GGS:บทที่ 942 เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว
ซูจิ้งและหวังซือหยาได้คุยกันเกี่ยวกับแนวทางในการเตรียมตัวให้หยินหนิงหนิงฝึกฝนเพื่อที่จะได้กลายเป็นสุดยอดนักร้องในอนาคต
ตอนนี้ถึงแม้ว่าเสียงของเธอจะดีพร้อมอยู่แล้ว แต่ตัวเธอเองก็ยังต้องพัฒนาทักษะในการร้องเพลงด้านอื่นอยู่ดี อย่างพวกการจับจังหวะหรือการเล่นเสียง
หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป เธอนั้นถูกส่งให้ไปร่วมงานในรายการทีวีโชว์ที่มีชื่อว่า “เสียงดี” ซึ่งแน่นอนว่านี่จะเป็นหนึ่งการเริ่มสู่หนทางการเป็นนักร้องของเธอเท่านั้น
ด้วยการที่รายการนี้มีการทำมาแล้วหลายซีซั่น นั่นแสดงให้เห็นว่ารายการนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก รายการมีรูปแบบคือการให้คนที่จะเป็นคนชี้แนะ(ติวเตอร์)ในการร้องเพลงนั้นนั่งหันหลังให้
เมื่อนักร้องที่ลงแข่งร้องเพลงให้ทั้งสี่ฟัง หากพวกเขาชอบคนไหนก็จะกดปุ่มแล้วเก้าอี้ก็จะหันมาให้เห็นใบหน้าของคนที่ร้องเพลงนั้นอยู่
หากมีติวเตอร์หลายคนที่ชอบนักร้องคนเดียวกัน นักร้องก็มีสิทธิที่จะเลือกใครก็ได้ให้เป็นติวเตอร์ นี่ถือได้ว่าเป็นความยุติธรรมกับผู้ลงแข่งที่มีเสียงดีแต่หน้าตาไม่ดี
แต่ในเรื่องนี้นั้นซูจิ้งและหวังซือหยาจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ พวกเขานั้นอยากให้ผู้ชมนั้นประทับใจในตัวหยินหนิงหนิงตั้งแต่แรกเห็นมากกว่า และทำให้ทุกคนรู้ว่าหยินหนิงหนิงนั้นไม่ใช่เพียงแค่ไม้ประดับเท่านั้น
ทั้งสองอยากจะให้แม้แต่ผู้ชมก็ต้องฟังได้แต่เสียงของเธออย่างเดียว นี่ถึงจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างที่สุด
นั่นก็เพราะเอาจริงๆแล้วไอ้การแข่งขันนั้นไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แต่การได้แสดงความสามารถแบบนี้สิถึงจะทำให้หยินหนิงหนิงดังกว่าเข้าร่วมแข่งซะอีก
หลังจากคุยกันเรื่องแนวทางด้านการร้องเพลงเสร็จแล้ว หวังซือหยายังไม่ทิ้งโอกาสที่จะผลักดันให้หยินหนิงหนิงเข้าสู่วงการบันเทิงในฐานะนักแสดงแต่อย่างใด เพราะว่าเธอเสียดายความสวยของหนิงหนิงโดยเธอได้พูดออกมาว่า
“ตอนนี้นะคนในวงการนักแสดงดีๆนั้นเหลืออยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่นักแสดงระดับสุดยอดก็แก่กันไปจะหมดแล้ว
นักแสดงที่ยังรุ่นๆหน่อยก็เป็นได้แค่นักแสดงระดับสองไม่ระดับสามเท่านั้นเอง แถมพวกนั้นยังไม่มีความสามารถพอในการดึงดูดนักลงทุนให้สร้างหนังให้ด้วยซ้ำ
ดาราพวกนี้นั้นถือได้ว่าห่างไกลจากความสำเร็จอย่างสิ้นเชิง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงพวกคลื่อนลูกใหม่ที่ยังหนุ่มยังสาวแต่ไร้ซึ่งทักษะในการแสดงอีกนะ
ส่วนพวกที่มีทักษะแต่ก็หน้าตาธรรมดาๆเท่านั้นเอง บางคนถึงกับไม่สามารถรับงานเองไม่ได้ด้วยซ้ำ แถมยังรับงานได้แค่การแสดงอย่างเดียวด้วย
ที่พอเข้าตาพวกเราเองก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะจะเป็นดาราจริงๆ” หวังซือหยาพูดออกมา
“ใครอ่ะ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยสายตาเปล่งประกาย
“เอ้า นายจำไม่ได้เหรอตอนที่นายลบรอยแผลเป็นให้ชิเหยาน่ะ หลังจากนั้นก็มีชายคนหนึ่งติดต่อเข้ามาว่าต้องการผงลบรอยแผลเป็นแต่นายดันบอกว่าไม่ต้องการขายเขาก็ทำได้เพียงแค่ถอดใจไป
ตอนหลังเขาก็ได้เห็นนายทำศัลยกรรมขั้นละเอียดยิบแล้วเขาก็ติดต่อนายแต่นายก็ไม่สนใจ คนๆนั้นนะถือได้ว่าเป็นนักแสดงชั้นยอดของโรงเรียนการละครเลยนะ
น่าเสียดายที่เขานับประสบอุบัติเหตุทำให้ใบหน้าของเขาเสียโฉมไปเลยก็ว่าได้ เพื่อเป็นการโปรโมทบริษัทของเราฉันก็เลยให้เขานั้นมาเป็นคนทดสอบผลิตภัณฑ์ซึ่งมันก็พอจะได้ผลดีอยู่บ้าง แต่ยังไงซะรอยแผลของเขาก็ไม่ได้หายไปอย่างหมดจดยังเหลือร่องรอยอยู่
จนตอนนี้เขาเริ่มที่จะปลงตกแล้วก็เลยปล่อยวางไปเข้าร่วมแสดงกับบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อฝึกปรือฝีมือจนได้รับรางวัลนักแสดงสมทบเลยนะ แต่ถึงอย่างนั้นนั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขามุ่งหวังไว้ในใจอยู่ดี”
หวังซือหยาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส
“อ๋อ ฉันจำได้ เจ๊หมายถึงหลูจิงยี่ใช่รึเปล่า” ซิ้งเริ่มจำได้ขึ้นมาแล้วพลางนึกไปถึงผงลบรอยแผลเป็นที่จริงๆแล้วนั้นคือสุดยอดยารักษาที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯจูเซียน
หลังจากที่เขานั้นได้เห็นผลของยานั่นแล้วก็ไม่อยากจะนำมาใช้พร่ำเพรื่อเพราะว่ามันดีมากเลยอยากจะเก็บไว้ใช้รักษาชีวิตมากกว่านำมารักษาแค่รอยแผลเป็นแบบนี้
โดยเฉพาะกับหลูจิงยี่ที่เกือบทั้งหน้านั้นเป็นแผลเป็นด้วยแล้ว เขายังไม่อยากจะนึกถึงเลยว่าเขาต้องเสียผงยารักษาชีพนั่นไปเท่าไหร่
ส่วนวิธีการศัลยกรรมเชิงลึกตามแบบฉบับของเขานั้นต้องบอกว่าเป็นการใช้ผงแปลงโฉมที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจมากกว่า
เจ้าผงแป้งนั้นใช้ได้สองแบบนั่นก็คือกินเพื่อเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างที่ใจปรารถนา อีกหนึ่งคือการทาเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก เมื่อผนวกรวมกับเทคนิคของเขาแล้วนับประสาอะไรกับแค่รอยแผลเป็นกัน
“ใช่ๆ ฉันหมายถึงหลูจิงยี่นั่นแหล่ะ” หวังซือหยาพยักหน้าตอบ
“เจ๊ลองเรียกเขามาอีกทีสิ คราวนี้ฉันจะทำให้เขาเป็นมังกรในหมู่ดาราเลยยทีเดียว” ซูจิ้งพูดออกมานี่ทำให้หวังซือหยาตาแทบจะฉายแสงได้ในทันที
โจวซิวและเชิงชิเหยาเองที่ได้เห็นความสามารถของผงลบเลือนริ้วรอยมาแล้วรวมถึงความมหัศจรรย์ของการศัลยกรรมขั้นสุดของซูจิ้งมาแล้วก็พลางคิดไปว่าซูจิ้งยอมช่วยหมอนี่สักที
แต่กับหยินหนิงหนิงนั้นกลับใจเต้นในทันทีพร้อมหันไปมองซูจิ้งตาไม่กระพริบราวกับคาดการณ์อะไรได้บางอย่าง
“พอดีเลย เขาอยู่ในบริษัทเราเลยตอนนี้ แต่ว่าหากผงลบเลือนริ้วรอยของนายมีจำกัดล่ะก็ ต่อให้มันใช้ดีขนาดไหนก็ลืมเรื่องนี้ไปก็ได้นะ” หวังซือหยากระซิบที่ข้างหูของซูจิ้ง
เธอรู้ดีว่าถึงแม้ว่าความสามารถของหลูจิงยี่จะดีต่อบริษัทมากขนาดไหนและเธอด็รู้ว่าเขานั้นทำงานหนักอย่างมากในฐานะนักแสดง
เธอเองก็อยากจะช่วยเหลือเขาจริงๆแต่ส่วนหนึ่งเองก็เป็นเพราะถ้าเขาดังได้ล่ะก็แน่นอนว่าย่อมทำเงินให้บริษัทอย่างมหาศาล
แต่เมื่อเทียบกับน้องชายต่างเลือดคนนี้ เมื่อเทียบหลูจิงยี่ที่เป็นเพียงดาราน้อยๆภายใต้บริษัทของเธอย่อมเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว ยังไงซะเธอก็ต้องเลือกซูจิ้งอย่างแน่นอน
“ไม่เป็นไรน่า ฉันคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว” ซูจิ้งยิ้มออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้นหวังซือหยาจึงได้เรียกหลูจิงยี่ให้มาหา เขานั้นสูง 1.8 เมตร และมีร่างกายที่เรียกได้ว่ากำยกเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะดูผอมไปหน่อยแต่ก็ถือได้ว่าสมส่วนอย่างมาก
อย่างไรก็ตามใบหน้าของเขาในตอนนี้นั้นดูไม่ดีนัก ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เขาต้องเมคอัพเพื่อกลบรอยแผลเป็นถึงแม้จะลบได้ไม่หมดทั้งๆที่ผ่านการศัลยกรรมมามากมายแล้วก็ตาม
ถึงแม้จะดูดีแล้วแต่เมื่อเทียบกับคนธรรมดาแล้วก็ไม่ได้ทำให้เขานั้นดูโดดเด่นแต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าในวงการภาพยนต์จะมีราชานักแสดงที่มีต่อตาธรรมดาอย่างฮวงป๋อ(หงจินเป่า) แต่กว่าเขาจะไปถึงขั้นนั้นได้ก็ต้องฟันฟ่าอุปสรรคมากมายแบบสุดกว่าจนเป็นที่ยอมรับของผู้คน
หลูจิงยี่ในตอนนี้เมื่อเห็นซูจิ้งได้แสดงออกถึงความตื่นเต้นจนจะเรียกว่าตื้นตันเลยก็ว่าได้ เขานั้นพยายามขอร้องซูจิ้งมาสองครั้งแล้วแต่ซูจิ้งก็ไม่สนใจเขาเลยสักนิด
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ยอมพบเขาเพื่อที่จะช่วยผ่าตัดให้เขาสักทีจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง ความจริงเขาเองก็เป็นคนหล่อคนหนึ่ง ถึงแม้อุบัติเหตุครั้งนั้นจะไม่ถึงขั้นจะทำให้เขาต้องสูญเสียอาชีพนี้ไป แต่นั่นก็เป็นเพราะความดื้อดึงของเขาเท่านั้นไม่ใช่เขาถอดใจจากความหวังในหน้าตาที่กลับมาเป็นปกติของเขาได้
“ขอบคุณครับคุณซูที่ยอมช่วยผม ขอบคุณมากๆเลยครับ” หลูจิงยี่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เดี๋ยวก่อนเลยคุณยังไม่ต้องรีบแสดงท่าทางมีความสุขออกมาดีกว่า ที่ผมจะช่วยคุณนั้นแน่นอนว่าไม่ได้ช่วยเพื่อการกุศลอย่างแน่นอน ผมมีข้อเสนอที่ต้องคุยกับคุณก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะผ่าตัดให้คุณหรือไม่
คุณก็คงพอรู้แล้วว่าการศัลยกรรมของผมนั้นมันล้ำค่าเกินกว่าการผ่าตัดศัลยกรรมทั่วไป หากเราตกลงกันได้แล้วคุณยอมรับข้อเสนอของผมผมถึงจะยินยอมผ่าตัดให้คุณ หากคุณคิดว่าไม่มียุติธรรมเราก็แค่ลืมเรื่องนี้ไปก็พอ”
