=พูดเป็นเล่นไป! ใครจะกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งกับบัญชีนรกเล่า
มันเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวพันไปถึงการเกิดใหม่ของวิญญาณดวงหนึ่งเชียวนะ!
ข้าในฐานะบุตรแห่งราชานรกย่อมไม่มีวันให้ความร่วมมือกับเขาอยู่แล้ว!
แต่ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่กลับตัดผมสีดำแสนรักของข้า!
เขาถึงกลับขู่ว่าจะจับข้าโกนหัวถ้าข้าไม่ยอมส่งบัญชีนรกให้กับเขา!
แม้ว่าข้าจะยังอายุน้อย แต่ข้าก็เป็นเด็กที่คำนึงถึงภาพลักษณ์ตัวเองเป็นสำคัญ
สุดท้ายข้าจึงต้องยอมแพ้และมอบบัญชีนรกให้กับราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่…
แค่ก ไม่ใช่เพราะข้ากลัวเขาหรอกนะ!
แต่ถ้าข้าหัวโล้น ใบหน้าอันงดงามนี้ของข้าก็คงได้เสียของหมดกันพอดี!
แต่เขากลับหาชื่อ ”เฮ่อเหลียนเวยเวย” ในบัญชีนรกไม่เจอ
มีเพียงแค่สามสิ่งเท่านั้นที่ไม่มีอยู่ในบัญชีนรก นั่นก็คือ ปีศาจ เทพ และวิญญาณที่ถูกนับเป็นกรณีพิเศษบางประเภท
วิญญาณกรณีพิเศษเหล่านั้นย่อมไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของนรก
เขาจำได้ว่าตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอัญเชิญเปลวเพลิงแห่งฟ้าดินออกมาเพื่อผนึกราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่เอาไว้ในร่างมนุษย์
แก่นวิญญาณดั้งเดิมของเขาควรจะถูกทำลายไปแล้วมิใช่หรือ เขากลับมาได้อย่างไร
ขณะที่บุตรแห่งราชานรกกำลังครุ่นคิดกับคำถามนั้น ชายหนุ่มก็คว้าคอเสื้อเขาขึ้นจากทางด้านหลัง!
ยมทูตทุกตนร้องขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกันว่า ”ไม่ได้การแล้ว!”
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า มือไหนหรือที่เจ้าอยากทิ้งไว้ที่นี่ ทำไมเจ้าถึงคิดหนีเสียแล้วล่ะ หือ เจ้าอยากให้ข้าตัดมือทั้งสองข้างของเจ้าออกด้วยตัวเองหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคีบบุตรแห่งราชานรกขึ้นเหมือนลูกไก่ตัวน้อยๆ จนกระทั่งอยู่ในระดับเดียวกับสายตา เขามองเข้าไปในดวงตาของเด็กชายพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า ”หรืออยากให้ข้าจับเจ้าโกนหัวมากกว่า”
บุตรแห่งราชานรกยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเองในทันใด เขาตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า ”เราคุยกันด้วยสันติวิธีมิได้หรือ ตอนนี้ข้ามีครอบครัวแล้ว ข้าคงยอมให้ตัวเองหัวโล้นไม่ได้”
ฝูงชนตกตะลึงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เด็กคนนี้อายุเพียงแค่ห้าขวบเท่านั้น
แต่เขามีครอบครัวแล้วหรือ
ในที่สุดผู้อาวุโสซวีอู๋ก็เรียกสติตัวเองกลับมาได้ เขามองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยก่อนจะระเบิดหัวเราะ ”ฮ่าๆๆ! พระชายาสาม ผู้พิพากษาวิญญาณที่ท่านพูดถึงอยู่ที่ไหนหรือ ท่านคิดที่จะใช้เด็กตัวเล็กๆ คนนี้มาตบตาพวกเรารึ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วอย่างเงียบๆ แต่ริมฝีปากของนางกลับโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มมีเลศนัย
บุตรแห่งราชานรกหัวเราะออกมาอย่างดูถูกทั้งที่ยังถูกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหิ้วคอเสื้ออยู่ สีหน้าชั่วร้ายและกราดเกรี้ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ก่อนที่เขาจะถามกลับไปว่า ”เจ้าเรียกใครว่าเด็กตัวเล็กๆ หรือ”
ผู้อาวุโสซวีอู๋อ้าปากค้าง เขายืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับถูกพลังบางอย่างแช่แข็งเอาไว้ เขาไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียว จากนั้นเขาก็ไม่สามารถควบคุมเงาของตัวเองได้อีกต่อไป เงานั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปหาเด็กชายทีละน้อย!
