ถึงแม้ว่าฮูหยินสองจะช่วยพูด แต่นางก็ใช้ความพยายามไปไม่น้อย ไท่ฮูหยินถึงได้ตอบตกลงให้จิ่นเกอกลับไปยังอวี๋หังกับหลัวเจิ้นซิ่ง
จิ่นเกอดีอกดีใจ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็กังวล “ท่านพ่อไม่ไปกับข้าหรือขอรับ”
“เจ้าพูดโอ้อวดกับข้าว่า ไม่ว่าใครเจ้าก็เข้ากับเขาได้ไม่ใช่หรือ” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “ครั้งนี้ข้าไม่ไปกับเจ้า ดูว่าเจ้าจะได้สหายกลับมากี่คน” เขาพูดต่ออีกว่า “ข้าเคยไปเจียงหนานเมื่อสิบหกปีก่อน เจ้ากลับมาเล่าเรื่องเจียงหนานให้ข้าฟังเถิด”
จิ่นเกอได้ยินดังนั้นก็ร่าเริง วิ่งไปถามไท่ฮูหยิน “ท่านอยากได้อะไรหรือไม่ขอรับ ข้าจะซื้อให้ท่านเอง!”
ไท่ฮูหยินกอดจิ่นเกอเอาไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อย ราวกับว่าเขาจะออกเดินทางพรุ่งนี้ก็ไม่ปาน “ย่าไม่อยากได้อะไร ขอแค่จิ่นเกอกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว!” จากนั้นก็แอบยัดถุงผ้าให้เขา “เก็บเอาไว้ ห้ามบอกใคร หากเจออะไรที่อยากซื้อระหว่างทางแต่ไม่กล้าขอท่านลุง เจ้าก็ใช้เงินในถุงผ้านี้ เราจะให้ใครดูถูกไม่ได้”
“ไม่เป็นไรขอรับ” จิ่นเกอผลักถุงผ้าออก “ท่านพ่อให้เงินข้าหนึ่งร้อยตำลึง ท่านแม่ยังให้อีกสองร้อยตำลึง ข้ามีเงินเยอะแล้วขอรับ!”
“อยู่ข้างนอก มีเงินเยอะไม่ใช่เรื่องแย่” ไท่ฮูหยินจะให้จิ่นเกอรับมันไว้ “ใครจะไม่อยากมีเงินกันเล่า”
จิ่นเกอไม่ชอบพฤติกรรมผลักไปผลักมาเช่นนี้ เขาครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ก็ได้ขอรับ หากข้าใช้ไม่หมด ข้าจะนำกลับมาคืนให้ท่าน!”
“ไม่ต้องคืนข้า!” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเก็บเอาไว้ใช้เถิด!”
จิ่นเกอไม่พูดอะไรกับไท่ฮูหยินอีก เขารับมันมาแล้วพูดว่า “ครั้งนี้เรานั่งเรือขุนนางไป อาจารย์ผังบอกว่า เรือขุนนางมั่นคงอย่างมาก สบายกว่านั่งรถม้าเสียอีก ข้าจะได้นั่งเรือขุนนางเป็นครั้งแรก เมื่อก่อนแค่เคยขึ้นไปดูตอนที่ไปส่งคนอื่นกับท่านพ่อ…”
สืออีเหนียงกำลังเอ่ยขอบคุณฮูหยินสอง “ขอบพระคุณพี่สะใภ้สองมากเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้น ไท่ฮูหยินคงจะไม่ยอมให้จิ่นเกอออกไปแน่นอน”
“หากไม่มีข้าแต่ท่านโหวเป็นคนพูด ท่านแม่ย่อมเห็นด้วยแน่นอน” ฮูหยินสองยิ้มอย่างแผ่วเบา “ข้าช่วยพูดให้ก็แค่เร็วกว่านิดหน่อยเท่านั้น” พูดจบ นางก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบป้ายชื่อบนโต๊ะหนังสือมาให้สืออีเหนียง “ในเมื่อจะไปเจียงหนาน ไม่สู้ไปคารวะเผิงเฉียนอิง อาจารย์เผิงที่เมืองไท่ชัง เขาคืออาจารย์โหราศาสตร์ เคยวิจัยเลขคณิต การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งและฮวงจุ้ย คนเช่นนี้จะเดินผ่านหน้าประตูจวนเขาแต่ไม่เดินเข้าไปคารวะเขาไม่ได้”
สืออีเหนียงแปลกใจ
จิ่นเกอเรียนโหราศาสตร์กับฮูหยินสองมาระยะหนึ่งแล้ว ดูเหมือนเขาจะแยกแยะออกแค่เหนือใต้ออกตก นางสอนเลขคณิตให้จิ่นเกอตามความทรงจำของตัวเอง แต่ว่าจำสูตรการคูณได้แม่น แก้โจทย์ที่ว่า ‘มีนกสามตัวในกรงหนึ่งกรง มีกรงทั้งหมดสี่กรง ทั้งหมดมีนกกี่ตัว’ ได้ แต่สำหรับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งและฮวงจุ้ย ไม่รู้ว่าอาจารย์ฉังและอาจารย์จ้าวสอนหรือไม่ แต่ฮูหยินสองไม่รู้แน่นอน สวีลิ่งอี๋เองก็คงไม่รู้…ให้จิ่นเกอไปเจอคนเช่นนี้…หรือว่าจะให้จิ่นเกอไปคารวะเขา?
