อะไรนะ
ทุกคนตกตะลึง พวกเขาลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้
“ทำอย่างไรดี” ผู้อาวุโสซวีอู๋ไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
แต่ซงเจิ้งเหวินเหรินไร้ซึ่งความปรานี ดวงตาของเขายิ่งดูลึกล้ำ จากนั้นเขาจึงเอ่ยว่า ”กำจัดวิญญาณของเขาโดยตรงได้เลย”
“หากพวกเราทำเช่นนั้น คนที่ถูกมันสิงอาจจะไม่สามารถฟื้นคืนสติปัญญาในฐานะมนุษย์กลับมาได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสซวีอู๋ครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองตัวแทนที่ยืนอยู่ห่างออกไป ”พวกข้าเจอปัญหาเข้า วิญญาณร้ายไม่สามารถไปนรกได้ หลังจากที่ผู้พิพากษาวิญญาณกลับไป ความน่าสะพรึงกลัวของวิญญาณร้ายตนนี้ก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้น พวกเราย่อมไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเราต้องทำลายดวงวิญญาณของวิญญาณร้ายตนนี้โดยตรง ใต้เท้าหวัง ได้โปรดเตรียมใจเอาไว้ด้วย อย่างดีที่สุดสหายผู้นี้ของเราก็อาจจะยังรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ แต่อย่าหวังอะไรไปมากกว่านี้เลย”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนต่างตระหนักได้ว่าสถานการณ์ในเวลานี้เลวร้ายเพียงใดเมื่อได้ยินว่าวิญญาณร้ายไม่สามารถไปนรกได้
หากว่ากันตามทฤษฎีแล้ว ตราบใดที่เขาอยู่ที่นี่ ผู้พิพากษาวิญญาณย่อมสามารถพาดวงวิญญาณทุกดวงลงนรกได้ ไม่ว่าวิญญาณดวงนั้นจะเป็นวิญญาณประเภทใดก็ตาม
แต่ครั้งนี้ผู้พิพากษาวิญญาณกลับปฏิเสธคำขอของพวกเขา
พวกเขาอยากรู้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังมันเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ปัจจุบัน
น่าเสียดายที่ซงเจิ้งเหวินเหรินเป็นคนเดียวที่สามารถสื่อสารกับผู้พิพากษาวิญญาณได้
แต่ความน่าสะพรึงกลัวของวิญญาณร้ายตัวนี้กลับไม่ปล่อยให้พวกเขามีเวลาหยุดและขบคิดถึงคำถามนั้น
พลังวิญญาณที่เรืองแสงอยู่รอบยันต์ผ้าเหลืองของซงเจิ้งเหวินเหรินเริ่มจางลง
วิญญาณร้ายกำลังจะเป็นอิสระจากสิ่งที่พันธนาการมันเอาไว้
ซงเจิ้งเหวินเหรินดีดนิ้ว ยันต์ผ้าเหลืองทั้งหมดที่เคยลอยอยู่กลางอากาศพลันพุ่งตรงเข้าใส่วิญญาณร้ายตนนั้น การโจมตีนั้นตามมาด้วยการใช้กระบี่ไม้ท้อแทงทะลุศีรษะของวิญญาณร้ายตนนั้น!
ดวงตากลวงโบ๋ของวิญญาณร้ายกลอกไปมา ก่อนมันจะล้มลงไปด้านข้าง หมอกสีดำเริ่มไหลทะลักออกมาจากร่างของมันราวกับน้ำ
ซงเจิ้งเหวินเหรินนึกไม่ถึงว่าวิญญาณร้ายตนนี้จะรับมือได้ยากถึงเพียงนี้ เพราะเขาทำได้เพียงแค่ใช้ยันต์ผ้าเหลืองห้าแผ่นกำราบมันเท่านั้น มันนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นก่อนที่ร่างของมันจะค่อยๆ แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ดวงตาน่าขนลุกนั้นกลับยังดูน่าอึดอัด เมื่อสายลมพัดเข้ามาในท้องพระโรง สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็คือร่างของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนที่เคยถูกมันสิงนั่นเอง
เล็บสีดำคมกริบของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นกลับคืนสู่สภาพเดิมในชั่วพริบตา แต่สีหน้าของเขากลับดูเหม่อลอยแตกต่างไปจากตัวเขาในยามปกติ
คนที่คุ้นเคยกับศาสตร์แห่งหยินหยางย่อมเข้าใจสถานการณ์นี้ดี วิญญาณร้ายที่ไม่สามารถก้าวเข้าสู่นรกภูมิได้ตนนั้นถูกทำลายจนสิ้นซาก และการกระทำนั้นได้ส่งผลกระทบต่อคนที่ถูกสิงอย่างรุนแรง
แต่มันก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
อย่างเช่นในสถานการณ์อันตรายนี้ นับว่าโชคดีที่ซงเจิ้งเหวินเหรินเป็นผู้รับมือกับมันด้วยตัวเอง ถ้าคนที่ลงประลองไม่ใช่เขา แต่เป็นคนอื่น พิธีกรรมนี้คงจะกลายเป็นหายนะไปเสียแล้ว ไม่ใช่แค่พวกเขาจะกำจัดวิญญาณร้ายไปไม่ได้เท่านั้น แต่ยังจะกลายเป็นเป้าหมายรายต่อไปให้มันสิงอีกด้วย
ผลลัพธ์เช่นนี้จึงนับว่าค่อนข้างน่าพอใจทีเดียว
สมกับเป็นซงเจิ้งเหวินเหริน เขาช่างทรงพลังจริงๆ!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหันหน้าไปมองเขา ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายด้วยความเคารพ
ซงเจิ้งเหวินเหรินสะบัดมือที่ปวดร้าวของตัวเองพร้อมกับเผยรอยยิ้มอันสมบูรณ์แบบออกมา เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าสถานการณ์เมื่อครู่นี้อันตรายขนาดไหน แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นให้คนอื่นรู้แต่อย่างใด
“ผู้อาวุโส พวกเราใช้เวลาไปเท่าไรหรือ ข้าหวังว่ามันคงไม่ได้นานเกินไปนัก”
ผู้อาวุโสซวีอู๋ยิ้มกว้างพลางตอบว่า ”ประมาณหนึ่งก้านธูปพ่ะย่ะค่ะ แต่ถึงจะใช้เวลานานเกินไปก็คงไม่เป็นไรกระมัง เพราะอย่างไรพวกเราก็ต้องหลีกทางให้องค์ชายสามอยู่ดี”
“ผู้อาวุโสช่างรอบคอบยิ่งนัก ข้าเกือบลืมไปเลยว่าพี่ไป๋หลี่ไม่เคยเรียนศาสตร์การขับไล่วิญญาณร้ายมาก่อน ข้าว่าเขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอันตรายเพียงใด” ซงเจิ้งเหวินเหรินยิ้มกริ่มพร้อมกับหันไปมองทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”พี่ไป๋หลี่ ถึงตาท่านแล้ว ท่านอยากให้ข้าช่วยแนะนำอะไรให้สักเล็กน้อยหรือไม่ขอรับ”
คนที่ฉลาดทุกคนย่อมสามารถบอกได้ว่าซงเจิ้งเหวินเหรินกำลังพยายามเรียกความมั่นใจของตัวเองกลับมาหลังจากถูกอีกฝ่ายทำให้อับอายไปเมื่อครู่
แต่อย่างไรนี่ก็เป็นการประลองระหว่างสองเมือง การที่องค์รัชทายาทจากเมืองหนึ่งเสนอตัวเป็นผู้สอนให้กับองค์ชายอีกคนนั้นจึงเหมือนการเยาะเย้ยว่าองค์ชายคนนั้นไร้ความสามารถอย่างเห็นได้ชัด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลอกตาทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มองไปที่ซงเจิ้งเหวินเหริน เขายืนตรงอยู่กลางวงประลอง เสื้อคลุมสีดำพาดอยู่บนไหล่ ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงและขายาวอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อสวมชุดดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้รูปร่างของเขาดูโดดเด่นและสง่างามยิ่งกว่าที่เคย สถานที่แห่งนี้มีพื้นที่จำกัด แต่ตัวตนของเขากลับทำให้ท้องพระโรงแห่งนี้ดูงดงามอลังการและแฝงไปด้วยความน่ากลัว องค์ชายรัชทายาทอย่างซงเจิ้งเหวินเหรินดูตัวเล็กลงไปถนัดตาเมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
น้ำเสียงยั่วยุนั้นเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า ”ข้าได้เห็นแล้วว่าเจ้าใช้เวลามากเพียงใดไปกับการกำจัดวิญญาณตนนั้น ทั้งยังเกือบกำจัดตัวเองไปพร้อมกันเสียด้วย ดังนั้นข้าไม่ขอรับฟังคำแนะนำใดๆ จากเจ้าคงจะดีกว่า”
