ถึงแม้ว่าสกุลหลัวจะเขียนจดหมายมาถามถึงรายละเอียดของกำหนดการงานแต่งงาน แต่ตอนที่อิงเหนียงแต่งเข้าจวนจริงนั้นก็ปาไปต้นเดือนสิบสองแล้ว
หลังจากที่กราบไหว้ฟ้าดินและพบปะทักทายสกุลญาติเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวีซื่อเจี้ยและอิงเหนียงก็ไปคารวะไท่ฮูหยิน
เมื่อเห็นคู่บ่าวสาวที่สวมชุดแต่งงานสีแดงสด สีหน้าของไท่ฮูหยินก็เต็มไปด้วยความปิติยินดี กุมมือของอิงเหนียงไว้พร้อมกับพยักหน้าไม่หยุด จากนั้นก็หันไปถามฮูหยินสองที่คอยปรนนิบัติดูแลอยู่ข้างๆ ว่า “เจ้าดูสิ หน้าตาเหมือนสืออีเหนียงหรือไม่”
ความจริงแล้วหน้าตาของทั้งสองคนไม่ได้คล้ายกันเลย
แต่ไท่ฮูหยินรักและเอ็นดูสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก ตอนนี้ฮูหยินสองเองก็ปรนนิบัติต่อไท่ฮูหยินราวกับว่าไท่ฮูหยินเป็นเด็กน้อยก็ไม่ปาน เมื่อได้ยินแล้วฮูหยินสองก็หันไปสังเกตใบหน้าของอิงเหนียงอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ข้าเองก็รู้สึกว่าเหมือนอยู่บ้างเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้าง ดวงตาหรี่เล็กและโค้งงอราวกับจันทร์เสี้ยวก็ไม่ปาน จากนั้นก็พูดกับอิงเหนียงว่า “ตอนที่อาหญิงของเจ้าแต่งเข้ามาก็อายุพอๆ กับเจ้า แต่คำพูดคำจาและการกระทำไม่ประหม่าแม้แต่นิดเดียว ตรงจุดนี้ เจ้าเหมือนอาหญิงของเจ้าไม่มีผิด”
ถึงแม้ว่าอิงเหนียงจะเป็นคนนิสัยเปิดเผยและตรงไปตรงมา แต่อย่างไรเสียก็เป็นเจ้าสาว ถูกไท่ฮูหยินเชยชมเช่นนี้ ใบหน้าของนางจึงแดงก่ำขึ้นมาทันที
“ข้าจะเทียบท่านอาหญิงได้อย่างไรกันเล่า!” อิงเหนียงพูดขึ้นอย่างถ่อมตน “ท่านอาหญิงนิสัยดี อีกทั้งยังมีความรู้และสติปัญญาดีเยี่ยม สิ่งที่ข้าต้องเรียนรู้ยังอีกมากมายเจ้าค่ะ!”
“ผิดแล้ว ผิดแล้ว!” นางเพิ่งจะพูดจบ คุณนายสามสกุลหวงที่มาพร้อมกับนางก็พูดหยอกล้อว่า “ตอนนี้เรียกท่านอาหญิงไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนไปเรียกท่านแม่แทน!”
อิงเหนียงได้ยินแล้วก็ทำตัวไม่ถูกด้วยความเคอะเขิน
ทุกคนเห็นแล้วต่างก็พากันหัวเราะด้วยความเอ็นดู
ป้าตู้นำของขวัญเจอหน้าที่ได้เตรียมเอาไว้มายื่นให้กับอิงเหนียง ไท่ฮูหยินปลดกำไลลูกปัดพลอยปี้สี่ออกจากข้อมือไปสวมให้กับอิงเหนียง “สิ่งนี้ก็มอบให้เจ้าด้วย” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ต่อไปภายภาคหน้าก็ให้ใช้ชีวิตกันดีๆ รีบผลิดอกออกผลให้แก่สกุลสวีในเร็ววัน”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” ทั้งสองก้มหน้าลงต่ำพลางขานรับเสียงเบาอย่างพร้อมเพรียง
ฮูหยินสองมอบเครื่องประดับผมไข่มุกตงจูหนึ่งคู่เป็นของขวัญเจอหน้า
สวีซื่อเจี้ยและอิงเหนียงกล่าวขอบคุณ จากนั้นคุณนายสามสกุลหวงที่อยู่ข้างๆ พูดอวยพรด้วยคำพูดที่เป็นสิริมงคล เมื่อเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว ก็เอ่ยขอตัวกับไท่ฮูหยินและฮูหยินสองเพื่อไปที่งานเลี้ยง
บรรยากาศในเรือนจึงเงียบสงบลง ไท่ฮูหยินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ค่อยๆ เอนตัวพิงลงบนหมอนอิงใบใหญ่ “ตอนนี้ก็เหลือแค่รอซินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานออกเรือนแล้ว” น้ำเสียงราวกับว่าเพิ่งทำการใหญ่สำเร็จอย่างไรอย่างนั้น
ฮูหยินสองยิ้มขึ้นด้วยความเข้าใจ จากนั้นก็เปลี่ยนถ่านเตาอังมือมาใหม่ “ท่านแม่ตั้งตาคอยตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนนี้ได้เจอหน้าเจ้าสาวแล้ว รีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ
ฮูหยินสองช่วยไท่ฮูหยินขยับชายผ้านวมห่มให้ทั่วถึง จากนั้นก็นั่งเฝ้าไท่ฮูหยินอย่างเงียบเชียบ เมื่อเห็นว่าลมหายใจของไท่ฮูหยินสม่ำเสมอแล้ว ก็หยิบหนังสือที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาอ่าน
*****
เจียงซื่อเปลี่ยนไปสวมชุดเป้ยจื่อลายคนโทสีแดงกุหลาบเรียบๆ พลางหันไปถามกับเป่าจูว่า “ถิงเกอเล่า”
“เพิ่งจะนอนหลับไปเจ้าค่ะ!” เป่าจูตอบกลับพลางยกถ้วยน้ำชามาให้เจียงซื่อด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “มีแม่นมคอยดูแลอยู่ ถิงเกอเล่นสนุกสนานเป็นอย่างมาก ท่านวางใจเถิด! ช่วงนี้ท่านเองก็เหนื่อยมากแล้ว”
สวีซื่อเจี้ยแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ถึงแม้ว่าจะมีแม่สามี แต่รายละเอียดของงานต่างๆ นางก็ยังต้องลงมือทำเองอยู่ดี เมื่อสามารถดูแลและต้อนรับเจ้าสาวคนใหม่เข้ามาในจวนได้อย่างราบรื่นโดยที่ไม่มีอะไรผิดพลาด นางจึงค่อยๆ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เจียงซื่อพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ รู้สึกผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจไปไม่น้อย นางกำลังจะถามถึงสวีซื่อจุน แต่สวีซื่อจุนก็กลับมาถึงพอดี
งานแต่งงานของสวีซื่อเจี้ย สวีซื่อจุนเป็นคนดูแลจัดการทางฝั่งลานนอกทุกอย่าง
“ท่านพี่!” เจียงซื่อลุกขึ้นพลางเดินเข้าไปช่วยสวีซื่อจุนผลัดผ้า “แขกที่อยู่ด้านนอกกลับไปหมดแล้วหรือเจ้าคะ”
“ข้าเปลี่ยนเองดีกว่า!” สวีซื่อจุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “หลายวันมานี้เจ้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว” จากนั้นก็หันไปสั่งให้สาวใช้น้อยช่วยเขาผลัดผ้า แล้วพูดกับเจียงซื่อว่า “เวยเป่ยโหวและหย่งชังโหวซื่อจื่อยังไม่กลับ ตอนนี้กำลังดื่มสุรากับท่านพ่อที่โถงบุปผาของลานนอก!”
เจียงซื่อได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนว่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ชะงักไป
“มีอะไรหรือ” สวีซื่อจุนถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“เปล่าเจ้าค่ะ!” เจียงซื่อยิ้มพร้อมกับรีบตอบกลับ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี จึงตัดสินใจพูดขึ้นว่า “ท่านพี่ ท่านพ่อยังไม่ได้กลับมาพักผ่อน ท่านกลับมาเร็วขนาดนี้…ไม่ต้องอยู่ปรนนิบัติดูแลหรือ”
“ข้าเองก็อยากจะอยู่ปรนนิบัติดูแลอยู่ข้างๆ” สวีซื่อจุนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “แต่ท่านพ่อให้ข้ารีบกลับมาพักผ่อน ทางนั้นยังมีน้องหกคอยดูแล ข้าก็เลยกลับมาก่อน!” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงยิ้มกว้างพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่เห็นท่าทีของน้องหก เขาถือสุราหนึ่งกาไว้ในมือ เห็นจอกสุราของใครหมดก็รีบเข้าไปเติมสุราให้เต็มทันที ไม่สนใจว่าคนอื่นเขากำลังพูดคุยหรือกำลังทานอาหารอยู่ จนทำให้เวยเป่ยโหวไม่กล้าจะวางจอกสุราเสียด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าหากไม่ทันระวังแม้แต่นิดเดียว ก็จะถูกน้องหกเติมสุราจนเต็มจอก…”
“จริงหรือเจ้าคะ” เจียงซื่อได้ยินแล้วก็หัวเราะตาม แต่กลับดูฝืนเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าท่านพี่จะไม่รู้จักทำตัวให้ผู้อื่นเอ็นดู…
“ท่านเองก็จริงๆ เชียว” นางพูดขึ้นด้วยความจนใจ “น้องหกอายุยังน้อย ท่านเองเป็นพี่ชาย แต่ไม่รู้จักดูแลน้องชายเลย!”