ซงเจิ้งเหวินเหรินเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสซวีอู๋มีท่าทางแปลกออกไป เขาไม่เข้าใจว่ากระแสพลังปราณหยินที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้มีที่มาจากไหน มันแน่นหนาและทรงพลังยิ่งกว่าตอนที่ผู้พิพากษาวิญญาณถูกอัญเชิญมาพร้อมกันสิบตนเสียอีก
กระบี่ไม้ท้อในมือของเขาเริ่มสั่นอย่างรุนแรง แม้ซงเจิ้งเหวินเหรินจะใช้พลังวิญญาณทั้งหมดของตัวเองไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว ก็ไม่สามารถสะกดมันเอาไว้ได้
“เกิดอะไรขึ้น”
เห็นได้ชัดว่าคนที่ได้รับผลกระทบจากมันไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้น อุปกรณ์เวทมนตร์ทุกชิ้นที่อยู่ในมือของผู้ขับไล่วิญญาณต่างก็สั่นไหวอย่างแรงราวกับว่าพวกมันพยายามหนีจากอันตรายอันคาดไม่ถึง
ผู้ขับไล่วิญญาณต่างมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจที่สุดก็คือคนที่เป็นสาเหตุของความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้ก็คือเด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขานี่เอง!
“โง่เขลานัก” บุตรแห่งราชานรกแยกเขี้ยว เขามีรูปร่างหน้าตาเป็นเด็ก แต่พลังปราณหยินที่เขามีติดตัวมาตั้งแต่เกิดนี้ก็สามารถข่มทุกคนได้อย่างอยู่หมัด และทำให้พวกเขาตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว
ผู้อาวุโสซวีอู๋นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะถูกเด็กชายตัวเล็กๆ หยุดการเคลื่อนไหวได้
มาถึงตอนนี้ ซงเจิ้งเหวินเหรินจึงสัมผัสถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในเวลานี้ได้ เขาจึงรวบรวมความกล้าถามออกไปว่า ”ท่านเป็นใคร”
“ใคร? ข้าหรือ?” บุตรแห่งราชานรกไม่สามารถวางมาดเท่ได้เพราะในเวลานี้เขายังถูกหิ้วอยู่กลางอากาศ ดังนั้นเขาจึงเป่าผมหน้าม้าของตัวเอง แล้วกระตุกยิ้มอย่างกระหายเลือดขึ้น ”เจ้าตายเมื่อใดก็จะได้รู้เองว่าข้าเป็นใคร”
“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย ท่านจะกระทำการบุ่มบ่ามตามใจตัวเองที่นี่ไม่ได้ ที่นี่คือโลกมนุษย์ และพวกเราต่างก็ถูกกฎเกณฑ์และข้อบังคับต่างๆ จำกัดไว้ ถ้าท่านฆ่าคนที่นี่ ราชาแห่งนรกจะไม่มีวันอนุญาตให้ท่านมาที่โลกมนุษย์อีกนะพ่ะย่ะค่ะ!” ยมทูตหลายตนรีบเข้ามาห้ามเขาทันทีที่เห็นว่าสถานการณ์พัฒนาไปรวดเร็วเพียงใด แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้บุตรแห่งราชานรกมากนัก เพราะราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นยังอยู่ในที่เดียวกัน เขาน่าสะพรึงกลัวเกินไป!
เพราะการปรากฏตัวของยมทูตกลุ่มใหญ่ จึงทำให้อุณหภูมิในท้องพระโรงดิ่งลงจนแทบจะถึงจุดเยือกแข็ง!
ทุกคนที่ได้เห็นภาพอันน่าเหลือเชื่อนี้ต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก!