ใบหน้าของซงเจิ้งเหวินเหรินบึ้งตึง มือที่อยู่รอบกระบี่ไม่ท้อนั้นกำเข้าหากันแน่น
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองหวงจื่อไม่สามารถทนต่อคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ พวกเขาจึงแสร้งยิ้มออกมาและกล่าวปกป้องซงเจิ้งเหวินเหรินว่า ”องค์ชายสาม หากคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เมื่อครู่นี้เป็นคนอื่น ก็ใช่ว่าเขาหรือนางจะสามารถเอาตัวรอดได้โดยไร้บาดแผลเช่นนี้ นับว่าองค์ชายเหวินเหรินทำผลงานออกมาได้ดีทีเดียว หากท่านต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านก็อาจจะทำผลงานได้ไม่ดีเท่าองค์รัชทายาทเลยด้วยซ้ำ การขับไล่วิญญาณร้ายต่างจากการทำสงครามพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหวังว่าองค์ชายจะไม่สับสนจนเอาสองสิ่งนี้มารวมกัน”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ การต่อสู้ในสงครามเป็นเรื่องง่าย เพราะทั้งหมดที่ท่านต้องทำก็คือการทำให้ดาบอาบไปด้วยเลือด แต่การขับไล่วิญญาณร้ายนั้น ใช่ว่าท่านจะต้องระวังตัวจากวิญญาณร้ายที่มากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องมีจิตใจเข้มแข็งหนักแน่นเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความน่าสะพรึงกลัวของพวกมันอีกด้วย ท่านไม่อาจเอาชนะวิญญาณร้ายได้ด้วยการใช้กำลังหรือวรยุทธ์พ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นองค์ชายสามจึงไม่ควรประมาทเกินไปนัก” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นให้คำแนะนำกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พวกเขาทำราวกับว่าจักรวรรดิจ้านหลงจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจคนเหล่านั้น เขายังคงยืนนิ่งพร้อมกับมองความว่างเปล่าตรงหน้าขณะรอให้การประลองเริ่มต้นขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ น้ำเสียงของนางราบเรียบแต่ก็ดังพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยินโดยทั่วกัน ”องค์ชาย สงสัยวันนี้พวกเราคงต้องขับไล่วิญญาณร้ายตนนี้ด้วยการใช้กำลังแล้วกระมัง ท่านถอยไปยืนอยู่ข้างหลังดีหรือไม่”
“ข้ายังยืนอยู่ห่างไม่พออีกหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปฏิบัติต่อเฮ่อเหลียนเวยเวยต่างจากทุกคนเสมอ ดวงตาราวกับอัญมณีสีดำสนิทของเขาจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความรักใคร่
เฮ่อเหลียนเวยเวยลดเสียงลงจนมั่นใจว่ามีแค่เพียงนางกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเท่านั้นที่จะได้ยินคำพูดนี้ ก่อนเอ่ยว่า ”ท่านต้องถอยไปให้ห่างกว่านี้สิ ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเมื่อครู่นี้ทำไมวิญญาณร้ายตัวนั้นถึงได้หนีไป คนที่มันกลัวก็คือท่าน ตอนนี้ท่านอยู่ให้ห่างเข้าไว้จะดีกว่า ถ้าวิญญาณร้ายไม่กล้าเข้ามาหาเรา แล้วเราจะสู้กับพวกมันได้อย่างไรล่ะ”
“พวกมันจะมองไม่เห็นข้า ถ้าเจ้ายืนอยู่ข้างหน้าและบังข้าไว้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างชั่วร้าย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจคำพูดของเขาได้อย่างรวดเร็ว องค์ชายหมายความว่านอกจากยมทูตแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดตนใดที่จะสามารถแยกแยะกลิ่นอายอันแข็งแกร่งของเขาออกได้เพราะมีนางอยู่ที่นี่ด้วย
“ปีศาจทำสัญญากับมนุษย์เพื่อให้มนุษย์เป็นเกราะกำบังให้หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธทฤษฎีนั้น นางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดจริงๆ แม้แต่ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
“ท่านนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ” เฮ่อเหลียนเวยเวยก้าวออกมายืนอยู่หน้าเขา ในเมื่อสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดสัมผัสถึงกลิ่นอายขององค์ชายไม่ได้ ดังนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องกังวล!
จัดมาเลย!
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะวาดฝ่ามือออก พลังวิญญาณที่มองไม่เห็นลอยขึ้นจากพื้นดิน ก่อนจะรวมตัวเข้าหากันอยู่ในมือของนาง ”ปล่อยวิญญาณร้ายออกมาได้!”