สวีซื่อจุนได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้น “หย่งชังโหวซื่อจื่อเป็นคนพูดเองว่าเขาเป็นซื่อจื่อ ข้าเองก็เป็นซื่อจื่อ หากข้าอยู่ที่นั่นด้วยมีแต่จะทำให้เขาทำตัวไม่ถูก ฉะนั้นน้องหกก็เลยอาสาเดินเติมสุราให้แขกแทนข้า…”
ถึงแม้ว่าจะเป็นซื่อจื่อเหมือนกัน แต่หย่งชังโหวเป็นผู้อาวุโส…คนอื่นเขาพูดไปตามมารยาท แต่ท่านกลับถือเป็นเรื่องจริง!
เจียงซื่อแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว ท่านพี่รีบพักผ่อนเถิด! พรุ่งนี้ยังต้องไปร่วมทานอาหารที่ตรอกกงเสียนอีก!”
สวีซื่อจุนพยักหน้าตอบกลับเบาๆ จากนั้นก็พากันพูดคุยถึงเรื่องงานของพรุ่งนี้ “น้องใหญ่กับน้องห้าจะมาร่วมส่งตัวเจ้าสาวด้วย บอกว่าจะเดินทางกลับอวี๋หังวันมะรืนนี้ ข้าอยากจะเลี้ยงอาหารพวกเขาที่หอชุนซีเพื่อเป็นการส่งท้าย”
น้องใหญ่ในที่นี้หมายถึงหลัวเจียซิว และน้องห้าหมายถึงหลัวเจียเกิง
“จะทันเวลาหรือเจ้าคะ” เจียงซื่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง “พรุ่งนี้ทางน้องสะใภ้ห้าจะกลับไปเยี่ยมสกุลเดิม ทางฝั่งตรอกกงเสียนคงจะเตรียมอาหารมื้อค่ำให้พวกเขาทานเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยกลับมากระมัง!”
“ถึงเวลานั้นก็พาน้องห้าไปด้วยเลยดีกว่า” สวีซื่อจุนไม่คิดเช่นนั้น เขายิ้มพร้อมกับเดินเข้าห้องชำระไป
เจียงซื่อจ้องมองเงาแผ่นหลังของสวีซื่อจุน พูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่
เมื่อไรสามีจะเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักคิดเผื่อคนอื่นเสียที!
ดึงตัวน้องห้าไปด้วยดื้อๆ เช่นนี้ น้องห้าควรจะไปด้วยหรือไม่ไปดีเล่า
กลับไปเยี่ยมสกุลเดิมแต่ขาดพี่น้องของสามี ยังสามารถเรียกว่างานเลี้ยงเยี่ยมญาติสกุลเดิมได้อยู่อีกหรือ
*****
สวีซื่ออวี้ได้ยินว่าจิ่นเกอคอยเดินเติมสุราที่โถงบุปผาก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที จากนั้นก็โน้มตัวไปลูบศีรษะของอิ๋งอิ๋งที่มาคารวะเขาอย่างเบามือ “อิ๋งอิ๋ง ท่านอาหกของเจ้าแสนรู้ยิ่งนัก! เห็นได้ชัดว่าหย่งชังโหวซื่อจื่อต้องการยืมมือท่านอาหกของเจ้าไปมอมสุราเวยเป่ยโหว เพียงแต่ไม่รู้ว่าหย่งชังโหวซื่อจื่อชื่นชอบอะไรในตัวท่านอาหกของเจ้า”
ตอนนี้อิ๋งอิ๋งเริ่มพูดเป็นแล้ว นางกะพริบดวงตากลมโต พลางลอกเลียนแบบการพูดและท่าทีของบิดา “ท่านอาหกแสนรู้ยิ่งนัก!”
