บทเพลงจบลงผู้คนก็จากลา
สวีลิ่งอี๋ถามสืออีเหนียงที่นั่งอยู่หน้ากระจก “ยังโกรธข้าอยู่อีกหรือ”
สืออีเหนียงไม่พูดไม่จา
นางม้วนผมด้วยท่วงท่างดงาม “ท่านโหวนอนก่อนเถิด ข้าจะออกไปดูจิ่นเกอ” พูดจบก็เดินออกไป
สวีลิ่งอี๋มองดูแผ่นหลังภรรยาตัวเองแล้วยกมือขึ้นเกาหัว
จิ่นเกอยังไม่นอน ในห้องยังจุดโคมไฟ เขาสวมเสื้อสีขาวกำลังเก็บข้าวของกับสาวใช้ของตัวเอง
“…ก็มีแค่พวกเงินๆ ทองๆ พวกหยกเขียว” เขาพูดกับหงเหวิน “พวกเจ้าเก็บตามสมุดบัญชีแล้วประทับตราก็พอแล้ว ของพวกนี้คือของที่ข้าซื้อกลับมา ถึงตอนนั้นจะนำไปวางไว้บนชั้นวาง”
“แต่ว่านี่คือรองเท้านะเจ้าคะ!” อาจินพูดด้วยความลำบากใจ ไม่มีใครนำรองเท้าไปวางไว้บนชั้นวางกันหรอกเจ้าค่ะ” นางมองไปที่รองเท้าหนังสีดำที่ยาวถึงเข่าแล้วพูดเบาๆ “ฝีมือใช้ไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการตกแต่ง แม้แต่ลายดอกไม้ก็ไม่ปัก…รองเท้าของบ่าวรับใช้ลานนอกยังสวยกว่ารองเท้าคู่นี้อีก!”
“เจ้าจะรู้อะไร!” จิ่นเกอเดินไปแย่งรองเท้ามากอดไว้ในอ้อมแขน “นี้คือรองเท้าของชาวหูที่อยู่นอกด่าน เยี่ยนจิงไม่มีรองเท้าแบบนี้อยู่แล้ว” เขาชี้ไปยังรองเท้าหนังสีดำ “เจ้าดูนี่ มันไม่ใช่หนังแกะหรือหนังสุนัข แต่คือหนังจามรี เจ้าดูขน มันคือขนแกะ ทั้งหนาและดก”
อาจินรับใช้จิ่นเกอมาตั้งแต่เด็ก แล้วจิ่นเกอก็ไม่ใช่เด็กเย่อหยิ่ง เมื่อไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย พวกเขาก็พูดคุยอย่างเป็นกันเอง
“มันดีกว่าขนเพียงพอนอีกหรือเจ้าคะ” นางถามด้วยความไม่ยอมแพ้
หู่พั่วที่ยืนดูเหตุการณ์ด้านในอยู่หน้าประตูกับสืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็จะเดินเข้าไปตำหนิอาจิน แต่สืออีเหนียงกลับทำท่าทางบอกว่าห้ามส่งเสียง
หู่พั่วมองไปยังสืออีเหนียง
แสงไฟสลัวในห้องโถงสาดส่องกระทบลงบนกระโปรงสีเขียวลายดอก ใบหน้าของนางพร่ามัวท่ามกลางแสงสลัว ดวงตาของนางเป็นประกาย
หู่พั่วตะลึงงัน พูดอะไรไม่ออก ไม่กล้าเดินเข้าไป
จิ่นเกอหยิบเสื้อกั๊กขนเพียงพอนสีดำออกมาจากตู้
“เจ้าวางมือลงบนขน รองเท้าของข้าอุ่นหรือว่าขนเพียงพอนนี้อุ่น”
อาจินยื่นมือออกไปสัมผัส
จิ่นเกอมองนางด้วยท่าทีภาคภูมิใจ “เป็นอย่างไรเล่า”
“ขนเพียงพอนอุ่นกว่าเจ้าค่ะ!” อาจินพูด
จิ่นเกอสีหน้าเปลี่ยนไป “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว!”
อาจินหัวเราะออกมา
หงเหวินที่ก้มหน้าช่วยจิ่นเกอเก็บข้าวของเล็กๆ น้อยๆ พลันเงยหน้าขึ้นมา
“คุณชายน้อยหกเจ้าคะ” นางเองก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร “รองเท้าใหญ่ขนาดนี้ ท่านคงยังไม่ได้ใช้ วางไว้บนชั้นวางจะทำให้มันมีฝุ่นเกาะ ไม่สู้เก็บเอาไว้ดีกว่า ช่วงเทศกาลหรือปีใหม่ หากมีญาติสนิทมิตรสหายมาค่อยนำออกมาวางโอ้อวด ท่านยังสามารถเล่าเรื่องที่ท่านไปด่านหุบเขาจยาอวี้ให้พวกเขาฟังได้อีกด้วย!”