“คุณซู ผมไม่มีทางขอร้องคุณโดยไม่ให้อะไรตอบแทนคุณอยู่แล้ว ผมเข้าใจความเรื่องนี้ดีว่าหากคนเราจะได้อะไรสักอย่างก็ต้องยอมแลกอะไรไปเหมือนกัน” หลูจิงยี่พยักหน้ารับ
“เจ๊ซือหยา เดี๋ยวผมขอไปคุยกับหลูจิงยี่ที่อื่นแบบส่วนตัวหน่อยนะ” ซูจิ้งหันไปคุยกับหวังซือหยา
“ได้เลย” หวังซือหยาพยักหน้ารับ
ซูจิ้งปล่อยหยินหนิงหนิงให้อยู่ที่บริษัทหยุนหยินอินเตอร์เทนเมนต์และพาตัวลู่จิงยี่ไป
หนึ่งวันผ่านไปก็ได้มีหนุ่มหล่อขั้นสุดคนหนึ่งเข้ามายังบริษัทของหวังซือหยา
“คุณหวังคะ มีหนุ่มหล่อคนหนึ่งต้องการเข้าพบคุณค่ะ” เลขาของหวังซือหยารีบพุ่งเข้ามาในห้องหวังซือหยาแทบจะพุ่งทะลุประตูมาเลยก็ว่าได้
“หืม หนุ่มหล่อที่ไหนกัน ฉันว่าฉันไม่รู้จักนะ รีบๆไล่ไปซะ” หวังซือหยาหยุดมือจากงานพลางนึกว่าพอจะเป็นใครได้บ้าง แต่นึกไม่ออกเลยส่ายหัวและผายมือเชิงให้ไล่ไปซะให้พ้นๆ
“แต่เขาหล่อมากเลยนะคะ เขาน่าจะเป็นอัญมณีของเราได้เลยนะ” เลขาพูดออกมาด้วยท่าทีกระตือลือล้น
“ก็ได้ก็ได้ พาเขาเข้ามา” หวังซือหยาทำท่ารำคาญเล็กน้อยก่อนที่จะอนุญาตให้คนๆนั้นเข้ามาได้
ในเวลานั้นเธอก็ได้เห็นเลขาของเธอพ่อหนุ่มหล่อคนหนึ่งเข้ามา เขาหล่อมากชนิดที่ทำให้เธอเองก็ต้องตะลึงนิ่งอึ้งไปด้วยเหมือนกันพลางคิดไปว่า นี่คืออัญมณีสำหรับเธอจริงๆด้วย
หวังซือหยาได้ยิ้มออกมาบนใบหน้าก่อนที่จะชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดออกมาว่า “คุณสุภาพบุรุษ เชิญนั่งค่ะ”
“คุณหวัง ผมหลูจิงยี่ครับ” หนุ่มหล่อพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หวังซือหยาตกตะลึงในทันทีพร้อมทั้งโดยตาที่เบิกโพลง เธอยื่นนิ้งอึ้งจนปากกาในมือตกลงพื้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว หลังจากนั้นทั้งโจวซิวและเชิงชิเหยาเองที่ได้มาเห็นหลูจิงยี่กับตาก็ยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง พลางพึมพำออกมาว่า ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง อยู่หลายครั้งหลายหน
ขนาดหยินหนิงหนิงเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน ตอนนี้หลูจิงยี่นั้นหน้าตาราวกับคนที่เธอเคยรู้จักอย่างกับแกะ มันเหมือนกับว่าซูจิ้งนั้นไม่ได้ทำศัลยกรรมแต่เป็นการสร้างพี่น้องของคนๆหนึ่งขึ้นมาอีกคน
ก็ไม่แปลกที่ทั้งสามคนนั้นไม่เชื่อนั่นก็เพราะว่าในตอนนี้ หลูจิงยี่นั้นมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับคนที่เธอทั้งสามติดตามและรู้จักในช่องชาร์คทีวีนั่นก็คือกงจูจิวหรือวูจู่นั่นเอง
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็แน่นอนว่าแฟนคลับของวูจู่ที่เคยสตรีมก่อนหน้านี้ไปนั้นไม่มีทางแยกออกอย่างแน่นอน มันเหมือนกับว่าที่วูจู่ออกมาสตรีมก่อนหน้านี้เป็นการเตรียมตัวให้กับหลูจิงยี่ไปโดยปริยาย ราวกับว่าเตรียมตัวแต่งงานเอาไว้แต่ถูกเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวในงานไปแทน