พลังวิญญาณและศาสตร์แห่งเต๋าของเขาเทียบกับเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เลย…
ซงเจิ้งเหวินเหรินยกมือข้างหนึ่งขึ้นแนบหน้าผาก พร้อมกับก้มหน้าลง เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเพราะความอับอาย
เขารู้สึกได้ถึงสายตาจากฝูงชนที่จ้องมองมาทางเขาได้อย่างชัดเจน
มันยิ่งทำให้เขายากจะซ่อนสีหน้าของตัวเองเอาไว้ได้
เขาเป็นเหมือนตัวตลกที่โอ้อวดฝีมือของตัวเองต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญไม่มีผิด และสุดท้ายคนที่ถูกเยาะเย้ยก็คือตัวเขาเอง…
ชัยชนะอย่างขาดลอยนี้สร้างความเดือดดาลให้พลุ่งพล่านไปทั่วบรรยากาศ!
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์อ้าปากขึ้นเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็ทำได้เพียงส่งเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะขัดจังหวะนางเข้า
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นว่า ”องค์หญิง หยุดโต้แย้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ เมื่อเทียบกันแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยงดงามและแข็งแกร่งกว่าท่าน นางสามารถเอาชนะองค์รัชทายาทได้ แล้วนับประสาอะไรกับท่านเล่าพ่ะย่ะค่ะ นางย่อมเป็นตัวเลือกที่ทุกคนโปรดปรานมากกว่าท่านอย่างแน่นอน นอกจากนั้นนางก็ยังเป็นพระชายาที่อภิเษกสมรสกับองค์ชายสามอย่างเป็นทางการอีกด้วย หากท่านยังหาเรื่องมาตำหนิเฮ่อเหลียนเวยเวยต่อไป ท่านก็มีแต่จะต้องทำให้ตัวเองต้องขายหน้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ฟังสิ่งที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นพูด คำพูดของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ก็จุกอยู่ในลำคอ ”ไป๋เยว่ จำไว้ด้วยว่าเจ้าเป็นประชาชนของเมืองเซวียนหยวน ไม่ใช่จักรวรรดิจ้านหลง เจ้ารู้หรือเปล่าว่าตัวเองพูดอะไรอยู่ เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับใคร!”
“กระหม่อมย่อมรู้ดีพ่ะย่ะค่ะว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับใคร องค์หญิง ท่านเป็นองค์หญิงของเมืองเซวียนหยวน ท่านควรยอมแพ้ตั้งแต่ตอนที่ท่านถูกปฏิเสธครั้งแรกแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะความหน้าไม่อายของท่าน คนที่ต้องอับอายจึงไม่ใช่เพียงแค่ตัวท่านเอง แต่ยังเป็นประชาชนคนอื่นๆ ของเมืองเซวียนหยวนด้วย” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายในเมืองเซวียนหยวนมีชื่อเสียงสูงส่ง ยิ่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นแข็งแกร่งเท่าใด เขาหรือนางก็จะยิ่งหยิ่งผยองมากเท่านั้น และไป๋เยว่ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ไม่เคยคิดมาก่อนว่านางจะถูกคนในเมืองของตัวเองตำหนิเช่นนี้ นางอ้าปากขึ้น แต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดลอดออกมาจากลำคอของนาง
รอบตัวนางมีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองอื่นๆ ยืนล้อมอยู่ พวกเขามองนางด้วยดวงตาเต็มไปด้วยการดูถูกอย่างเห็นได้ชัด และทำราวกับว่านางไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นองค์หญิง!