“ข้าไม่ได้อยากโอ้อวดเสียหน่อย” จิ่นเกอเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นรองเท้าให้หงเหวิน “แต่เจ้าพูดถูก เก็บไว้ให้ข้าเถิด” เขาพูดอย่างจริงจัง “เก็บไว้ให้ดี อย่าให้แมลงมากินขนมัน”
หงเหวินยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” หาผ้าไหมสีแดงมาห่อรองเท้าเอาไว้ “วางไว้ในตู้ไม้การบูร ท่านคิดว่าดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ต้องเขียนไว้ในสมุดบัญชีด้วย” จิ่นเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “โตขึ้นแล้วข้ายังอยากจะสวมมันไปนอกด่าน!”
“เจ้าชอบซีเป่ยมากหรือ” เสียงที่อ่อนโยนของสืออีเหนียงดังเข้ามาในห้อง จิ่นเกอและสาวใช้ถึงได้เห็นสืออีเหนียงและหู่พั่วที่ยืนอยู่หน้าประตู
“ท่านแม่!” จิ่นเกอกระโดดลงจากเตียงเตาด้วยความดีใจ “ดึกมากแล้ว เหตุใดท่านยังไม่นอนอีกขอรับ”
“ข้ามาดูเจ้า!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้ามา
หงเหวินและอาจินรีบไปจุดตะเกียง
ในห้องสว่างขึ้นมา
สืออีเหนียงยิ้มอย่างอ่อนโยน
จิ่นเกอดึงมารดามานั่งบนเตียงเตา รับถ้วยชาจากมือสาวใช้มาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงจับจ้องจิ่นเกอ จากนั้นก็ถามอีกครั้ง “เจ้าชอบซีเป่ยมากหรือ”
“ขอรับ!” จิ่นเกอพยักหน้า ยิ้มแล้วไปนั่งข้างมารดา “ที่นั่นได้ขี่ม้า ยิงธนู ล่าสัตว์ ฝึกนกอินทรี ร้องเพลง แล้วยังมีท้องฟ้าสีคราม หญ้าสีเขียวชอุ่ม แกะสีขาว…”
“ข้าไม่เห็นว่ามีอะไรน่าสนุก” สืออีเหนียงลูบหัวบุตรชายตัวเองแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอยู่ที่จวนก็ได้ขี่ม้า ยิงธนู ร้องเพลงไม่ใช่หรือ หรือว่าท้องฟ้าที่จวนเราเป็นสีดำ หญ้าเป็นสีแดง?”
“มันไม่เหมือนกันขอรับ!” จิ่นเกอยิ้มแล้วพูดว่า “ซีเป่ยคือดินแดนดินสีเหลืองที่ไร้จุดสิ้นสุด พอขี่ม้าแล้วก็ทำให้เรารู้สึกว่าผู้คนที่อยู่รอบข้างตัวเล็กอย่างมาก โลกดูกว้างใหญ่ยิ่งนัก อยากจะขี่ม้าไปทิศทางไหนก็ได้ ไม่เหมือนที่เยี่ยนจิง ขี่ม้าวิ่งรอบคอกม้าสองรอบก็น่าเบื่อแล้ว ซ้ำยังไม่ต้องคิดที่จะขี่ม้าไปบนถนน ยิงธนูที่ซีเป่ย ดึงคันธนูแล้วยิงออกไป ไม่ว่าจะยิงแม่นหรือไม่ล้วนสนุกสนาน หากเป็นที่จวน ต้องยิงให้ตรงเป้าธนู หากยิงไม่โดน ก็ไม่สบายใจ กลัวว่าจะยิงถูกสาวใช้หรือป้ารับใช้คนไหนเข้า หรือไม่ก็กลัวว่าจะยิงโดนแจกันกระเบื้องลายครามในจวน” พูดจบ เขาก็สะบัดมือด้วยท่าทีเบื่อหน่าย “ครั้งก่อนที่ท่านพ่อพาข้าไปล่าสัตว์ กวางและเพียงพอนพวกนั้นล้วนแต่ถูกเลี้ยงมา องครักษ์นำพวกมันไปปล่อยบนเขา พวกมันต่างก็ถูกยิงอย่างโง่เขลา…” พูดจบก็ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาตะโกนเรียก “ท่านแม่” เสียงดังด้วยสีหน้าแปลกๆ จากนั้นก็พูดเบาลง “ครั้งก่อนที่เราไปด่านหุบเขาจยาอวี้ ผู้บัญชาการด่านหุบเขาจยาอวี้พาข้าไปล่าสัตว์ ไม่เหมือนที่จวนของเราเลยขอรับ ต้องขี่ม้าไปถึงที่ราบลุ่ม ต้องหาแม่น้ำให้เจอก่อน เหล่าทหารนอนสำรวจดูรอยเท้าข้างแม่น้ำ จากนั้นก็เดาว่าเหยื่อคืออะไร มีเยอะแค่ไหน มาดื่มน้ำที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นถึงได้ปรึกษากันว่าจะล่าด้วยวิธีไหน สนุกมากเลยขอรับ” เขายิ้มสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ “ท่านแม่ขอรับ หญ้าที่นั่นไม่มีเหมือนหญ้าที่สวนหลังจวนของเรา ที่ขึ้นตามใต้ต้นไม้ดอกไม้หรือข้างทางแต่มันเป็นทุ่งหญ้า เมื่อมองออกไปจากบนหลังม้า กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เมื่อลมพัดผ่านมา ราวกับคลื่นทะเลเป็นระลอกก็ไม่ปาน แล้วยังมองเห็นแกะขาวที่กำลังกินหญ้า สวยยิ่งนัก!”
