“ช่วงนี้สุนัขหมาป่าตัวน้อยที่เราเลี้ยงเอาไว้เห่าไม่หยุดจนน่าขนลุก มิหนำซ้ำยังเห่าเวลาเดิมทุกวันเสียด้วย ข้าไม่กล้าบอกเจ้าหน้าที่เรื่องนี้ เพราะผู้เฒ่าผู้แก่ว่ากันว่าถ้าสุนัขเห่าตอนกลางคืน ถ้าไม่ใช่เพราะขโมยเข้าบ้านก็ต้องเป็นเพราะมีเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้น เมื่อครู่นี้มันก็เพิ่งเห่าไป ดังนั้นข้าจึงเป็นห่วงบุตรสาวอย่างมาก คุณชาย ถ้าท่านมีหนทางที่จะสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ ท่านจะช่วยข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
มารดาของหลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามจากใจจริง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมตกลง นางกล่าวเสริมว่า ”ข้าจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งฮวงจุ้ยบ้านของท่านเสียก่อน” จากนั้นนางจึงสามารถเข้าไปในบ้านของตะกูลเหยียนได้สำเร็จ
ตะกูลเหยียนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยหน้าตาธรรมดาแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ที่สวนหน้าบ้านของพวกเขามีกะหล่ำปลีปลูกเอาไว้ พวกเขาเป็นครอบครัวฐานะปานกลาง แต่หลังจากกวาดสายตาสำรวจรอบบ้านเสร็จ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติแม้แต่อย่างเดียว สุดท้ายสายตาของนางจึงไปหยุดอยู่ที่สุนัขล่าเนื้อที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด
คนอื่นๆ มองไม่เห็นสุนัขล่าเนื้อ แต่สุนัขหมาป่าตัวน้อยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของราชาแห่งเผ่าพันธุ์เดียวกับมัน มันค่อยๆ ยื่นเท้าออกไปข้างหน้าและไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมา
มารดาของหลิ่วเอ๋อร์รู้สึกว่าท่าทางของมันดูแปลกตา ”เมื่อครู่นี้มันยังเห่าอยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงเงียบไปล่ะ”
สุนัขหมาป่าตัวน้อยไม่ตอบ มันคิดในใจว่า : …จะไม่ให้ข้าเงียบได้อย่างไรในเมื่อมีสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่ายืนอยู่ต่อหน้าข้าเช่นนี้
ลูกพี่เชียวนะลูกพี่!
สุนัขหมาป่าตัวน้อยแตกต่างไปจากสุนัขล่าเนื้อผู้สง่างาม มันวิ่งวนเป็นวงกลมด้วยท่าทางทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งสัญญาณให้สุนัขล่าเนื้อทางสายตา
สุนัขล่าเนื้อเข้าไปหาสุนัขหมาป่าตัวน้อย แล้วเห่าใส่มันสองครั้ง
เป็นอย่างที่คิด สุนัขหมาป่าตัวน้อยดูดีใจอย่างมาก มันเห่ากลับเหมือนกำลังตอบสุนัขล่าเนื้อ
มารดาของหลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้สนใจมัน นางหันหน้าไปถามเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”คุณชาย บ้านเราไม่ได้มีอะไรผิดปกติใช่ไหม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงตอบนางในลำคอ แต่สายตาของนางกลับแสดงให้เห็นว่านางกำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง นางเดินสำรวจรอบละแวกนี้มาแล้ว และบ้านทุกหลังก็ดูปกติดี แม้กระทั่งที่ซอยนั้นก็ยังไม่มีปราณหยินอยู่เลย ถ้าที่นี่มีผีจริง เช่นนั้นองค์ชายก็คงสัมผัสได้ตั้งแต่แรกแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงสุนัขล่าเนื้อเลยด้วยซ้ำ แต่หลังจากตรวจสอบสถานที่โดยรอบดูแล้ว พวกเขาก็ไม่พบอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของเฮ่อเหลียนเวยเวย มารดาของหลิ่วเอ๋อร์ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่นางก็รู้สึกผิดหวังในเวลาเดียวกัน ช่วงนี้นางรู้สึกจิตใจไม่สงบนัก ดังนั้นนางจึงคิดว่าที่นี่ต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจความกังวลของอีกฝ่ายดี นางจึงเสริมว่า ”ฮวงจุ้ยไม่มีอะไรผิดปกติ แต่แนวโน้มโดยทั่วไปของที่อยู่อาศัยในละแวกนี้ไม่ค่อยดีนัก ฮูหยิน หากท่านสะดวกใจ จะช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าหญิงสาวที่หายตัวไปมีจุดร่วมเหมือนกันที่ตรงไหนหรือ ท่านบอกข้าในสิ่งที่ท่านไม่ได้บอกกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้ ไม่อย่างนั้น ต่อให้ข้าจะเต็มใจช่วยเหลือบุตรสาวของท่าน แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน”
มารดาของหลิ่วเอ๋อร์ตอบอย่างลังเลว่า ”เราทุกคนต่างอาศัยอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน และได้พบหน้ากันอยู่บ่อยครั้ง ผู้หญิงพวกนั้นไม่มีความเชื่อมโยงอะไรกันเป็นพิเศษ แต่พวกนางล้วน…” นางหยุดพูดไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าลำบากใจที่จะพูดต่อ
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนาง ”ฮูหยิน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุผลในตัวของมัน ข้าเกรงว่าภูตผีเหล่านี้คงไม่มีทางไปจากที่นี่หากเราไม่สามารถหาต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ได้”
มารดาของหลิ่วเอ๋อร์หน้าซีดกับคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ข้าเพียงแค่กลัวว่าถ้าข้าปล่อยข้อมูลนี้รั่วไหลออกไป แล้วมันจะเป็นการทำให้ชื่อเสียงของพวกนางแปดเปื้อนเอาได้ ผู้หญิงพวกนั้นรักใคร่ชอบพอกับบุตรชายคนรองของใต้เท้าจาง และเขาก็มักจะมาที่ซอยนี้บ่อยๆ”