นางครุ่นคิด แต่คิดว่านี่คือน้ำใจของฮูหยินสอง ซ้ำยังไม่ใช่เรื่องยากอะไร นางจึงยิ้มแล้วตอบรับ
กลับไปอ่านป้ายชื่อ ชื่อข้างหน้าคือสวีเซี่ยงซื่อ พุทธศาสนิกชนเสาหวา
ดูเหมือนว่า พุทธศาสนิกชนเสาหวาน่าจะเป็นนามปากกาของฮูหยินสอง
นางเล่าเรื่องนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เจ้าพึ่งจะรู้หรือว่าพี่สองเคยใช้หินเลือดแกะสลักตราชื่อให้พี่สะใภ้สอง”
สืออีเหนียงเปิดป้ายชื่อ ชี้ไปที่เครื่องหมายสีแดง “นี่หรือเจ้าคะ?”
สวีลิ่งอี๋เหลือบมอง “คิดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้สองยังใช้อยู่ … “ เขาพูดอย่างกระอึกกระอัก
สืออีเหนียงถามเขา “เหตุใดพี่สะใภ้สองถึงไม่รับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงสักคนเล่าเจ้าคะ” นึกขึ้นมาได้ว่าบุตรบุญธรรมส่วนมากคือบุตรของพี่ชายหรือน้องชายสามีตัวเอง และก่อนที่นางจะแต่งงานเข้ามา สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้มีบุตรเยอะแยะ ส่วนสวีลิ่งควนเองก็ยังไม่มีบุตร ฮูหยินสามมีบุตรแค่สองคน ทางฝั่งหนานจิงก็ปฏิเสธไปแล้ว “เพราะไม่มีคนที่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ”
“นี่เป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “เพราะพี่สะใภ้สองคิดว่าตัวเองเลี้ยงเด็กได้ไม่ดี”
“เลี้ยงเด็กได้ไม่ดีหมายความว่าอย่างไร” สืออีเหนียงไม่เข้าใจ
ในจวนมีสาวใช้ ป้ารับใช้ และก่อนที่เด็กจะอายุห้าขวบก็มีแม่นมคอยดูแล นางแค่แวะมาดูเขาให้เป็นพิธีทุกวันก็พอแล้ว
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา นางพลันตระหนักขึ้นมาได้
ฮูหยินสองเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว แต่งงานออกเรือนมากลับแท้งลูก ส่วนสามีก็เสียชีวิตกะทันหัน…หรือนางคิดว่าตัวเองไม่มีวาสนา?
หรือเป็นเพราะเหตุนี้ ทางฝั่งหนานจิงจึงไม่ยอมส่งเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรมของฮูหยินสอง?
และถึงแม้ว่านางจะดีกับเด็ก แต่นางก็ไม่เคยกอดหรือหอมแก้มเด็กคนไหนเลย
“ถ้าอย่างนั้นพี่สะใภ้สองจะทำอย่างไร” สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเปิดปากถาม
ไม่ว่าจะเป็นไท่ฮูหยินหรือว่าสวีลิ่งอี๋ ดูจากความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อคุณชายสองแล้ว พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ครอบครัวคุณชายสองไร้ซึ่งทายาทแน่นอน
“พี่สะใภ้สองบอกว่า หลังจากที่นางเสียชีวิต ให้เรารับเด็กมาเลี้ยงในนามของพี่สอง” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยสีหน้าที่หม่นหมอง
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะมองออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
*****
เมื่อรู้ว่าหลังจากเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง อิงเหนียงก็จะกลับอวี๋หังแล้ว ทุกคนล้วนแต่ตกใจ
“กลับไปเร็วขนาดนี้เลยหรือ!” เซี่ยงซื่อพูดด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์ “บอกว่ามาอยู่กับท่านช่วงหนึ่งไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
อิงเหนียงเป็นคนร่าเริงสดใส อีกทั้งยังขยันขันแข็ง เวลาว่างชอบปลูกดอกไม้ต้นไม้ ไม่ก็เย็บปักถักร้อย บางครั้งเห็นเซี่ยงซื่อมาคารวะสืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ อิงเหนียงก็มักจะช่วยเซี่ยงซื่ออุ้มอิ๋งอิ๋ง ถึงแม้ว่าเซี่ยงซื่อไม่ได้คุยอะไรกับนางมากนัก แต่นางประทับใจในตัวอิงเหนียงอยู่ไม่น้อย
สืออีเหนียงห้อยถุงผ้าไว้ตรงอกของอิ๋งอิ๋ง นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าให้นางอยู่กับข้า แต่มารดาของนางเล่า มาอยู่กับข้าแค่สองสามเดือนก็พอแล้ว!”
เซี่ยงซื่อไม่กล้าถามอะไรอีก นางขานรับ เมื่อออกไปก็พาอิ๋งอิ๋งไปหาอิงเหนียง มอบเงินห้าสิบตำลึงให้อิงเหนียงเป็นของขวัญเดินทาง
ไท่ฮูหยิน ฮูหยินห้า เจียงซื่อและซินเจี่ยเอ๋อร์มอบต่างหู ปิ่นปักผมและเครื่องประดับอื่นๆ มีเพียงสวีซื่อเจี้ยที่มอบเงินเดินทางห้าสิบตำลึง แล้วยังมอบสะดึงให้อิงเหนียง “ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าสะดึงไม่แน่นไม่ใช่หรือ ข้าทำมาให้เจ้า”
อิงเหนียงตกใจ “ท่านทำของพวกนี้เป็นด้วยหรือ”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่ใช่เรื่องยากอะไร มันคือไม้ไผ่ที่เหลือจากการทำโคมไฟ ข้าแค่ลองทำดู”
อิงเหนียงหัวเราะ “ท่านยังทำอะไรได้อีกเจ้าคะ”
“ได้อย่างละนิดอย่างละหน่อย” สวีซื่อเจี้ยได้ยินดังนั้นก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “แต่ทำได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร”
“เลือกสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วตั้งใจเรียนรู้ดีกว่า” อิงเหนียงสั่งสอนเขา “ท่านป้าใหญ่ของข้าบอกว่า คนเราหากทำสิ่งหนึ่งได้ดีก็จะได้รับประโยชน์จากมัน”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
อิงเหนียงมองเขา รู้สึกว่าตัวเองพูดจารุนแรงเกินไป นางเอ่ยเรียกสวีซื่อเจี้ย “พี่ห้าเจ้าคะ ข้าพูดไม่คิดจนเคยชิน ท่านอย่าเก็บคำพูดของข้าไปคิดเลย”
“ไม่ใช่!” สวีซื่อเจี้ยพูด “น้องหญิงพูดมีเหตุผล ข้าต้องกลับไปคิดให้ดี คิดว่าทำอะไรดี” พูดจบก็นึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่ตัวเองชื่นชอบ เขาไม่อยากทิ้งมันไปสักอย่างเดียว จึงพูดด้วยความลังเล “อย่างน้อยก็ต้องเรียงลำดับความสำคัญ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด” เขาพูดอย่างจริงจัง
อิงเหนียงหัวเราะ คิดว่าสวีซื่อเจี้ยน่าสนใจ นางโบกสะดึงที่อยู่ในมือ “ขอบคุณพี่ห้าเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็หันหลังแล้ววิ่งไปยังเรือนหลัก
สวีซื่อเจี้ยคิดว่าต่อไปคงไม่ได้เจอกับน้องหญิงที่ยิ้มเก่งคนนี้อีกแล้ว ในใจพลันรู้สึกเสียดาย
*****
สืออีเหนียงมองดูเรือลำใหญ่ค่อยๆ แล่นออกไปจากท่าเรือแม่น้ำทงโจวผ่านม่านสีเขียวนบนรถม้า น้ำตาที่กลั้นเอาไว้พลันไหลลงมา
“มีอาจารย์ผังไปด้วย บรรดาองครักษ์ก็คัดเลือกมาเป็นอย่างดี แล้วในมือยังมีป้ายชื่อของข้า เขาไม่เป็นอะไรแน่นอน” สวีลิ่งอี๋จับไหล่สืออีเหนียงแล้วพูดปลอบใจนาง “ปีใหม่จิ่นเกอก็จะกลับมาแล้ว เจ็ดเดือน…แค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว”
สืออีเหนียงพยักหน้า นางเช็ดน้ำตาแล้วพูดขึ้นว่า “เรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ!” พูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น แต่กลับฟังดูหนักแน่น
ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ไม่ควรลังเล
สวีลิ่งอี๋รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของนาง สายตาของเขามีความพอใจ เขาพูดอย่างอ่อนโยน “เมื่อวาน คุยกับจิ่นเกอที่โรงเตี๊ยมเกือบทั้งคืน เจ้าพิงข้าพักผ่อนสักประเดี๋ยวเถิด!”