ใบหน้าของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์แดงก่ำเหมือนกับหัวใจโดนเอาไปลวกในน้ำร้อน นางไม่เคยรู้สึกขายหน้าต่อหน้าประชาชนเช่นนี้มาก่อน
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์มองไปที่ทูตของเมืองหวงจื่ออย่างคาดหวัง นางหวังว่าเขาจะสามารถให้การสนับสนุนนางได้
แต่หลังจากได้เห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้วยตาตัวเอง ทูตคนนั้นก็ตระหนักได้ว่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายของเมืองเซวียนหยวนไม่พอใจในตัวองค์หญิงของตัวเองมากเพียงใด ด้วยเหตุนี้ใต้เท้าหวังจึงไม่สามารถโต้แย้งพวกเขาได้
เขาเพียงแค่มองการณ์ไกล
ในเมื่อจักรวรรดิจ้านหลงเป็นผู้ชนะในการประลองนี้ แผนการล้อมโจมตีเมืองของพวกเขาจึงกลายเป็นหมันไป
การรีบถอนตัวและไปจากเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้คงจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับพวกเขา
หากทำเช่นนั้น องค์ชายสามก็น่าจะไม่ทำอะไรพวกเขา
อย่างไรก็คงไม่มีเมืองไหนกล้าลงมือทำอะไรรุนแรงกับทูตที่มาเยี่ยมเยือนตนเอง
พวกเขาย่อมปลอดภัย ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ไปยั่วยุองค์ชายสามอีก
เลวร้ายที่สุด พวกเขาก็เพียงแค่พ่ายแพ้ในการประลองนี้เท่านั้น
แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าสงครามเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น!
ตอนนั้นเองที่หนานกงเลี่ยในชุดเสื้อคลุมผู้บวงสรวงเดินเข้ามายังท้องพระโรง เขาใช้ดวงตาคู่งามนั้นกวาดมองไปทั่วห้องโถง และสุดท้ายจึงสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มว่า ”ดูเหมือนท่านจะจัดการเรื่องทางนี้เสร็จแล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ ทางกระหม่อมเองก็เช่นกัน ภารกิจที่ท่านมอบหมายให้ใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว กระหม่อมคิดว่าพวกเราคงได้ข่าวกันในเร็วๆ นี้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงพยักหน้าให้อีกฝ่ายแทนคำตอบ
คนฉลาดอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าทั้งสองกำลังวางแผนอะไรบางอย่างเอาไว้
องค์ชายวางแผนอะไรไว้อีกแล้วหรือ
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดของหนานกงเลี่ย
แต่พวกเขารู้สึกสับสนงุนงงกับการปรากฏตัวอันล่าช้าของเขา
ถ้ามีคนจากกรมพิธีการคอยช่วยเหลืออยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาก็คงไม่ประเมินจักรวรรดิจ้านหลงผิดไปถึงเพียงนี้
หนานกงเลี่ยพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีคนสามคนวิ่งเข้ามาในท้องพระโรง
พวกเขาสวมเครื่องแบบทหารแตกต่างกันไปตามแต่ละเมือง คอเสื้อของพวกเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าของพวกเขาดูไม่ดีนัก!
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าขอรับ”
“มีเหตุร้ายเกิดขึ้นขอรับ/พ่ะย่ะค่ะ!”
ซงเจิ้งเหวินเหรินรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นทหารเหล่านั้นคุกเข่าลงตรงหน้า ”ลุกขึ้นแล้วบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น!”
ทหารเหล่านั้นตัวสั่นระหว่างที่ตอบว่า ”เมืองเซวียนพ่ะย่ะค่ะ เมืองเซวียนถูกโจมตีอย่างกะทันหัน ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้องค์ชายกลับไปนำทัพโดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ซงเจิ้งเหวินเหรินไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขาผุดลุกขึ้นยืน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ!
เมืองเซวียนคือเมืองหลวงของเมืองเซวียนหยวน
หากเมืองเซวียนถูกโจมตี ทุกคนย่อมรู้ดีว่าชะตากรรมของเมืองเซวียนหยวนจะเป็นเช่นไร
ทหารจากเมืองอีกทั้งสองเมืองเข้ามาพร้อมกับข่าวเดียวกัน เมืองหลวงของพวกเขาถูกลอบโจมตี!
“ใครกันที่กล้าโจมตีเราในเวลานี้…” ใต้เท้าหวังยังพูดไม่ทันจบ เขาก็หันกลับไปมองทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว!
“ท่าน… เป็นท่านหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ปฏิเสธ เขาทิ้งบุตรแห่งราชานรกลงข้างตัว พร้อมกับจัดแขนเสื้ออย่างเฉยเมยขณะตอบว่า ”อืม”
เขาแค่ตอบสั้นๆ เพียงหนึ่งคำ โดยไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติมเลยหรือ!?
“องค์ชายสาม ท่านรู้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะว่าพวกเราเป็นพันธมิตรกัน และท่านไม่ควรทำร้ายทูต” ใต้เท้าหวังเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา ติดจะดูถูกว่า ”ข้ารู้ดี ดังนั้นมันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าไม่ได้ทำอะไรกับเจ้า แต่เจ้าก็โง่กว่าที่ข้าคิดเอาไว้ อีกทั้งการป้องกันบริเวณชายแดนของเจ้าก็ยังอ่อนแอเกินไป”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดตรงๆ แต่ทุกคนที่อยู่ในห้องก็เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อได้เป็นอย่างดี
ในเมื่อข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ ข้าก็เลยลงมือกับเมืองหลวงของเจ้าแทน เจ้าต้องชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ ขาของใต้เท้าหวังก็อ่อนยวบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นชายที่โหดเหี้ยมจริงๆ!
เดิมทีคิดว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะองค์ชายสามที่เพิ่งถูกแต่งตั้งขึ้นคนนี้ได้หากพวกเขาทั้งสามเมืองร่วมมือกัน
แต่สถานการณ์กลับพลิกกลับตาลปัตรทันทีที่องค์ชายสามเลือกจู่โจมเมืองหลวงของพวกเขาอย่างคาดไม่ถึง
ขณะที่พวกเขามัวแต่มุ่งความสนใจอยู่กับการประลองขับไล่วิญญาณร้าย ผู้ชายคนนี้ก็ส่งกองทัพของตัวเองไปยังเมืองหลวงของพวกเขา
ไม่มีใครคิดว่ากลอุบายนี้จะมาจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เขาไม่รู้ว่าที่เมืองอื่นเป็นอย่างไร แต่ทันทีที่ฮ่องเต้ของเขาได้ยินว่าเขามาถึงเมืองหลวงแห่งนี้พร้อมกับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ เขาก็คาดว่าตัวเองจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ส่งทหารไปประจำการที่ชายแดนทางใต้มากนัก…
ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดช่องว่างขึ้น และกลายเป็นจุดอ่อนให้ทัพศัตรูสามารถบุกเข้ามาในเมืองหลวงได้…
เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้วางแผนการทุกอย่างไว้แล้วตั้งแต่ต้น!
หลิวอวี้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่อู่จิ้งไม่เหมือนกับหลิวอวี้ เขาเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้ทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ”ทำไมข้าถึงไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนนะ ชายแดน ใช่แล้ว ชายแดนอย่างไรล่ะ! คนพวกนี้พยายามที่จะพากองทัพของตัวเองเข้ามาในเมืองหลวงของพวกเรา ดังนั้นการป้องกันบางจุดที่ชายแดนของพวกเขาย่อมอ่อนแอลง ถ้าพวกเราฉวยโอกาสโจมตีตอนนี้ เราย่อมสามารถโค่นเมืองหลวงของพวกเขาได้อย่างแน่นอน ฝ่าบาททรงเฉลียวฉลาดยิ่งนัก! เขาเปลี่ยนกลอุบายของคนพวกนี้ให้กลายเป็นกับดัก ช่างเป็นแผนการที่ดีจริงๆ!”
มาถึงตอนนี้ หลิวอวี้ที่ตอนแรกยังรู้สึกงุนงงอยู่ก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเมื่อได้ฟังคำอธิบายของอู่จิ้ง
อีกฝ่ายต้องการบีบบังคับให้องค์ชายแต่งงานทางการเมือง และคิดว่าองค์ชายมีเพียงทางเลือกเดียว
แต่อีกฝ่ายกลับคิดไม่ถึงว่าในขณะที่พวกเขากำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่นั้น เมืองของพวกเขาจะถูกองค์ชายยึดไปเสียแล้ว…