GGS:บทที่ 943 ตกใจ
หลังจากวางแนวทางเส้นทางการเป็นดาราให้กับจูซิวหนี่ หยินหนิงหนิง และหลูจิงยี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งก็ได้เตรียมตัวที่จะกลับเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาต่อ
ในตอนนั้นเอง เฉิงหนานก็ได้ก็ได้โทรเขามาหาซูจิ้ง เห็นดังนั้นเขาเลยรีบรับในทันที
“หัวหน้าคะ พิพิธภัณฑ์ของเรานั้นเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดได้ทุกเมื่อเลยค่ะ” เฉิงหนานพูดออกมา
“ดีมาก เริ่มประชาสัมพันธ์เรื่องพิพิธภัณฑ์ของเราได้เลยนะ วันเปิดก็เอาเป็นวันอาทิตย์นี้ก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
เขาได้มีแนวคิดที่จะเปิดพิพิธภัณฑ์ของตัวเองนี้ก็ตอนที่เขาได้นำรูปปั้นเทพธิดาไปตั้งไว้ตรงลานกิจกรรมของเมืองแล้วกลายเป็นรูปปั้นแห่งเมืองแอตแลนติสไปในตอนนั้น
ความคิดนี้ก็ได้แล่นเข้ามาในหัวทันที เขาเองก็ลองแค่ถามเฉิงหนานดูเฉยๆ แต่ด้วยการที่เธอนั้นเป็นสุดยอดเลขาฯทำให้คำพูดของเขาเป็นจริงได้ด้วยระยะเวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆเท่านั้น
“แต่ว่าพวกสมบัติอย่างพวกวัตถุโบราณและของแปลกอย่างอื่นเองตอนนี้เรายังไม่ได้นำเข้าไปเลยนะคะ ถ้าจะมีที่พร้อมก็แค่เพียงรูปปั้นจากแอตแลนติสเท่านั้น หากมีแค่นั้นฉันเกรงว่ามันจะไม่เพียงพอ ถ้ายังไงเราไม่รออีกสักพักจนกว่าจะมีของเยอะกว่านี้ค่อยเปิดจะไม่ดีกว่าหรือคะ” เฉิงหนานถามออกมา
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกน่า ฉันพร้อมจะยัดเด็กๆของฉันไว้ในพิพิธภัณฑ์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา นี่ทำให้เฉิงหนานนั้นหัวใจเต้นจนแทบจะกระโดดออกมาเลยทีเดียว
ทุกครั้งที่มีการจัดประมูลที่โรงประมูลห้วงเวลาฯนั้น ของส่วนใหญ่ที่ประมูลเองนั้นเกินครึ่งเป็นของซูจิ้งเอง ขนาดประมูลออกไปขนาดนั้นแล้วเด็กๆของเขายังไม่หมดอีกหรอ
นี่เขายังแบ่งเอาไว้สำหรับจัดแสดงพิพิธภัณฑ์นี่จะมากมายขนาดไหนกันนะ เพียงฟังคำพูดนี้ของซูจิ้งเฉิงหนานเองก็รู้สึกขัดใจขึ้นมาเหมือนกัน แต่ในเหมือนซูจิ้งที่เป็นหัวหน้าของเธอพูดออกมาแบบนั้นก็ต้องว่าไปตามนั้น
“ว่าไปแล้วเดี๋ยวฉันจะส่งรายชื่อคนที่เราจะส่งเทียบเชิญไปให้นะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ค่ะ” เฉิงหนานรับคำ
หลังจากวางสายไปแล้ว ซูจิ้งได้ทำการเปิดมิติเก็บของของสถานีฯเพื่อดูว่ามีอะไรเหลืออยู่บ้าง หลังจากคัดเลือกแล้วเขาก็ได้เตรียมแพ็คเพื่อจะรอส่งไปยังพิพิธภัณฑ์อีกทีหนึ่ง
หลังจากจัดการเสร็จแล้ว ซูจิ้งก็ได้ถามฉิงหยุนเกี่ยวกับค่าการใช้ประโยชน์ในปัจจุบันว่าได้เท่าไหร่แล้วก็พบว่าค่าการใช้ประโชยน์ในตอนนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 32,000 หน่วย มากกว่าเดิม 15,000 หน่วย ซึ่งเพิ่งจะผ่านมาจากค่าสุดท้ายที่เขารู้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น และดูเหมือนว่านับวันค่าการใช้ประโยชน์เองก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นระดับ ราวกับบอลน้ำแข็งเลยทีเดียว