แม้นางจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สามารถเข้าใจความหมายในคำพูดของนางได้ ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย บุตรชายคนรองของใต้เท้าจางหรือ
“ท่านแม่อย่าพูดจาเหลวไหลสิเจ้าคะ” เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ดึงชายเสื้อของผู้เป็นแม่พร้อมกับกัดริมฝีปากบางของตัวเอง ”ถ้ามีใครมาได้ยินที่เราคุยกันเข้าล่ะ”
มารดาของหลิ่วเอ๋อร์ตั้งสติกลับมาได้อีกครั้ง นางหันหน้าไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยพลางบอกว่า ”คุณชายโปรดอย่าเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ได้หมายความอันใดมากไปกว่านั้น อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เข้าได้นะเจ้าคะ”
“ฮูหยินไม่ต้องกลัว ข้ามิใช่คนปากสว่าง” เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองไปทางเหยียนหลิ่วเอ๋อร์อย่างสงสัย ถ้าเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไม่ใช่คนร้าย และบ้านของนางไม่มีสิ่งผิดปกติอันใดละก็ ทำไมนางถึงไม่ได้รับอันตรายอันใดเลยเล่า เพราะนางเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบุตรชายคนรองของใต้เท้าจางหรือ
หลังจากได้ข้อมูลที่ต้องการ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหันหน้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
องค์ชายยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลาที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคุยกับฮูหยิน
แต่เสน่ห์ของเขาก็ยังมีมากพอที่จะทำให้คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หน้าแดงได้
และเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ”คุณชาย ดื่มชาไหมเจ้าคะ”
ตอนนั้นเอง อะไรบางอย่างก็วิ่งผ่านเท้าของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไป นางกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับเซไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโดยไม่ทันได้มองมัน ”มีบางอย่าง มีบางอย่างอยู่ตรงนั้น!”
ทันใดนั้น หมอกสีดำก็ลอยขึ้นบนท้องฟ้าอันมืดมิดและไร้สายลม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูเหมือนจะหลอมรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของความมืดนั้น สายตาโหดเหี้ยมและเย็นชาของเขามองมือเล็กๆ ที่วางอยู่บนแขนของเขา รอยยิ้มเหยียดหยันของเขาถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกคุกคามที่ทำให้ทุกคนตัวสั่นสะท้าน
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ตระหนักได้ว่าการกระทำของนางไม่เหมาะสม นางจึงยิ่งรู้สึกอาย แต่นางก็ไม่ทันสังเกตเห็นความกระหายเลือดที่วาดผ่านดวงตาของชายหนุ่ม
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้จักองค์ชายดี นางจับแขนไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไว้ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”นางไม่ได้ตั้งใจ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงมีสีหน้าเย็นชาไม่แยแส แต่ความโหดเหี้ยมในดวงตาของเขากลับหายไป เขาถอดเสื้อคลุมด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วโยนมันลงบนพื้นอย่างไม่สนใจ
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์เอ่ยตะกุกตะกักด้วยความอับอายกับการกระทำของตัวเอง ”ข้าไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างวิ่งผ่านเท้าของข้าไป ข้าก็เลย…”
“หลิ่วเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” มารดาของหลิ่วเอ๋อร์ถามอย่างเป็นห่วง
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า แล้วมองที่เท้าของตัวเอง จากนั้นจึงลูบแขนตัวเอง ”คงเป็นหนูกระมัง แต่ทำไมในเวลาเช่นนี้ถึงมีหนูได้ล่ะ อีกอย่าง พวกมันไม่กลัวมนุษย์หรือ”
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเบิกกว้าง จริงอยู่ที่ในฤดูกาลนี้น่าจะมีหนูตัวเล็กวิ่งอยู่ตามท้องถนน แต่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว พวกหนูไม่กลัวอากาศหนาวหรือ เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเหตุการณ์นี้จะเหมือนกับที่ทะเลสาบชิงหลง ปราณแห่งความเคียดแค้นหนาแน่นเสียจนบังคับให้พวกหนูออกมาหรือ ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้ามีปราณแห่งความเคียดแค้นอยู่ในอากาศจริงๆ องค์ชายก็น่าจะสังเกตเห็นแล้ว
แต่องค์ชายกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
‘หนูพวกนี้ผิดปกติ’
นานแล้วที่นางไม่ได้ใช้กระแสจิตสื่อสารกับคนอื่น
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงทุ้มลึกอันไพเราะน่าฟังขององค์ชาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าตัวเองคิดถึงหยวนหมิงที่มักจะทำเพียงแค่หัวเราะคิกคักใส่นางขึ้นมา
‘คิดถึงหยวนหมิงหรือ หืม’ น้ำเสียงนั้นดังขึ้นในกระแสจิตของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า ‘ไม่เลยสักนิด’
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามองนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบเปลี่ยนประเด็นทันที ‘ทำไมหนูพวกนี้ถึงผิดปกติล่ะ’
“พวกมันไม่มีวิญญาณ…”