สืออีเหนียงก็เหนื่อยแล้ว นางหลับตาลง ทันใดนั้นก็ผล็อยหลับไปท่ามกลางเสียงล้อของรถม้าอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆ นางก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
รถม้าหยุดแล่นแล้ว แต่นางยังอยู่บนรถม้า รอบๆ ตัวไม่มีเสียงอะไร มีแสงจากโคมไฟสีแดงสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างของรถม้า สวีลิ่งอี๋นั่งพัดให้นางเบาๆ
“ตื่นแล้วหรือ!” เขายิ้มแล้วพูดว่า “หิวหรือไม่ เราลงไปทานอาหารเย็นกันเถิด” พูดจบก็วางพัดแล้วเปิดม่านรถม้า “ที่นี่คือโรงเตี๊ยมตงเซิง เราพักที่นี่คืนหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางแต่เช้า คงจะถึงเยี่ยนจิงยามพลบค่ำ” เขาพูดพลางยื่นมือออกมาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงจับมือเขาลงมาจากรถม้า นางเห็นว่ารถม้าจอดอยู่ในลานเล็กๆ ในลานไม่มีใครสักคน
“จุนเกอกับเจี้ยเกอเล่า” พวกเขาทั้งสองคนมาส่งจิ่นเกอด้วยกันกับนาง
“ข้าบอกให้พวกเขากลับไปพักผ่อนก่อนแล้ว!” สวีลิ่งอี๋พานางไปที่ห้องหลัก “เห็นเจ้าหลับสนิท จึงไม่ได้ปลุกเจ้า”
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นมอง
ท้องฟ้ามืดมิด ไร้ซึ่งดวงจันทร์บนนั้น มีเพียงดาวดวงเล็กๆ สองสามดวง
“ตอนนี้ยามใดแล้วเจ้าคะ”
“ยามซวีแล้ว” สวีลิ่งอี๋หยิบนาฬิกาพกออกมาดู
ตอนที่รถม้าแล่นออกมาคือยามเว่ย เช่นนั้นก็หมายความว่านางหลับไปหนึ่งชั่วยามครึ่ง พวกเขาไม่ได้รีบเดินทาง เมื่อวานได้ยินผู้ดูแลบอกว่าน่าจะมาถึงโรงเตี๊ยมยามโหย่ว...ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาพัดให้นางหนึ่งชั่วยามครึ่งอย่างนั้นน่ะหรือ
“เหตุใดท่านโหวถึงไม่ปลุกข้าเล่า” สืออีเหนียงพูดอย่างไม่พอใจ
“เห็นเจ้าหลับสบาย จึงไม่ปลุกเจ้า” สวีลิ่งอี๋จับมือนางพลางเดินเข้าไปในห้อง
ชิวอวี่กำลังรออยู่ เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามาก็กำชับให้สาวใช้จัดอาหารเย็น
พึ่งทานได้เพียงสองคำ ก็มีเสียงดังมาจากข้างนอก
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองชิวอวี่ ชิวอวี่รีบออกไปดู จากนั้นก็กลับมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายน้อยสองเจ้าค่ะ!” สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจ “คุณชายน้อยสองกลับเยี่ยนจิง บังเอิญพักที่โรงเตี๊ยมนี้เหมือนกัน มั่วจู๋เห็นองครักษ์ของจวนตอนที่ไปตักน้ำล้างเท้าให้คุณชายน้อยสองที่โรงครัว จึงรู้ว่าพวกเราก็พักอยู่ที่นี่เช่นกันเจ้าค่ะ”
“รีบเชิญเขาเข้ามา!” สองสามีภรรยาพูดพร้อมกัน ชิวอวี่รีบไปเปิดม่าน จากนั้นสวีซื่ออวี้ที่รูปร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ!” เขาไม่สนใจว่าที่พื้นมีเศษอะไรหรือไม่ คุกเข่าลงต่อหน้าสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงทันที
“รีบลุกขึ้นเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูด “เหตุใดเจ้าถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ บอกว่าจะกลับมาปลายเดือนหก ไม่ก็ต้นเดือนเจ็ดไม่ใช่หรือ”