สืออีเหนียงมองดูสายตาที่เป็นประกายของเขา นางลูบหัวจิ่นเกอเบาๆ “นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่ค่อยได้ออกไปไหน”
จิ่นเกอมองมารดาของตัวเองด้วยความแปลกใจ
“เจ้ายังไม่เคยไปเจียงหนานใช่หรือไม่” สืออีเหนียงพูด “เจียงหนานก็น่าสนใจเหมือนกัน ที่นั่นมีสิ่งของมากมาย เหมือนเสื้อที่เจ้ากำลังสวมอยู่ ฤดูร้อนเราจะทานน้ำปาเซียน ฤดูหนาวเราจะทานซานเจิน แล้วยังมีพู่กันหูปี่ที่เจ้าใช้ กาป้านจื่อซาที่ใช้ดื่มชา ไม้ไผ่เซียงเฟยที่ใช้ทำม่านประตู กล่องไม้แกะสลักและผมปลอมของบรรดาป้ารับใช้ ล้วนแต่มาจากเจียงหนาน ที่นั่นยังมีสุราจินหวา ตำหนักเถิงหวางและสำนักศึกษาเหมาซาน …”
“ข้ารู้ ข้ารู้ขอรับ” จิ่นเกอเอ่ยขัดจังหวะสืออีเหนียง “เจียงหนานยังมีกระบี่หลงเฉวียนอีกด้วย!”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
“ห้องหนังสือของท่านลุงฟั่นมีกระบี่หลงเฉวียนแขวนอยู่ ท่านลุงฟั่นบอกว่า ฮ่องเต้ทรงประทานให้เขา แล้วเขายังให้ข้าลองจับอีกด้วย” พูดจบ เขาก็ดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านบอกท่านพ่อได้หรือไม่ว่าหากข้าโตแล้ว ข้าซื้อกระบี่หลงเฉวียนได้หรือไม่” เขาพูดต่ออีก “ถึงตอนนั้นข้าจะนำไปซีเป่ย ต้องมีคนอิจฉาแน่นอนขอรับ”
นางพูดไปเยอะแยะขนาดนั้น แต่เขากลับคิดแค่ว่าจะนำกระบี่หลงเฉวียนไปซีเป่ย
“แล้วเจ้าไม่อยากไปนั่งเรืออูเผิง ทานปูไปเดินเล่นวัดผู่ถัวที่เจียงหนานหรือ” สืออีเหนียงถามเขาอย่างอ่อนโยน “ไม่อยากไปดูสำนึกศึกษาที่พี่สองของเจ้าไปเรียน พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเติบโตมาหรือ”
“นั่งเรืออูเผิง ทานปูนั้นไม่จำเป็น” จิ่นเกอยิ้มแล้วพูดว่า “เรืออูเผิงเล็กนิดเดียว ขยับไปมาสองสามทีก็ราวกับจะพลิกคว่ำแล้ว ไม่แข็งแรงเท่าเรือขุนนางสามชั้น ปูก็ทานทุกปี ไม่มีอะไรน่าทานขอรับ แต่วัดผู่ถัว ข้าอยากไปดู ข้าเคยได้ยินมาว่า วัดผู่ถัวอยู่นอกทะเล วัดบนภูเขาทำมาจากทองคำ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ทองคำก็จะส่องแสงแวววาว เมื่อมองจากบนฝั่งนั้นราวกับดินแดนของเหล่าทวยเทพ แต่ข้าไม่เชื่อ บอกว่าโลกใบนี้ไม่ใช่ดินแดนของเทพเจ้าไม่ใช่หรือ เยี่ยนจิงคือเมืองหลวง กระนั้นเมืองหลวงก็ยังไม่มีวัดที่ทำมาจากทอง หรือว่าวัดผู่ถัวดีกว่าเมืองหลวงเสียอีก? หากเป็นเช่นนั้น ก็ต้องไปสำนักศึกษาจิ่นสีด้วย” เขาพูดด้วยท่าทีทะเล้น “ท่านแม่ขอรับ ท่านคิดว่าหากพี่สองเจอข้า เขาจะดีใจหรือไม่”
เขาจะไปวัดผู่ถัวเพราะอยากไปดูว่าข่าวลือนั้นจริงหรือไม่ เขาจะไปสำนักศึกษาจิ่นสีเพราะอยากดูสีหน้าที่ตื่นตกใจของสวีซื่ออวี้
สืออีเหนียงถอนหายใจเบาๆ นางกอดจิ่นเกอไว้ในอ้อมแขน “ดึกมากแล้ว เจ้ารีบนอนเถิด ของพวกนี้ พรุ่งนี้ค่อยจัดการก็ได้ เจ้าย้ายออกไปตั้งเดือนหก!”