หัวใจของเหล่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายแทบจะกระเด็นออกจากอก นั่นมัน… ยมทูตกลุ่มใหญ่เลยมิใช่หรือ! แล้ว… เมื่อครู่นี้พวกเขาเรียกเด็กชายตัวน้อยคนนี้ว่าอะไรนะ
องค์ชายหรือ
สีหน้าของซงเจิ้งเหวินเหรินเปลี่ยนไปในทันใด เขาดูตกใจกับภาพนี้อย่างมาก ความสุขุมเยือกเย็นที่เคยมีหายไปทันทีที่สายตาของเขาหยุดลงที่คำว่า ”ยมราช” ที่เขียนอยู่บนหมวกเหนือศีรษะของเด็กชาย ”ท่าน… ท่านมีความสัมพันธ์อันใดกับราชาแห่งนรกหรือ”
“เขาเป็นบิดาข้า” บุตรแห่งราชานรกตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ท่าทางตอนพูดกลับดูภูมิใจอย่างยิ่งเพราะในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้อวดถึงผู้เป็นบิดา
มือของซงเจิ้งเหวินเหรินที่กำอยู่รอบกระบี่ไม้ท้อคลายออกทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเด็กชาย กระบี่ไม้ท้อหล่นลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง ก่อนที่เขาจะเซถลาไปด้านหลัง แล้วทรุดลงนั่งกับเก้าอี้ของตัวเอง เขาพึมพำคำพูดเดิมซ้ำไปซ้ำมาว่า ”เป็นไปได้อย่างไร! ไม่มีทาง!”
“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้กัน” บุตรแห่งราชานรกพ่นลมหายใจออกมา ”การที่ข้าปรากฏตัวขึ้นในโลกมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด ดังนั้นไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่นัก” เขามองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วจึงพูดต่อ ”แม่นาง ช่วยบอกให้สามีเจ้าปล่อยข้าลงก่อนได้หรือไม่ ข้าวางมาดหล่อไม่ได้ถ้าเขายังเอาแต่หิ้วข้าอยู่เช่นนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ในสถานการณ์เช่นนี้เขายังคิดถึงเรื่องวางมาดได้อย่างไร
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเองก็ถึงกับพูดไม่ออกด้วยความตกตะลึงหลังจากได้ยินสิ่งที่บุตรแห่งราชานรกพูด!
ถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือ คนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอัญเชิญมาไม่ใช่ผู้พิพากษาวิญญาณ แต่เป็นบุตรแห่งนรก!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายนึกภาพไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่ามันต้องใช้พลังวิญญาณมหาศาลเพียงใด พวกเขารู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเองอย่างสุดซึ้ง!
ใช่แล้ว!
พวกเขาเสียใจที่ตัวเองไม่ยอมรับเฮ่อเหลียนเวยเวยในฐานะหญิงสาวผู้แข็งแกร่ง
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่พวกเขายังเสียใจที่ติดตามทูตเหล่านี้มาเพื่อประลองกับจักรวรรดิจ้านหลงอีกด้วย!
แม้กระทั่งซงเจิ้งเหวินเหรินก็ยังต้องยอมรับและยกให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นปรมาจารย์
คนที่สามารถบำเพ็ญเพียรถึงระดับที่ชวนตกตะลึงได้เช่นนี้ย่อมมีแต่สมาชิกจากตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย
ตั้งแต่เริ่มการประลอง ชัยชนะก็อยู่ในมือของคู่ต่อสู้มาตั้งแต่ต้น
พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นตัวตลกที่หลงตัวเอง
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอยากมุดลงไปซ่อนใต้หินทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองดูถูกคู่ต่อสู้ไว้มากเพียงใด
อู่จิ้งพอใจยิ่งนักเมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขา เขาหัวเราะลั่น และกล่าวว่า ”เช่นนี้ย่อมหมายความว่าพวกเราชนะแล้วใช่หรือไม่”
“แน่นอน” หลิวอวี้ดูเยือกเย็น แต่เขาก็ไม่สามารถปิดบังความตื่นเต้นที่อยู่ในน้ำเสียงเอาไว้ได้ ”พระชายาสามอัญเชิญบุตรแห่งราชานรกออกมา ดังนั้นย่อมไม่มีใครสามารถหัวเราะเยาะฝีมือในการขับไล่วิญญาณร้ายของพระชายาสามได้อีกต่อไป”
ซงเจิ้งเหวินเหรินเถียงไม่ออก เขารู้สึกเหมือนถูกต่อยจนจุกไปถึงลิ้นปี่ ความเจ็บปวดอันแสบร้อนที่เกิดขึ้นจากความอับอายนี้ช่างยากเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้…