“องค์ชายพูดถูก การประลองยกนี้มีสองส่วนด้วยกัน ภารกิจแรกคือการอัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณ ส่วนภารกิจที่สองคือการกำจัดวิญญาณร้าย” ผู้อาวุโสซวีอู๋ก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่งพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ จากนั้นจึงเอ่ยต่อ ”องค์ชายสามและพระชายาสามลงมือได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจริงๆ พวกเขาสามารถกำจัดวิญญาณร้ายได้ในชั่วพริบตา แต่พวกเขาล้มเหลวในการอัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณ”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมองหน้ากันอย่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสซวีอู๋ โดยปกตินั้นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องอัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณออกมาเป็นอันดับแรกก็เพื่อใช้พลังแห่งความมืดของผู้พิพากษาล่อวิญญาณร้ายออกมาจากร่างมนุษย์
แต่ครั้งนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้เพียงยันต์ผ้าเหลืองสิบแปดแผ่นก็สามารถล่อวิญญาณร้ายออกมาได้โดยไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือจากพลังของคนนอก
ทุกคนรู้ว่าหากการประลองนี้ตัดสินกันที่ทักษะฝีมือเพียงอย่างเดียว เฮ่อเหลียนเวยเวยและไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมเป็นผู้ชนะอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ หากไม่สามารถอัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณออกมาได้ก็ต้องถูกตัดสินให้พ่ายแพ้เป็นธรรมดา… มันไม่ต่างจากการประลองในยกแรกที่มีคนพยายามใช้กฎกติกาของการประลองมาขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นชนะ
ผู้อาวุโสซวีอู๋แสดงละครเก่งทีเดียว เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า ”การอัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณนั้นยากกว่าการกำจัดวิญญาณร้าย พวกเราเข้าใจดีว่าทำไมผู้พิพากษาวิญญาณจึงไม่ปรากฏตัวขึ้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพระชายาสามได้ใช้พลังทั้งหมดของนางไปกับวิญญาณร้ายตนนั้นแล้ว สุดท้ายนางจึงไม่เหลือพลังที่จะอัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณออกมานั่นเอง ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
การควบคุมยันต์ผ้าเหลืองสิบแปดแผ่นนั้นต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมหาศาล
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจและแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
แต่เพราะความบุ่มบ่ามบวกกับความที่นางยังเด็กและไร้ซึ่งประสบการณ์ จึงทำให้นางทุ่มพลังวิญญาณทั้งหมดของตัวเองไปกับการกำจัดวิญญาณร้าย ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่มีพลังวิญญาณเหลือพอที่จะทำภารกิจที่สองได้สำเร็จ ทุกคนจึงไม่แปลกใจที่ผู้พิพากษาวิญญาณไม่ได้ปรากฏตัวออกมา
ผู้อาวุโสซวีอู๋หัวเราะเมื่อคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคงถึงขีดจำกัดความสามารถของตัวเองแล้ว เขาพอใจอย่างมากเพราะในที่สุดเขาก็สามารถประเมินความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนางได้
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นนางก็เอ่ยว่า ”ใครบอกว่าจ้าไม่ได้อัญเชิญผู้พิพากษาวิญญาณกัน”
อะไรนะ
สีหน้าของผู้อาวุโสซวีอู๋เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาหันหน้ากลับไปทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยประสานฝ่ามือเข้าหากัน ผมสีดำราวน้ำหมึกของนางปลิวอยู่ในสายลม
พลังวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นในฝ่ามือของเฮ่อเหลียนเวยเวยแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
นางเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นขณะที่สายลมแรงพัดผ่านนางเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ทำให้เสื้อคลุมของนางสะบัดไหวไปตามลม ท่ามกลางกระแสหมอกอันหนาทึบ นางยังคงยืนนิ่งอยู่ในความมืดพร้อมกับท่องคาถาออกมาสองสามประโยค จากนั้นนางจึงหรี่ตาลง ก่อนตะโกนขึ้นว่า ”จงออกมา!”
คำพูดสั้นๆ นั้นเต็มไปด้วยอำนาจ
มุมหนึ่งของท้องพระโรงปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งในทันใด
หมอกภายในเงามืดนั้นค่อยๆ ม้วนตัวเข้าหากันกลายเป็นก้อนเดียว ก่อนจะเริ่มหนาแน่นขึ้นเหมือนกำลังก่อร่างเป็นบางสิ่ง
เสนาบดีทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออก
จากนั้นก็มีเสียงดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วบรรยากาศ!
หมอกแห่งความมืดจางลง พร้อมกับอะไรบางอย่างที่ตกลงมาบนพื้น
เด็กชายอายุราวห้าขวบปรากฏตัวขึ้นกลางท้องพระโรง ดูเหมือนเขากำลังยุ่งกับงานของตัวเองอยู่ในระหว่างที่ถูกอัญเชิญมา เขาถือตราประทับมีคำว่า ‘ยมราช’ ไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นเท้าคาง ท่าทางเขาจะดูเบื่อหน่ายกับงานของตัวเองมากทีเดียว เขาคาบจุกนมไว้ในปาก และสวมหมวกที่มีคำว่า ”ยมราช” เขียนไว้บนศีรษะ เสื้อคลุมสีดำที่เขาสวมอยู่ยิ่งทำให้เด็กชายดูดีเป็นอย่างยิ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าเขากลับนึกไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยกว่าตัวเองจะมาอยู่ในโลกมนุษย์อย่างกะทันหันเช่นนี้ เขาจึงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความสับสนงุนงง เมื่อเขาเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็สบถออกมาว่า ”ใครส่งข้ามาที่ยุคโบราณ ถ้าเจ้าอยากส่งข้าไปที่ไหนทำไมไม่ส่งข้าไปยังยุคปัจจุบันเล่า! ข้าสาบานเลยว่าพวกเจ้าก็แค่พยายามที่จะแยกข้ากับเสี่ยวโกวออกจากกันเท่านั้น! ช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก!”
เด็ก… เด็กคนนี้เป็นใคร
เหล่าเสนาบดีต่างตกใจ พวกเขารู้สึกสับสนเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยที่นั่งอยู่กลางท้องพระโรง
คนที่นางอัญเชิญออกมาควรจะเป็นผู้พิพากษาวิญญาณมิใช่หรือ
ทำไมคนที่โผล่มาถึงกลายเป็นเด็กน้อยคนนี้แทนล่ะ
“เจ้าสี่ เจ้าว่าเสียงของเด็กชายคนนั้นฟังดูคุ้นๆ หรือเปล่า” ยมทูตตนหนึ่งที่กำลังจะกลับไปชะงักฝีเท้าลงกลางคัน
เจ้าสี่หัวเราะออกมาก่อนจะตอบว่า ”จริงด้วย! เสียงของเขาช่างฟังดูคุ้นหูยิ่งนัก ข้าเกือบคิดว่าตัวเองกลับถึงนรกแล้วด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นทำไมข้าถึงจะได้ยินเสียงบุตรแห่งราชานรกล่ะ”
เดี๋ยว เขาคือบุตรแห่งราชานรกหรือ
ยมทูตทุกตนตกตะลึง พวกเขาหันหน้ากลับไปมองอีกฝ่ายโดยพร้อมเพรียงกัน!
โอ้ สวรรค์!
เขาคือบุตรแห่งราชานรกจริงๆ ด้วย!
ฉิบหายแล้ว! ราชาแห่งนรกกังวลว่าบุตรของตนจะมัวแต่ลุ่มหลงอยู่ในรักแรกนั้น จึงสั่งให้พวกเขาคอยจับตาดูบุตรของตัวเองเอาไว้ และทำให้มั่นใจว่าเด็กชายจะไม่มีทางออกไปจากนรกได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะต้องถูกลงโทษ
แต่ตอนนี้ บุตรแห่งราชานรกกลับถูกอัญเชิญมายังโลกมนุษย์
มิหนำซ้ำยังได้พบราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นแบบตัวต่อตัวเสียด้วย
ทำอย่างไรดี
ทีนี้พวกเขาจะทำอย่างไรกันดี
บุตรแห่งราชานรกยังคงสุขุมเยือกเย็น เด็กชายสบตากับทุกสายตาที่จับจ้องมาที่เขา ก่อนจะหยิบกระจกบานเล็กขึ้นมาด้วยท่าทางมั่นใจ เขาถอนหายใจอย่างผิดหวังว่า ”ข้าแต่งตัวแล้วก็จริง แต่ก็คงไม่สามารถไปพบเสี่ยวโกวทั้งอย่างนี้ได้ เสียดายชะมัด!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ข้างหลังเขา จากวินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น นางก็คิดว่าเงาของร่างนั้นดูคุ้นตาชอบกล แต่หลังจากได้เห็นพฤติกรรมนั้น นางก็มั่นใจได้ทันทีว่าเขาคือเด็กชายคนเดียวกันกับที่นางเคยพบมาก่อน
ตอนนั้นเองที่บุตรแห่งราชานรกกวาดสายตามองไปรอบๆ คิ้วของเขาเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนรอยยิ้มชั่วร้ายจะปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้น ”เจ้าเป็นคนที่อัญเชิญข้ามาสินะ มีเรื่องอะไรหรือ เจ้าเลิกคิดถึงใบหน้าอันงดงามของข้าไม่ได้หลังจากที่ได้พบกันครั้งก่อนหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ข้าน่ะหรือจะคิดถึงเด็กอายุห้าขวบ?
“โชคร้ายยิ่งนักที่เจ้าคงไม่มีหวังกับข้า” บุตรแห่งราชานรกเก็บกระจกเข้าที่ แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ”ข้าจะรักเพียงเสี่ยวโกวคนเดียวตราบสิ้นลมหายใจ”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …นางเองก็แต่งงานแล้วนะ
“แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าจูบหลังมือข้าสักครั้งก็แล้วกัน” บุตรแห่งราชานรกคิดว่าแค่นี้ก็นับว่าเขาใจกว้างมากแล้ว!
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็กระตุกยิ้มขึ้น เขาก้าวเข้าไปหาเด็กชายจากทางด้านหลัง พร้อมกับใช้ดวงตาเย็นชาราวน้ำแข็งนั้นจ้องมองเขา และเอ่ยว่า ”มือข้างไหนหรือที่เจ้าอยากทิ้งมันไว้ที่นี่”
บุตรแห่งราชานรกใช้ความพยายามอย่างมากในการเงยหน้าขึ้น ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นว่าขาเรียวอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงามของชายหนุ่ม จากมุมที่เขามองเห็น ใบหน้าอันงดงามหล่อเหลาของอีกฝ่ายเปล่งประกายระยิบระยับราวกับแก้วใส สายตาของชายคนนั้นจับจ้องอยู่ที่เด็กชาย
บุตรแห่งราชานรกรู้สึกกดดันอย่างมาก ความรู้สึกนั้นทำให้เขาถึงกับสำลักน้ำลายตัวเองทันที!
รา… ราชาปีศาจ!
เด็กชายรีบปิดปากเงียบ เขาใช้ดวงตาสีอำพันมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ก่อนจะพยายามหนีจากสถานการณ์นี้อย่างรวดเร็ว!
เขาต้องการกลับนรกแล้วใช้แส้เฆี่ยนยมทูตพวกนั้นเสียเดี๋ยวนี้!
พวกมันไม่แจ้งเขาได้อย่างไรว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตแสนอันตรายนี้กลับมาแล้ว!
พวกมันไม่รู้หรือว่าราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่และชั่วร้ายผู้นี้คือหนึ่งในคนที่เขากลัวที่สุด!
ราชาปีศาจผู้นี้โหดเหี้ยมไร้หัวใจ
เด็กชายนึกถึงตอนที่ตัวเองอายุได้สามขวบขึ้นมา
(แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้โตขึ้นจากตอนนั้นมากเท่าใดนัก!)
เขาตรากตรำทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำตอนที่ได้รับหน้าที่รักษาการณ์แทนผู้เป็นบิดาเป็นครั้งแรก
เขาต้องประทับตราเอกสาร และคอยดูแลงานของยมทูตไปพร้อมกัน
งานเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรงจนสีหน้าซีดเซียวราวกับคนป่วย!
แต่ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่คนนี้กลับยังมีแก่ใจมาหาเรื่องบิดาของเขา อีกทั้งยังสร้างความปั่นป่วนให้กับนรกอีกด้วย
เขาบังคับให้เขาลบชื่อ ”เฮ่อเหลียนเวยเวย” ออกจากบัญชีนรก…