพิศวงลางร้าย!
น่ากลัวเกินไปแล้ว เป็นไปได้อย่างไรกัน ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนถูกบีบให้ตายง่าย ๆ เสมือนมดตัวหนึ่งอย่างนั้น พวกเขาไม่เคยฝันถึงภาพเหตุการณ์เช่นนี้เลยสักครั้ง
หนึ่งในผู้ก่อกำเนิดความพิศวง ตัวเองคือลางร้าย มีพลังสูงส่งเกินหยั่ง เหนือขอบเขตความเข้าใจทั้งปวง ตายอย่างน่าอเนจอนาถ ตายอย่างง่ายดาย เล่าให้ผู้อื่นฟังคงมิมีใครเชื่อ เหนือธรรมชาติเกินไป!
สิ่งมีชีวิตทั้งปวงหันมองภาพร่างเลือนรางนั้นด้วยสีหน้าเหม่อลอย นี่เป็นเพียงภาพร่างหนึ่งเท่านั้น ถักทอประสานด้วยกฎระเบียบอันบริสุทธิ์ ไม่ถือเป็นร่างแยกด้วยซ้ำ หากเป็นร่างจริง จะน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงใด!?
“คุ้นเคยยิ่งนัก เหมือนเคยอยู่เคียงกันมาแล้วเนิ่นนาน…”
ซีพึมพำกับตัวเองเสียงเบา สงสัยใคร่รู้จากใจจริง นางยิ่งได้มองภาพร่างเลือนรางนั้นยิ่งรู้สึกคุ้นเคย ราวกับเป็นคนในครอบครัวที่นางสนิทสนมเป็นอย่างดี
ทว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน
นางไฉนเลยจะได้คลุกคลีกับตัวตนระดับนี้?
แค่คิดก็ไม่มีทางเป็นจริง
“เขาคือผู้ที่ช่วยข้า และเปลี่ยนแปลงร่างกายของข้าไปถึงแก่นหรือ”
นางคิดไปในใจ รู้สึกว่านี่แหละคือความจริง นางจ้องมองภาพร่างเลือนรางนั้นพลางพึมพำ “เพราะเหตุใด ข้ามีอันใดควรค่าให้ช่วยเหลือ ทั้งยังมอบวาสนาการเปลี่ยนแปลงกับพลังป้องกันเช่นนี้ให้”
น่าเสียดาย ภาพร่างเลือนรางนั้นมิได้ให้คำตอบนาง ร่างของมันค่อย ๆ หายไป ทุกอย่างคืนสู่ความสงบ ร่องรอยทั้งหมดอันตรธาน ราวกับไม่เคยปรากฏออกมาตั้งแต่ต้น
เหล่าบรรพจารย์ในแดนต่าง ๆ อย่างบรรพจารย์ตงชิวรีบร้อนกลับมายังแดนบรรพโกลาหล อยากทราบถึงตื้นลึกหนาบางและภูมิหลังของซี ส่วนสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายฝ่ายนั้นกลัวหัวหดจนล่าถอยกันไปหมดแล้ว ไม่คิดใคร่ครวญให้มากก็รู้ว่าสิ่งมีชีวิตพิศวงลางร้ายมิกล้าทำการใดอีกในช่วงระยะสั้น ๆ นี้
“ท่านบรรพจารย์!”
จ้าวแห่งตงชิวนามตงเยียนเข้ารวมตัวกับบรรพจารย์ตงชิวทันที และรายงานสถานการณ์ของซีให้บรรพจารย์ตงชิวทราบ
หลังบรรพจารย์ตงชิวได้ยินว่าตงเยียนสั่งให้ซีคุกเข่าคำนับรูปปั้นของเขา เขาก็ตกตะลึงจนเด้งตัวขึ้นมา ถลึงตามองตงเยียน อย่าให้เอ่ยเลยว่าสายตาพิลึกปานใด
ให้ตายสิ นี่กลัวเขาอายุยืนไปหรือไร ถึงให้ซีซึ่งมีท่านผู้นั้นคอยปกปักษ์รักษาคุกเข่าคำนับเขา ดีที่ท่านผู้นั้นมิได้ถือสาหาความมากนัก เพียงแต่ผ่ารูปปั้นเขาจนแหลกลาญเท่านั้น หากท่านผู้นั้นคิดเอาความจริง ๆ เขาต้องติดร่างแหไปด้วยแน่ ร่างจริงยังต้องถูกผ่าจนแหลกลาญไปด้วย!
“ไม่ต้อง ต่อแต่นี้ไปให้งดเว้นระเบียบข้อนี้ ห้ามมิให้ผู้ใดคุกเข่าคำนับอีก!”
บรรพจารย์ตงชิวเอ่ยอย่างนึกกลัว
จากนั้น เขาเสริมอีกประโยค “ไม่สิ หลังจากนี้ ห้ามตั้งรูปปั้นของข้าอีก เอ่อ รูปวาดก็มิได้! ข้ายังอยากอยู่ให้นานกว่านี้หน่อย!”