สิ่งที่มีผลต่อค่าการใช้ประโยชน์ในตอนนี้นั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของที่เขาเพิ่งจะได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้า
ของที่ว่านั้นประกอบด้วยความประทับใจที่คนมีต่อเขาตอนที่มีการจัดการสัมนาทางพุทธศาสนาและตอนที่เขาไปจัดการธุรกิจเครือข่าย MLM
นอกจากนั้นยังมีการให้คนสวมหนังแปลงโฉมไปสตรีม การสตรีมกินจุที่ใช้แมลงพุงโต และการเผยแพร่เสียงที่เกิดจากเม็ดเสียงของปีศาจไซเรน และของอย่างอื่นอีก
สมบัติเหล่านี้ได้ให้ค่าการใช้ประโยชน์ที่มากที่สุดแล้วในตอนนี้ และหลังจากที่ทั้งจูซิวหนี่ หยินหนิงหนิง และหลูจิงยี่ ได้เดินทางไปบนเส้นทางดาราจนมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วล่ะก็ แน่นอนค่าการใช้ประโยชน์ที่เขาจะได้รับนั้นย่อมมากกว่านี้ยิ่งๆขึ้นไปอย่างแน่นอน
ในส่วน่าพลังงานในตอนนี้นั้นอยู่ที่ 15,600 หน่วย หรือก็คือตอนนี้เขานั้นมีปฏิสสารสำลองไว้อยู่ที่ 1.56 กรัม ตอนนี้สถาบบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขา สามารถผลิตปฏิสสารได้อยู่ที่ 0.6 กรัมต่อเดือน และนั่นสูบเงินของเขาไปถึงเดือนละ หนึ่งหมื่นพันล้านหยวนเลยทีเดียว
พอนึกว่าเขานั้นยังต้องพัฒนาธุรกิจอีกหลายๆอย่างนี่ ให้เขารู้สึกเซ็งๆไปเล็กน้อย เพราะต่อให้เขานั้นมีเงินที่ได้รับจากการซื้อสายพันธุ์ใบยาสูบแห่งไชร์อยู่ 5 หมี่นล้านหยวนแล้วแต่ก็ไม่สามารถนำมันมาใช้ในการขยายกำลังการผลิตปฏิสสารได้
“ไม่ว่าจะเป็นค่าการใช้ประโยชน์หรือพลังงานสำรองขอสถานีก็ตาม ตอนนี้ทั้งสองค่ามีอัตราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆและจะเร็วกว่านี้ในอนาคตอย่างแน่นอน ค่าการใช้ประโยชน์ทีต้องใช้กว่าอย่างละล้านหน่วยคงอีกไม่นานนัก” ซูจิ้งยิ้มออกมาพร้อมกับภูมิใจที่เขานั้นคิดถูกแล้วที่เลือกพัฒนาสิ่งต่างๆมาถึงตอนนี้
ซูจิ้งกลับไปจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อ เขายังคงต้องจัดการขยะกองหินที่เขายังทำค้างไว้ หลังจากจัดการไปสักพักเขาก็ได้พบกับหยกก้อนหนึ่งที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ
ดูเหมือนเจ้าหยกนี้เองก็น่าจะเป็นหยกที่มีคุณภาพสูงเหมือนกัน และราคาของมันบนโลกนี้ก็ไม่น่าจะใช่น้อยๆเลย แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เขานั้นแปลกใจแต่อย่างใด เพราะยังไงแล้วขยะห้วงเวลาฯกองนี้ก็มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบเทพธิดา
และก่อนหน้านี้เองตัวเขาก็ยังได้พบหยกอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงเสาร์ฝังเพชร และก้อนอิฐสีทองด้วย ด้วยการที่ห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบเทพธิดานั้นเป็นโลกที่อุดมไปด้วยเซียน
แน่นอนว่าเมื่อขึ้นชื่อว่าเซียนนั้นย่อมมีชีวิตที่ยืนยาวจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอมตะ หากมีชีวิตแบบนั้นแล้วไม่จำเป็นเลยที่จะต้องรีบหาเงินแม้แต่น้อย แถมเซียนบางองค์เองก็ยังเปลี่ยนหินให้เป็นทองได้ด้วยซ้ำ ทองแบบนี้จึงไม่ได้มีค่ามากกว่าของประดับบ้านสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามเมื่อซูจิ้งสังเกตหยกนี้ใกล้ๆก็พบว่าหยกนี้ชิ้นเป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น แถมพอดูดีๆรอบก็เหมือนจะมีเศษหยกกระจายอยู่อีก
เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งจึงให้เสี่ยวไป๋ใช้สแตนด์ซ่อมแซมหยกนี้ในทันที เสี่ยวไป๋เองที่กำลังซ่อมแซมขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษอยู่แต่มันก็ไม่ได้มีท่าทีกระด้างกระเดื่องอะไรแม้แต่น้อย
หลังจากที่มันใช้ความสามารถของสแตนด์แล้ว เศษหยกทั้งหลายก็ได้ลอยเข้ามาประกอบกับหยกที่ขนาดเท่าฝ่ามือในมือซูจิ้งก่อนหน้านี้ หยกก้อนนี้มีทั้งขาวบ้าง เขียวบ้าง ปนๆคละๆกันไป
จนในที่สุดแล้วหยกทั้งหมดก็ได้หลอมรวมกันจนกลายเป็นหยกก้อนใหญ่ ใหญ่ชนิดที่ว่าทำให้ซูจิ้งนั้นอึ้งได้เลยทีเดียว
เขาเองก็ว่าเห็นสมบัติมานักต่อนัก แต่เขาเองยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับสมบัติชิ้นนี้ ถึงแม้เขานั้นจะลองดูแล้วและไม่พบว่ามันมีความวิเศษ หรือเวทย์มนต์อะไรก็ตาม แต่ยังไงซะมันก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติที่เกิดจากธรรมชาติอยู่ดี
“เอาเจ้านี่ไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ดีกว่าแหะ” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นจึงได้นำหยกใส่กระเป๋ามิติของตนก่อนที่จะจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อไป หลังจากที่เขากำลังจะจัดการขยะกองหินเสร็จหมดแล้ว ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากขยะกองไม้ที่อยู่ข้างหลังเขา
แถมขยะทั้งกองก็เหมือนจะสั่นจนสังเกตเห็นได้ชัด ฉิงหยุนจึงได้รีบเปิดสนามพลังเพื่อทำการตรวจสอบในทันที ขยะกองไม้ทั้งหมดได้ลอยอยู่ในอากาศ และค่อยล่วงลงมายังพื้นที่ละชิ้นทีละชิ้นแบบนี่มนวล
“มันก็แค่ไม้ทั้งหมดเลยนี่นา แล้วทำไมเมื่อกี้มันถึงขยับได้กัน” ซูจิ้งบ่นพึมพำออกมา
หลังจากที่ขยะกองไม้ทั้งหมดได้ลอยลงมากองกับพื้น ซูจิ้งเองก็ได้รอสักพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจึงได้จัดการขยะกองหินต่อ
แต่ไม่นานนัก ในขยะกองไม้เองก็ได้มีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ถึงขนาดทำให้ไม้กระเพิ่มจนกระเด็นออกจากกองของพวกมันเลยทีเดียว
“อะไรฟะเนี่ย” ซูจิ้งเผลออุทานออกมาก่อนจะอยู่ในโหมดพร้อมสู้ในทันทีพร้อมกับปล่อยกระแสจิตออกไปเพื่อตรวจสอบกองไม้ทั้งกองในทันที
เขาในตอนนี้ตกใจจนถึงกับใจเต้นตุ้มๆต่อมๆขึ้นมาเลยทีเดียว ตอนนี้เขากำลังนึกถึงกระบวนการแยกแยะอัตโนมัติของฉิงหยิงดูอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ก็เห็นคัดแยกได้เป็นอย่างดีนี่นา สิ่งมีชีวิตก็ส่วนสิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิตก็ส่วนสิ่งไม่มีชีวิต แถมเขาเองก็เป็นคนกำกับเองด้วยซ้ำทำไมมันถึงจะผิดพลาดได้กัน
หลังจากที่ปล่อยกระแสจิตของตัวเองสำรวจอย่างหนักหน่วงแล้ว แต่เขาเองก็ไม่ได้พบอะไรเลยจริงๆจากขยะกองนี้ ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตหรือแม้แระทั่งร่องรอยพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย
ถึงจะอย่างนั้นแต่ขยะกองนี้กับเคลื่อนไหวได้เองราวกับว่ามีอะไรอยู่ใต้มัน นี่หมายความว่ายังไงกันแน่
“ในเมื่อขยะกองนี้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าก็สมควรจะต้องระวังเป็นพิเศษสินะ
ฉิงหยุน ตรวจสอบหาที่มาของแรงสั่นสะเทือน” ซูจิ้งเริ่มใส่ใจกับเหตุการณ์นี้ในทันทีก่อนที่จะบอกให้ฉิงหยุนรีบดำเนินการตรวจสอบ
ฉิงหยุนเองได้ยินดังนั้นก็ได้รีบจัดการตามคำสั่งของซูจิ้งอีกครั้งในทันที เธอได้ปล่อยสนามพลังให้ขยะกองไม้รอยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะทำการตรวจสอบแบบระเอียดยิบ
จนในที่สุดเธอก็พบต้นตอของแรงสั่นสะเทือนนี้ เธอบังคับให้มันมาลอยอยู่ตรงหน้าซูจิ้งห่างออกไปประมาณห้าเมตร วัตถุต้นเหตุนี้มันคือโลงศพสีดำขนาดใหญ่โลงหนึ่ง
“ต้นเหตุของการสั่นสะเทือนคือเจ้าโลงนี่อย่างนั้นรึ” ซูจิ้งจ้องมองโลงสีดำที่ลอยอยู่ตรงหน้าอย่างตาไม่กะพริบ
“สมควรเป็นเช่นนั้นค่ะ” ฉิงหยุนตอบกลับมา และในขณะที่ยังไม่ทันสิ้นคำพูดของฉิงหยุนดี โลงศพก็เกิดเสียงดังโครมขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับที่ตัวโลงสั่นชนิดที่ว่าเป็นเจ้าเข้าเลยก็ว่าได้
เพียงเท่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกต่อไป เป็นเจ้าโลงนี้จริงๆอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูจิ้งไม่รอช้ารีบทำการส่งกระแสจิตเข้าไปในโลงนี้ทันที เขาพบว่าข้างในนั้นเป็นร่างกายของมนุษย์อย่างแน่นอน และเท่าๆที่ดูแล้วเขาก็ว่านี่น่าจะเป็นร่างของคนตายอย่างแน่นอนเพราะว่าไม่มีคลื่นพลังชีวิตเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าเจ้าร่างนี้ตายแล้วจริงๆมีแต่เพียงร่างอย่างเดียวเท่านั้น
“ปังงงงง” โลงศพได้เกิดเสียงดังและสั่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ซูจิ้งนับสัมผัสได้ว่ามีพลังบางอย่างที่น่าจะเป็นจิตวิญญาณอยู่ในร่างนี้คอยบังคับให้ร่างนี้เคลื่อนไหวอยู่ และในตอนนี้มันก็พยายามจะพังฝาโลงโดยการสั่งให้เจ้าร่างนี้ถีบฝาโลงออกมา
“นี่มันผีดิบ(ซอมบี้)งั้นเหรอ” ซึ้งถึงกับขนลุกในทันที เจ้านี่คือผีดิบในเรื่องเล่าเหล่านั้นจริงๆอย่างนั้นเหรอเนี่ย
“ปัง ปัง ปัง” ผีดิบที่อยู่ข้างในยังคงถีบฝาโลงอย่างต่อเนื่อง และโลงก็ยังคงสั่นอยู่อย่างนั้นจนเกิดเสียงดังลั่นและสะเทือนจนทำให้โลงนั้นตั้งขึ้นมาได้เลยทีเดียว ซูจิ้งจึงรีบตะโกนบอกฉิงหยยุนว่า “รีบเอาไปไว้ตรงที่โล่งๆเร็วๆเข้า”