ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหน สวีลิ่งอี๋เดินเข้ามาหาสืออีเหนียงอย่างเงียบเชียบ
เนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยฝุ่น…สีผิวเข้มขึ้นและผอมลงกว่าแต่ก่อน แต่สีหน้ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เขามองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่สดใส “พวกข้าไปล้างหน้าล้างตาก่อน จะได้ไปคารวะไท่ฮูหยิน”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คำพูดของเขาทำให้สืออีเหนียงหน้าแดง นางขานรับ “เจ้าค่ะ” เบาๆ จากนั้นก็เดินตามจิ่นเกอและอิงเหนียงไปพร้อมกับสวีลิ่งอี๋
“…เช่นนั้นก็หมายความว่า พี่หญิงใหญ่จะไปวัดเย่าหวังวันที่แปดเดือนสี่หรือ” จิ่นเกอพูดคุยกับอิงเหนียง “ข้าเคยไปกับท่านย่าสองสามครั้ง ถึงแม้ว่าที่นั่นจะไม่ค่อยมีคนไปจุดธูป แต่มีของดีๆ ขายเยอะมากมาย ไม่เหมือนวัดต้าเซียงกั๋ว บอกว่าเป็นลูกปัดไม้จันทน์ แต่ความจริงแล้วคือไม้ต้นหลิว” ปากก็พูดไป แต่หางตากลับเหลือบมองข้างหลังเป็นครั้งคราว
พอเห็นท่านแม่เดินตามท่านพ่อเงียบๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ยิ่งพูดมาก ยิ่งมีโอกาสพลั้งพลาดมากจริงๆ!
ต่อไปต้องเปลี่ยนนิสัยนี้
คิดเช่นนี้ เขาก็ยิ้มแล้วถามอิงเหนียง “ตอนข้าไม่อยู่ที่จวน มีเรื่องอันใดสนุกๆ หรือไม่!”
อิงเหนียงครุ่นคิด นางยิ้ม “งานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิเทศกาลซานเย่ว์ซาน! วันนั้นสนุกอย่างมาก…”
พูดเรื่องอื่นกับอิงเหนียงได้อย่างธรรมชาติ
เห็นพวกเขาสองคนพูดคุยกันอย่างมีความสุข สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงก็หันมามองหน้ากัน
บ่าวรับใช้ที่เดินผ่านมาโค้งคำนับพวกเขาสองคน
จือหงพาสาวใช้น้อยสองคนเดินมาด้วยท่าทีตื่นตระหนก พอเจอเข้ากับพวกเขา พวกนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ท่านโหว ฮูหยิน คุณชายน้อยหก คุณหนูใหญ่!” นางย่อเข่าคำนับ “ไท่ฮูหยินรู้ว่าท่านโหวกลับมาแล้ว กำลังเดินมาที่นี่เจ้าค่ะ บ่าวกำลังจะไปรายงานที่ลานหลัก แต่กลับบังเอิญเจอท่านโหว ฮูหยิน และคุณชายน้อยหกที่นี่พอดี…”
“ข้ารู้แล้ว!” สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “เรากลับเรือนกันเถิด!”
จือหงย่อเข่าคำนับ จากนั้นก็พาสาวใช้เดินออกไป
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วเหลือบมองสืออีเหนียง ราวกับกำลังพูดว่า เพราะเจ้ามัวแต่บ่นเลยทำให้เสียเวลา เกือบทำให้ไท่ฮูหยินหาพวกเขาไม่เจอ…
สืออีเหนียงเหลือบมองเขา นางอดหัวเราะไม่ได้
สวีลิ่งอี๋ยิ้มด้วยสายตาที่เป็นประกาย
สืออีเหนียงใจเต้นกระหน่ำ นางรีบเดินไปหาบุตรชายราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่าง “เหตุใดพวกเจ้าถึงกลับมาเร็วขนาดนี้” ไม่มองสวีลิ่งอี๋เลยแม้แต่น้อย
“ที่ที่ควรไปก็ไปมาแล้วขอรับ เราจึงกลับมาก่อนล่วงหน้า” จิ่นเกอพูดด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าก็จะไปวัดเย่าหวังด้วย!”