สวีซื่ออวี้เห็นแล้วก็หัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ
เซี่ยงซื่อเองก็เดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อิ๋งอิ๋ง ห้ามพูดจาเหลวไหลอีก เข้าใจหรือไม่ ท่านอาหกไม่ใช่คนที่เจ้าจะสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ตามอำเภอใจได้ นี่ก็ไม่เช้าแล้ว ยังไม่รีบไปเข้านอนอีก”
บิดาใจกว้างและอ่อนโยน มารดาเข้มงวดและเคร่งครัด อิ๋งอิ๋งจึงค่อนข้างชอบบิดาที่ไม่ค่อยอยู่จวนเสียมากกว่า
นางจึงหันไปแลบลิ้นให้กับสวีซื่ออวี้ จากนั้นก็รีบขานรับว่า “เจ้าค่ะ” พลางย่อตัวทำความเคารพสวีซื่ออวี้ด้วยความนอบน้อม ถอยออกจากเรือนไปพร้อมกับแม่นม
สวีซื่ออวี้ค่อยๆ หุบยิ้มลง จากนั้นก็หันไปถามเซี่ยงซื่อว่า “ท่านแม่เข้านอนแล้วหรือ”
“ยังเจ้าค่ะ!” เซี่ยงซื่อตอบกลับเสียงเบา “ท่านแม่บอกว่าจะปักผ้าต่ออีกสักประเดี๋ยว แต่ดูเหมือนกำลังรอท่านพ่อ ข้าก็เลยกลับเรือนมาก่อน!”
สวีซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็กำชับนางว่า “เรื่องในจวนเจ้าไม่ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งจะเป็นการดีกว่า แต่เรื่องในเรือนของท่านแม่ เจ้าควรดูแลและเอาใจใส่เป็นพิเศษ เรื่องทำรองเท้าถุงเท้า รวมไปถึงการปักผ้าต่างๆ หากมีเวลาว่างก็ไปช่วยนางบ้าง”
เซี่ยงซื่อขานรับด้วยน้ำเสียงที่เคารพ จากนั้นก็ปรนนิบัติสวีซื่ออวี้ชำระล้างร่างกาย
*****
สืออีเหนียงรอจนดึกดื่นเที่ยงคืน สวีลิ่งอี๋ที่ดื่มสุราจนเมามายก็กลับมาในที่สุด
“พรุ่งนี้เช้าตรู่เจี้ยเกอกับอิงเหนียงยังจะต้องเข้าพิธีอีก” สืออีเหนียงประคองสวีลิ่งอี๋พลางบ่นขึ้นพึมพำด้วยความฉุนเฉียว “พรุ่งนี้ท่านอย่าได้ลุกไม่ขึ้นเพราะปวดหัวเชียว!”
“ไม่หรอก” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางเชยคางของสืออีเหนียงขึ้นมา “เรื่องของเจ้า ข้ายังจำได้มิลืม!”
สาวใช้ที่เข้าเวรกลางคืนต่างก็พากันก้มหน้าลงต่ำทันที แสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
สืออีเหนียงยิ้มพลางปัดมือของสวีลิ่งอี๋ออก “รีบเข้านอนเถิดเจ้าค่ะ! อย่ามาพูดจาเมามายแถวนี้ให้มากนัก!”
“อย่างข้าเรียกว่าเมามายหรอกหรือ!” สวีลิ่งอี๋ปรายตามองสืออีเหนียง ตาหงส์กลมโตเป็นประกายแวววาวชัดเจน “เจ้ายังไม่เคยเห็นตอนที่ข้าเมาจริงๆ!” พูดจบเขาก็อุ้มสืออีเหนียงขึ้นมาทันที “วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ ว่าข้าเมาสุราแล้วจะเป็นอย่างไร!”
สืออีเหนียงร้องอุทานด้วยความตกใจ รีบโอบกอดรอบคอของเขาไว้แน่น “สวีลิ่งอี๋…” น้ำเสียงตกใจเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็ค่อยๆ วางสืออีเหนียงลงบนเตียง “ข้าล้อเจ้าเล่นหรอก!” พูดจบก็ยื่นมือไปลูบแก้มของสืออีเหนียงอย่างเบามือ “วันนี้ข้าดื่มเยอะไปหน่อยจริงๆ!” พูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ สืออีเหนียง “มั่วเหยียน จิ่นเกอของเราฉลาดหลักแหลมเสียจริง ตรุษจีนปีนี้ พาเขาเข้าวังเถิด!”