จิ่นเกอพยักหน้า “ท่านแม่ ข้าไม่ได้เก็บข้าวของพวกนี้เพื่อจะย้ายเรือน ข้าแค่อยากนำของพวกนี้ออกมาเล่นเท่านั้น”
เขาชอบมันจริงๆ ใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงปล่อยตัวเขาออกอย่างอ่อนโยน “ข้ารู้แล้ว เจ้ารีบไปนอนเถิด!”
จิ่นเกอยิ้มแล้วขึ้นไปบนเตียง เขาดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง “ท่านแม่ เล่านิทานให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด ท่านไม่ได้เล่านิทานให้ข้าฟังมาตั้งนานแล้วนะขอรับ!” ออดอ้อนสืออีเหนียง
สืออีเหนียงพูด “เจ้าไม่อยู่ที่จวน ข้าก็จะไม่ได้เจอเจ้าแล้ว!”
จิ่นเกอหัวเราะคิกคัก “ข้าออกไปเที่ยวสองสามวันประเดี๋ยวก็กลับมา ท่านแม่ก็จะได้เจอข้าแล้ว”
สืออีเหนียงลูบหน้าเขาอย่างเบามือ “เจ้าอยากฟังนิทานเรื่องอะไร”
“นิทานเรื่องก้วนจวินโหว!” จิ่นเกอตอบอย่างรวดเร็ว
ก้วนจวินโหวก็คือฮั่วชี่ปิ้ง[1]
“ได้เลย!” สืออีเหนียงและบุตรชายนอนอยู่บนหมอนตรงหัวเตียงด้วยกัน นางเล่าเสียงแผ่วเบา “กาลครั้งหนึ่ง มีชายผู้หนึ่งนามว่าฮั่วชี่ปิ้ง…”
*****
สวีลิ่งอี๋รอสืออีเหนียงอยู่ในห้องตั้งนาน
หรือว่านางไม่อยากเห็นหน้าเขา?
คิดเช่นนี้ เขาก็ถอนหายใจ จากนั้นก็เดินออกมา
ข้างนอก ดวงจันทร์ทอแสงสว่างไสว กลิ่นของดอกซ่อนกลิ่นลอยอบอวลอยู่ในอากาศ
สืออีเหนียงยกศอกขึ้นเท้าคางอยู่บนเก้าอี้เหม่ยเหริน มองดูโคมไฟสีแดงที่แกว่งไปมาใต้ชายคาเรือนปีกทิศตะวันตกด้วยความเหม่อลอย
แสงไฟสีแดงสาดส่องลงบนใบหน้าที่เรียบเนียนราวกับหยกของนาง ขับให้นางงดงามราวกับรูปปั้น
“ดึกมากแล้ว เหตุใดถึงยังไม่กลับเรือนอีก” สวีลิ่งอี๋ถอดเสื้อคลุมออกมาคลุมให้สืออีเหนียง “ยามดึกลมหนาว ระวังจะเป็นหวัดเอาได้”
สืออีเหนียงหันหน้ากลับมา ดวงตาของนางราวกับผิวน้ำที่นิ่งสงบก็ไม่ปาน “ให้จิ่นเกอไปเจียงหนานกับพี่ใหญ่ของข้าสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ”
[1]ฮั่วชี่ปิ้ง เป็นขุนศึกจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก รับราชการในสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่