“ได้สิ!” สืออีเหนียงยิ้มก่อนจะกำชับว่า “แต่ว่าห้ามวิ่งไปทั่ว แล้วยังต้องดูแลพี่หญิงใหญ่ให้ดี”
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงขอรับ!” จิ่นเกอรับปาก
พวกเขาสามคนพูดคุยหัวเราะกันพลางเดินไปที่ลานหลัก
สวีลิ่งอี๋มองดูแผ่นหลังของพวกเขาด้วยสายตาอิ่มเอมใจ
*****
ทันทีที่พวกเขาเข้ามา ไท่ฮูหยินก็มาถึงพอดี
สวีลิ่งอี๋และจิ่นเกอเดินเข้าไปก้มหัวให้ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินยื่นมือหนึ่งออกไปจับบุตรชาย อีกมือหนึ่งจับหลานชาย “กลับมากันแล้ว!” นางน้ำตาไหล
“ท่านแม่ขอรับ ข้าควรกตัญญูต่อท่าน” สวีลิ่งอี๋น้ำตาคลอ คุกเข่าลงตรงหน้าไท่ฮูหยิน “แต่ข้าอกตัญญู ทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว!”
จิ่นเกอเห็นดังนั้นก็รีบคุกเข่าตาม
ไท่ฮูหยินเอนตัวลงไปพยุงสวีลิ่งอี๋ แล้วบอกให้จิ่นเกอลุกขึ้นทั้งน้ำตา จากนั้นก็เดินไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่างกับสวีลิ่งอี๋ สำรวจมองสวีลิ่งอี๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วปลอบใจไท่ฮูหยิน ปล่อยให้มารดามองตัวเองอยู่แบบนั้น
“ผิวคล้ำขึ้น แล้วยังผอมลง!” พูดจบ ไท่ฮูหยินก็น้ำตาไหลอีกครั้ง
สืออีเหนียงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นาง
ไท่ฮูหยินรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง น้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง
“ท่านแม่ ข้าสบายดีขอรับ” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างสะอึกสะอื้น
ทุกคนในห้องล้วนน้ำตาคลอ มีสาวใช้สองคนปิดปากร้องไห้เบาๆ
“ท่านย่าขอรับ!” จู่ๆ จิ่นเกอก็กระโดดมาหาไท่ฮูหยิน “ข้าผอมลงหรือไม่ ดำหรือไม่” เขายืนฉีกยิ้มอยู่หน้าไท่ฮูหยิน ทำลายบรรยากาศที่โศกเศร้าทันที
ไท่ฮูหยินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหลานชายกำลังปลอบใจตัวเอง
“ไอ๊หยา!” ไท่ฮูหยินกอดจิ่นเกอทั้งน้ำตา “หลานรักของย่า มาให้ข้าดูเร็วเข้า!” ไม่ดูก็มองไม่ออก แต่เมื่อดูอย่างละเอียดแล้ว สีหน้าของไท่ฮูหยินก็เปลี่ยนไป “ทำไมถึงผ่ายผอมลงเช่นนี้ ระหว่างทางไม่มีอะไรทานเลยหรือ พวกเจ้าไปไหนมากันแน่” พูดจบก็มองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่สงสัย
“เราไปเดินเล่นที่ด่านหุบเขาจยาอวี้” สวีลิ่งอี๋รีบพูด “จะไม่มีอะไรทานได้ที่ไหนกัน จิ่นเกอมื้อหนึ่งทานซาลาเปาตั้งสามลูก ไม่อย่างนั้นเขาจะสูงขึ้นขนาดนี้หรือ”
สายตาของไท่ฮูหยินยังมีความสงสัย
“จริงขอรับ!” จิ่นเกอหัวเราะ “ชั่วยางบอกว่า ข้าคนเดียวทานอาหารของพวกเขาได้ทั้งครอบครัว”
“ชั่วยาง?” ไท่ฮูหยินมองไปที่สวีลิ่งอี๋
“เด็กกำพร้าที่จิ่นเกอเจอที่ด่านหุบเขาจยาอวี้” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “อายุพอๆ กับจิ่นเกอ เป็นเด็กฉลาด จิ่นเกอบอกว่าจะพาเขากลับมาด้วย ข้าเลยเห็นด้วย”
ในขณะที่เขากำลังพูด สวีซื่อจุนก็พาบุตรชายเข้ามา
“ท่านพ่อขอรับ” เขาคำนับสวีลิ่งอี๋ด้วยความเคารพ จากนั้นก็ยิ้มแล้วทักทายจิ่นเกอ “น้องหก”
สายตาของสวีลิ่งอี๋และจิ่นเกอมองไปยังถิงเกอที่อยู่ในอ้อมแขนของแม่นม
แม่นมรีบอุ้มถิงเกอมาหาสวีลิ่งอี๋อย่างมีไหวพริบ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วจับมือเล็กๆ ของถิงเกอ ถิงเกอจดจำคนได้แล้ว เขาเบิกตากลมโตจ้องมองสวีลิ่งอี๋ ท่าทีน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋ชอบอกชอบใจ
จิ่นเกอวิ่งเข้ามา “ให้ข้าอุ้มบ้าง!”
แม่นมไม่กล้ารอช้า แต่สายตาของนางกลับมองไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองสวีซื่อจุน
สวีซื่อจุนไม่ได้สังเกต เขายิ้มแล้วมองจิ่นเกอ มองดูจิ่นเกอที่กำลังอุ้มถิงเกอพลางพูดคุยกับเขา “ข้าคือท่านอาหกของเจ้า เรียกท่านอาหกสิ!”
ถิงเกอเอียงหัวมองจิ่นเกออย่างไม่กะพริบตา
สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปอุ้มถิงเกอ “ถิงเกอยังพูดไม่เป็น!” นางอุ้มถิงเกอส่งให้แม่นม จากนั้นก็เบียดบุตรชายตัวเองออกไป “เอาล่ะ รีบไปอาบน้ำเร็วเข้า ทั้งตัวมีแต่โคลน ประเดี๋ยวจะเปื้อนถิงเกอ”
จิ่นเกอยิ้มแล้ววิ่งไปหาไท่ฮูหยิน “ท่านย่า ข้าไปอาบน้ำประเดี๋ยวเดียว พออาบเสร็จแล้ว เราค่อยไปดูของที่ข้าซื้อมา ท่านห้ามไปไหนนะขอรับ มีของดีเยอะแยะเลย” จากนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาพูดกับทุกคนที่อยู่ในห้อง “ใครอยู่มีส่วนแบ่ง ใครออกไปแล้วไม่มี!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าซ้ำๆ “ได้ๆๆ ข้าจะไม่ไปไหน”
ทุกคนพากันหัวเราะ
บรรยากาศที่โศกเศร้ามลายหายไป
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วตบมือสวีลิ่งอี๋เบาๆ “เจ้ายังไม่ได้ล้างหน้าล้างตาใช่หรือไม่ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด” จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียง “ให้โรงครัวทำอาหารที่คุณชายสี่และจิ่นเกอชอบทาน วันนี้เราจะทานอาหารเย็นที่นี่”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ”
พอเดินออกมาก็เจอเข้ากับฮูหยินห้าที่พาลูกมาด้วย ไม่รอให้ฮูหยินห้าพูด เซินเกอรีบเข้ามาหาสืออีเหนียง “ท่านป้าสี่ขอรับ พี่หกกลับมาแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว!” จิ่นเกอไม่อยู่ เซินเกอก็รู้สึกเบื่อหน่าย เขามักจะวิ่งมาถามว่าเมื่อไรจิ่นเกอจะกลับมาอยู่บ่อยๆ สืออีเหนียงลูบหัวเขา “เขากำลังอาบน้ำ ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
เซินเกอขานรับ “ขอรับ” อย่างรู้ความ เดินเข้ามาข้างในก็มองไปรอบๆ แล้วพูดกับไท่ฮูหยิน “ข้าไปดูว่าทำไมพี่หกยังอาบน้ำไม่เสร็จก่อน ประเดี๋ยวเขาจะตกลงไปในโถส้วม!” จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในห้องน้ำทันที
มีเสียงเอะอะดังขึ้นจากในห้องน้ำ
ทุกคนพากันหัวเราะอย่างครื้นเครง
*****
แจกจ่ายสิ่งของ เล่าเรื่องราวที่พบเห็นระหว่างทาง…จนกระทั่งสวีลิ่งควนกลับมา บรรยากาศก็คึกคักอีกครั้ง จากนั้นก็ไปทานอาหารเย็นที่ห้องโถง อิ๋งอิ๋งและถิงเกอนอนหลับไปตั้งนานแล้ว เซี่ยงซื่อและเจียงซื่อพาลูกๆ กลับไปก่อน สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งควน สืออีเหนียงและฮูหยินห้านั่งล้อมรอบไท่ฮูหยิน ฟังสวีลิ่งอี๋เล่าเหตุการณ์ที่เจอหลังออกเดินทาง ซินเจี่ยเอ๋อร์ สวีซื่อเจี้ย อิงเหนียง เซินเกอและเฉิงเกออยู่ในห้องโถง ประเดี๋ยวก็กระซิบกระซาบกันเสียงเบา ประเดี๋ยวก็หัวเราะเสียงดัง คึกคักเป็นอย่างมาก จนกระทั่งไท่ฮูหยินหาวสองสามครั้ง ทุกคนถึงได้แยกย้ายกันไป
สวีลิ่งอี๋ส่งไท่ฮูหยินกลับไปที่ห้อง
เซินเกออยากนอนกับจิ่นเกอ
“ได้สิ!” สวีลิ่งควนไม่ว่าอะไร “พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันก็พอ!”
พวกเขาสองคนพูดขอบคุณสวีลิ่งควนด้วยความดีใจ ฮูหยินห้าเห็นแล้วก็หัวเราะ
สืออีเหนียงส่งพวกเขาออกไป ไปปูเตียงให้จิ่นเกอ อิงเหนียงคอยยื่นของให้สืออีเหนียงอยู่ข้างหลัง
จิ่นเกอเดินเข้ามาถามสืออีเหนียง “ท่านแม่ เมื่อไรข้าจะได้ย้ายออกไปอยู่ลานนอกหรือ” พูดด้วยท่าทีรอคอย
“เจ้าอยากย้ายออกไปอย่างนั้นหรือ” สืออีเหนียงแสร้งทำสีหน้าเคร่งขรึม
“ไอ๊หยา ไม่ใช่ขอรับ!” จิ่นเกอพูด “ข้าก็แค่ถามเท่านั้น ท่านแม่มักจะบอกข้าว่า ทำอะไรต้องเตรียมตัวก่อนล่วงหน้า ข้าจึงอยากเตรียมตัวล่วงหน้า”
สืออีเหนียงมองดูใบหน้าที่ตื่นเต้นของเขา นางทอดถอนใจ
บุตรชายโตแล้ว…แต่ปีนี้เขาอายุแค่สิบขวบ ให้เขาออกไปจากตัวเองเร็วเช่นนี้…มันเร็วเกินไป!
นางพึมพำในใจ กอดจิ่นเกอแน่นแต่ไม่พูดอะไรอยู่นาน
*****
สวีลิ่งอี๋กลับมายามเที่ยงคืน สืออีเหนียงนั่งกอดผ้าห่มอยู่บนเตียง รอเขากลับมา
แสงไฟสลัวสาดส่องลงมาบนตัวของนาง ทำให้นางดูสุขุมและอ่อนโยน
“บอกให้เจ้ารีบนอนไม่ใช่หรือ” หลังจากเดินทางข้ามทะเลทรายกลับมาหาสืออีเหนียง สืออีเหนียงก็ดูอ่อนโยนมากกว่าเดิม เขาลูบหน้านางอย่างเบามือ น้ำเสียงยิ่งอ่อนโยนกว่าเดิม “กลัวข้าไม่กลับมาเช่นนั้นหรือ” เขายิ้มอย่างแผ่วเบา พูดหยอกล้ออย่างคลุมเครือ จากนั้นก็หอมแก้มนาง
สืออีเหนียงไม่ขยับไปไหน
นางมองสวีลิ่งอี๋ด้วยดวงตาสุกใส “ท่านโหวเจ้าคะ ท่านจะทำอะไรกันแน่” พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
สวีลิ่งอี๋แปลกใจ
“พาจิ่นเกอไปจี้โจว ไปต้าถง ไปเซวียนถง ไปด่านหุบเขาจยาอวี้ แล้วเขายังนำเครื่องประดับของชาวเหมียวกลับมาด้วย” นางจับแขนเสื้อสวีลิ่งอี๋แน่น “ท่านอย่าบอกข้านะว่าท่านอยากให้เขาออกไปดูโลกภายนอก” นิ้วของนางกลายเป็นสีขาว “ข้าให้เขารู้จักแผนที่เพราะอยากให้เขาได้ออกไปเที่ยว ไม่ได้อยากให้เขาออกไปทำสงคราม ข้าให้เขาเรียนศิลปะการต่อสู้ เพราะอยากให้เขามีร่างกายที่แข็งแรง ไม่ถูกคนอื่นรังแก ไม่ได้อยากให้เขานำทัพออกไปรบบนสนามรบที่นองเลือด” พูดจบ นางก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าไม่ชัดเจน จากนั้นก็หันหน้าหนีสวีลิ่งอี๋