“รีบปลดรูปปั้นและรูปวาดของข้าเสีย!”
“ยกเลิกการคุกเข่าคำนับทั้งหมด!”
บรรพจารย์แดนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย หลังรับรู้สถานการณ์ พวกเขาแต่ละคนต่างเหมือนกระต่ายตื่นตูม รีบออกคำสั่งเหมือน ๆ กันลงไป
นี่มิใช่เรื่องเล่น ๆ ไม่แน่อาจเอาชีวิตพวกเขาได้จริง ๆ
“ท่านอาจารย์!”
ซีเดินเข้ามา เรียกตงเยียนว่าท่านอาจารย์อย่างนอบน้อม
“ท่านผู้นี้คือท่านบรรพจารย์ใช่หรือไม่”
นางหันมองบรรพจารย์ตงชิว ร้องเรียกเสียงเคารพ “คารวะท่านบรรพจารย์”
ครืน!
ท้องฟ้าที่เคยสงบพลันมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น ตงเยียนและบรรพจารย์ตงชิวต่างตกตะลึง กลัวจนวิญญาณแทบออกจากร่าง!
“อย่า!”
ตงเยียนและบรรพจารย์ตงชิวรีบปฏิเสธ มิกล้าให้ซีขานสรรพนามเรียกนี้
ท้องฟ้ากลับมาสงบอีกครั้ง อสนีบาตสีทองที่เคยหลอมรวมไว้หายไป
พวกเขาโล่งอก นึกในใจว่าท่านผู้นั้นคงมิใช่ว่าอยู่ในสัมพันธ์อย่างคนรักกับซีหรอกกระมัง มิฉะนั้น เหตุใดถึงอ่อนไหวเช่นนี้
ถึงอย่างไร หากท่านผู้นั้นเป็นคนรักของซีจริง ๆ แล้วพวกเขาขานสรรพนามเรียกของซี วันหน้าท่านผู้นั้นมิต้องเรียกขานพวกเขาว่าท่านอาจารย์ และท่านบรรพจารย์ด้วยหรือ?
บ่วงกรรมที่เกี่ยวข้องนี้ใหญ่หลวงนัก มิใช่เรื่องที่พวกเขาจะรับไหว
ส่วนที่ว่าท่านผู้นั้นใช่อาจารย์ของซีหรือไม่นั้น พวกเขารู้สึกว่าไม่น่าใช่ ภาพร่างนั้นดูแล้วยังวัยเยาว์อยู่มาก มีอาจารย์ศิษย์เช่นนี้ที่ไหน สัมพันธ์คู่รักมีความเป็นไปได้สูงกว่า
“ไม่ต้องเรียกเราว่าท่านอาจารย์และท่านบรรพจารย์ เจ้าอยู่ฝึกฝนในตำหนักตงชิวของเราก็พอ” บรรพจารย์ตงชิวกล่าว
ซีพยักหน้า “ก็ได้”
พวกเขาพาซีกลับไปยังตำหนักตงชิว หลังจัดแจงเรื่องของซีเรียบร้อย ตงเยียนและบรรพจารย์ตงชิวออกมาด้านนอก
“ท่านบรรพจารย์ ซีมีท่านผู้นั้นคอยปกปักษ์รักษา พวกเราพาซีไปหาพวกพิศวงลางร้ายเลยได้หรือไม่ ให้ท่านผู้นั้นล้างบางความพิศวงลางร้ายให้สิ้นซาก” ตงเยียนเอ่ย
ความพิศวงลางร้ายเป็นภัยร้ายรุนแรงที่สุดสำหรับพวกเขามาโดยตลอด นางได้ตระหนักถึงพลังของท่านผู้นั้น หากพาซีไปด้วย พิศวงลางร้ายทั้งปวงย่อมต้องถูกเก็บกวาดจนสิ้น
“คิดอะไรอยู่! ความคิดเช่นนี้ของเจ้าอันตรายยิ่งนัก! จงจำไว้ว่าภายหลังห้ามมีความคิดเช่นนี้อีก!”
บรรพจารย์ตงชิวผวากับวาจาของตงเยียน จนต่อว่าเสียงดัง “เจ้ากล้าดีอย่างไร ถึงริอ่านคิดหลอกใช้ท่านผู้นั้น!”
ตงเยียนคิดได้ หน้าซีดเผือดในบัดดล เม็ดเหงื่อเท่าถั่วหลั่งริน เอ่ยด้วยตัวสั่นเทา “เป็นความผิดของข้า เป็นความผิดของข้า ข้ามิกล้าคิดเช่นนี้อีกแล้ว!”
“เรื่องราวทุกอย่างจงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ห้ามคิดหลอกใช้ซีหรือท่านผู้นั้นเด็ดขาด ทำเช่นนั้นเท่ากับ…รนหาที่ตาย!”
บรรพจารย์ตงชิวเอ่ยเสียงขึงขัง
…
บนธรณีสีเทาที่ลอยอยู่เงียบ ๆ ในส่วนลึกของอวกาศ โลหิตพ่นออกมาไม่หยุด ประหนึ่งตาน้ำพุมากมาย อย่าให้เอ่ยเลยว่าภาพที่เห็นนั้นชวนผวาปานใด
ที่นี่เต็มไปด้วยความพิศวงลางร้าย เข้มข้นจนน่ากลัว เสียงถอนหายใจดังมาจากส่วนลึก ทั้งจักรวาลรวนเรตามเสียงถอนหายใจนี้
ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนตายแล้ว สิ่งมีชีวิตทุกตนในที่นี้ตะลึงกันหมด พวกมันตื่นขึ้นทีละตน แต่ละตนล้วนมิอาจให้คำนิยามได้ ขนยาวหนาเป็นชั้นปกคลุมทั้งกาย
“นั่นมันผู้ใดกัน เหตุใดถึงปรากฏตัวในจักรวาลโกลาหลผืนนั้น ไม่ควรเกิดเรื่องเช่นนี้เลย!”
สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งส่งเสียง มันคือต้นบรรพจารย์เช่นกัน สสารพิศวงลางร้ายในตัวหนาแน่นจนเกินจินตนาการ
มันเป็นหนึ่งในผู้ก่อกำเนิดความพิศวงลางร้าย
“หัวใจโกลาหลในจักรวาลโกลาหลผืนนั้นต่ำต้อยปานใด ถูกกำหนดขีดจำกัดไว้นานแล้ว มิอาจทลายได้ ไม่ควรมีกำลังรบระดับนั้นถือกำเนิดขึ้นได้เลย”
สิ่งมีชีวิตอีกตนส่งเสียง เป็นหนึ่งในผู้ก่อกำเนิดเช่นกัน
สรรพสิ่งล้วนวิวัฒนาจากความโกลาหล อาณาจักรทั้งปวง สิ่งมีชีวิตนับล้าน ต่างพัฒนาขึ้นจากความโกลาหล และขีดจำกัดสูงสุดถูกลิขิตไว้แต่แรก ไม่มีทางเหนือไปกว่านั้น
“มาจากจักรวาลโกลาหลแห่งอื่นหรือ”
พวกมันสนทนากันต่อ ได้ข้อมูลอันน่าสะพรึงว่า นอกจักรวาลโกลาหลยังมีอาณาจักรอื่น และพวกมันเองก็อยู่นอกความโกลาหล
ภายในความโกลาหลล้วนมีหัวใจแกนกลาง นั่นคือหัวใจโกลาหล จุดกำเนิดพลังทุกอย่าง และคือตัวการสำคัญในการวิวัฒนาเป็นสรรพสิ่งกับอาณาจักรทั้งปวง
ความพิศวงลางร้ายยึดครองจักรวาลโกลาหลเช่นนี้ไว้ได้หนึ่ง
หัวใจโกลาหลของจักรวาลโกลาหลที่พวกมันอยู่นั้นทรงพลังเป็นพิเศษ พลังแกร่งกล้าอย่างยิ่งยวด ด้วยเหตุนี้ พวกมันถึงแกร่งกล้าได้ปานนี้
และจักรวาลโกลาหลที่แขนงย่อยของพวกมันอยู่ จากที่พวกเขาสืบมา พลังของหัวใจโกลาหลมีจำกัด เทียบมิได้กับจักรวาลโกลาหลที่พวกมันอยู่เลย เพราะอย่างนั้น หลังมีกำลังรบระดับนั้นปรากฏ พวกมันถึงตกตะลึงด้วยความคิดไม่ถึง
“พวกเรายังต้องลุยต่อหรือไม่ ดูแล้วเจ้านั่นจัดการได้ยากยิ่ง…”
ต้นบรรพจารย์ตนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
ต้นบรรพจารย์เสวี่ยเทียนถูกบดขยี้จนร่างกายแหลกเหลวง่ายดาย นี่ใช่แค่ต่อกรด้วยยากที่ไหน เรียกว่าต่อกรด้วยมิได้เลยต่างหาก
“กลัวอะไร ต้องลุยต่ออยู่แล้ว!”
ต้นบรรพจารย์อีกตนยิ้มเย็น “ต่อให้เขาแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่มีทางเป็นคู่มือของเรา อย่าลืมว่าสิ่งใดอยู่เบื้องหลังของเรา! พวกเรามีแรงสนับสนุนจากเทวโลก!”
“ถูกต้อง!”
“พวกเรามิมีสิ่งใดต้องเกรงกลัว!”
ต้นบรรพจารย์ตนอื่นหัวเราะเสียงเย็น จักรวาลโกลาหลผืนนั้นต้องตกเป็นของพวกมันในที่สุด ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจขัดขวาง!
พวกมันได้สัมผัสกับเทวโลกแล้ว!
เทวโลกเชียวนะ นั่นคืออาณาจักรที่อยู่เหนือจักรวาลโกลาหลทั้งปวง
ต้องรู้ว่า หัวใจโกลาหลทุกดวงล้วนร่วงหล่นลงจากเทวโลก!