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
ปีที่ผ่านมาสวีลิ่งอี๋ยังหาข้ออ้างไม่อยากให้จิ่นเกอเข้าวังอยู่เลย
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบ “ท่านโหวรู้สึกว่าจิ่นเกอนิสัยดีขึ้นมากแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่!” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “จื่อฉีอยากจะมอมสุราเวยเป่ยโหวให้เมามาย แต่ก็กลัวว่าบ่าวรับใช้ชายทั่วไปจะไม่กล้าเข้ามารินสุรา ก็เลยตั้งใจว่าจ้างจิ่นเกอสองร้อยตำลึง จิ่นเกอไม่ได้รับเงินมา แต่กลับพูดว่าจื่อฉีไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นหลานชาย พลอยทำให้จื่อฉีชื่นชอบเขาเป็นอย่างมากว่าเขาฉลาดและรู้เรื่อง เวลาที่รินสุราให้เวยเป่ยโหว เขาก็จะรินจนครบทั้งโต๊ะ ไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว ทุกครั้งที่จื่อฉีและเวยเป่ยโหวดวลสุรา เขาก็จะหาโอกาสเข้าไปเติมสุราให้กับเวยเป่ยโหวทุกครั้ง อีกทั้งยังพูดจาสนุกสนานและตลกขบขัน จนเวยเป่ยโหวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จะไม่ดื่มก็ไม่ได้ ตอนนี้เวยเป่ยโหวเมาหมดสติไปแล้ว เขาก็เรียกบ่าวรับใช้คนสนิทพาเวยเป่ยโหวไปนอนพักที่ห้องรับรอง จากนั้นก็สั่งให้ห้องครัวทำน้ำแกงสร่างเมามาให้เวยเป่ยโหว ยังช่วยชงน้ำชาและยกน้ำร้อนมาให้อีกด้วย…” ขณะที่พูดอยู่นั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ “ข้าคิดว่าถึงแม้เวยเป่ยโหวจะรู้ว่าจิ่นเกอถูกจื่อฉีไหว้วานให้มาช่วยมอมสุราเขา เกรงว่าคงจะไม่กล่าวโทษจิ่นเกอเสียด้วยซ้ำ มั่วเหยียน” สวีลิ่งอี๋หันมากุมมือของสืออีเหนียง “จิ่นเกอรู้ว่าควรจะต้องวางตัวอย่างไร เขาจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน!”
นับประสาอะไรกับตระกูลเช่นพวกเขา จะไม่เข้าวังตลอดไปได้อย่างไรกัน
สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ กฎระเบียบบางอย่าง ท่านโหวยังต้องอบรมสอนสั่งเขาให้มากถึงจะถูก”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ
เมื่อสวีซื่อเจี้ยสองสามีภรรยากลับไปเยี่ยมญาติสกุลเดิมในวันที่สาม ก็ได้ส่งหลัวเจียซิวและคนอื่นๆ เดินทางกลับอวี๋หัง ในจวนก็เริ่มเตรียมตัวต้อนรับเทศกาลตรุษจีน สวีลิ่งอี๋เรียกจิ่นเกอให้มาติดตามข้างกาย เริ่มสอนกฎระเบียบและขนบธรรมเนียมในการเข้าวังให้กับเขา อธิบายให้เขาฟังว่าในวังมีใครบ้าง ขันทีเน่ยซื่อที่คอยติดตามแต่ละคนนั้นมีใครบ้าง ขันทีเน่ยซื่อมีหน้าที่ดูแลและจัดการเรื่องใดบ้าง แต่ละคนมีนิสัยใจคออย่างไร…
จิ่นเกอตั้งอกตั้งใจฟังราวกับว่ามันเป็นนิทานอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อถึงวันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนอ้าย จิ่นเกอก็ติดตามสืออีเหนียงเข้าวังด้วยความดีอกดีใจ
ปีที่ผ่านๆ มาสวีลิ่งอี๋คอยหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงอยู่ตลอดเวลา ฮองเฮาทรงเข้าพระทัยถึงเจตนาของเขาเป็นอย่างดีก็เลยไม่ได้บังคับแต่อย่างใด จะว่าไปแล้ว ฮองเฮาได้เจอกับจิ่นเกอครั้งล่าสุดก็ตอนที่จิ่นเกอยังถูกห่ออยู่ในผ้าอ้อมอยู่เลย เมื่อได้ยินว่าจิ่นเกอเข้าวัง ฮองเฮาก็ทรงรู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะรอไม่ไหว รีบสั่งกับหวงเสียนอิงว่า “เร็วเข้า รีบไปพาจิ่นเกอมาให้ข้าดู!”
หวงเสียนอิงหันไปมองนาฬิกาน้ำที่ทำจากเครื่องเคลือบเขียนสีฟ่าหลังสีฟ้า…นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเข้าเฝ้าแล้ว…แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ตื่นเต้นของฮองเฮาจนทรงลุกขึ้นมายืน นางจึงตัดสินใจที่จะไปพาคุณชายน้อยหกของจวนหย่งผิงโหวเข้ามาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที