หากพิจารณาดูจากเวลาและเงื่อนไขในการก่ออาชญากรรมแล้ว คนที่จะสามารถก่อเหตุได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปโดยไม่ทิ้งแม้กระทั่งร่องรอยได้ย่อมมีแต่คนที่อาศัยอยู่ในถนนเส้นนี้เท่านั้น
จากคำบอกเล่าของทหารรักษาการณ์ เขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
เขาคิดว่าตัวเองคงหูฝาดไป เพราะมันเกิดขึ้นในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์เองก็บอกว่าวันนี้นางรู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจับตามองนางอยู่ในตอนที่นางกลับมา
สัญชาตญาณแรกของเฮ่อเหลียนเวยเวยบอกนางว่าเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้คิดมากไปเอง บางครั้งสัมผัสที่หกของมนุษย์ก็สามารถตรวจจับอันตรายได้เร็วกว่าสายตา
นั่นหมายความว่าอันตรายจากเวลานั้นซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งบนถนนเส้นนี้
ถ้าสมมติฐานของเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกต้อง ทหารรักษาการณ์คนนั้นก็คงไม่ได้หูฝาด แต่เหยื่อรายนั้นร้องขอความช่วยเหลือขึ้นครั้งหนึ่งจริงๆ
จุดนี้เองที่น่าสงสัย
ในสถานการณ์ปกติ ปฏิกิริยาแรกเวลาที่คนเรารู้สึกได้ถึงอันตรายก็คือการหยุดยืนอยู่กับที่ และเร่งฝีเท้าขึ้นทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนคนนั้นสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังเดินตามหลังตัวเองมา
มนุษย์จะร้องขอความช่วยเหลือโดยสัญชาตญาณก็ต่อเมื่ออันตรายใกล้เข้ามาถึงตัวแล้ว
แต่มันก็ควรจะมีเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างน้อยสองครั้ง!
มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางธรรมชาติของมนุษย์
แต่คืนนั้นยามรักษาการณ์กลับได้ยินเสียงร้องแค่ครั้งเดียว
ยิ่งกว่านั้น นอกจากเหยื่อรายแรกแล้ว ก็ไม่มีใครร้องขอความช่วยเหลือออกมาอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถหยุดคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานาเหล่านั้นได้
ตอนแรกนางไม่อยากเปิดเผยตัวว่าพวกนางเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก่อนจะสามารถเปิดโปงความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังจุดที่น่าสงสัยนี้ได้
แต่สิ่งที่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์พูดเมื่อครู่นี้ทำให้แผนการของนางพังไม่เป็นท่า…
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ในใจ เวลานี้นางทำได้แค่สวมรอยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยเท่านั้น
ทันทีที่คุณชายรองจางได้ยินเสียงร้องขอความเมตตาด้วยใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัดของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ เขาก็ยิ่งรู้สึกเกลียดชังไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ่งขึ้น แต่เขาก็ยังทำท่าเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายถูก แล้วพูดขึ้นว่า ”แม่นางเหยียน ข้าเข้าใจว่าเจ้าอยากช่วยพวกเขา แต่มีใครพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยจริงๆ ถ้าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยจริง เช่นนั้นทำไมพวกเขาจึงเลือกที่จะโผล่มาในเวลานี้ พวกเขาเพิ่งมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่หลังจากที่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ไม่มาเร็วหรือช้าไปกว่านี้ ข้าเดาว่าพวกเขาคงสำรวจซอยนี้มาได้ระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้จักกระทั่งทางลัดนี้ ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาวางแผนอะไรไว้ ในความคิดของข้า ข้าว่าพวกเขาคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูฮวงจุ้ยหรอก!”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้งคุณชายรองจางก็ฉลาดยิ่งนัก
ความฉลาดของเขานี่เองที่ทำให้ฝูงชนยิ่งรู้สึกระแวง ชาวบ้านจากบ้านหลายหลังต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่านางคงไม่สามารถหาข้อมูลต่อได้ในระหว่างที่สวมรอยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย ดังนั้นนางจึงเริ่มสังเกตสีหน้าของทุกคน
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยังคงร้องขอความเมตตาให้กับพวกเขา ”นายน้อยจาง พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยจริงๆ เจ้าค่ะ คุณชายท่านนี้มอบยันต์ผ้าเหลืองให้กับข้า และรับประกันว่าข้าจะปลอดภัยถ้าพกมันไว้ติดตัวเจ้าค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
ถ้าเจ้ามีอาวุธวิเศษอยู่ในมือ เจ้าก็คงป่าวประกาศให้ทั้งโลกรู้ และรอให้คนอื่นมาขโมยมันไปจากเจ้าด้วยสินะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจอีกครั้ง นางมักจะพลาดท่าเพราะหญิงสาวจิตใจดีงามและไร้เดียงสาอย่างเหยียนหลิ่วเอ๋อร์อยู่เสมอ
แต่อย่างไรนางก็ทำเช่นนี้เพื่อพวกเขา
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สงสัยอยู่ว่าเมื่อนางเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา แล้วยันต์ผ้าเหลืองจะยังสามารถช่วยชีวิตนางในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิตได้หรือไม่
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย แต่ในจุดนี้นางทำได้เพียงรอดูเท่านั้นว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป
ดูเหมือนคุณชายรองจางยังไม่คิดที่จะปล่อยพวกเขาไป หรือถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเขาไม่คิดที่จะไว้ชีวิตองค์ชาย คำขอร้องของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์จึงยิ่งกระตุ้นความโกรธของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยสื่อสารกับองค์ชายผ่านทางกระแสจิต ‘คราวหน้าก่อนจะออกมาข้างนอก ท่านควรหาอะไรทาหน้าไว้เสียบ้าง เห็นหรือเปล่าท่านดึงดูดสิ่งไม่พึงประสงค์เข้าหาตัวมากเพียงใด ที่สำคัญ ผู้หญิงพวกนี้ก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้เราในภายหลัง’
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ตอบ เขาเพียงเหลือบมองนางด้วยสายตาเฉยเมย สิ่งที่เขาต้องการสื่อนั้นเข้าใจได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก ’ถ้าเจ้าพูดมาอีกคำเดียว ข้าจะฆ่าเขาซะ แค่นี้เราก็หมดปัญหาแล้ว’
เฮ่อเหลียนเวยเวยจนปัญญา : ‘องค์ชายได้โปรดรักษาหน้าตาอันหล่อเหลาของตัวเองเอาไว้เถิด อย่าฆ่าคนนะ ห้ามทำเช่นนั้นเด็ดขาด’
ถ้าเขาลงมือ พวกเขาคงหาอะไรไม่เจอแม้แต่อย่างเดียว ถ้าพวกเขาฆ่าผู้ก่อเหตุโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ต้นตอของการติดเชื้อก็จะยังคงอยู่
ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าตระกูลใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้
ยิ่งกว่านั้น หนึ่งในหลักการของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็คือการไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์
คนที่ได้รับการฝึกฝนกับถังเส่าล้วนแต่ยึดถือหลักการนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่ชั่วร้าย หรือวิธีการที่พวกเขาใช้จะโหดเหี้ยมเพียงใดก็ตาม…
แต่แน่นอนว่านั่นย่อมเป็นข้อยกเว้นสำหรับคนที่หาเรื่องพวกเขาก่อน ยกตัวอย่างเช่นคุณชายรองจางที่ยืนอยู่ตรงหน้านางในเวลานี้
“แม่นางเหยียน เจ้าเป็นคนใจดีเกินไป ยันต์ผ้าเหลืองแผ่นเดียวจะไปพิสูจน์อะไรได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจำเป็นต้องพกมันไว้เพื่อเป็นอุปกรณ์ประกอบการปลอมตัวต่างหาก” คุณชายรองจางเอ่ยกับเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ด้วยท่าทางสุภาพราวกับเป็นคุณชายผู้สง่างาม
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์เหมือนยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็รู้ว่าอีกฝ่ายย่อมหาเหตุผลอื่นมาแย้งนางได้เสมอ
ชายหนุ่มท่าทางคล้ายบัณฑิตคนหนึ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาวางหนังสือในมือลง และพยายามจะเดินเข้าไปหาพวกเขา
“อย่าเข้าไปยุ่ง” ใครคนหนึ่งหยุดเขาไว้จากทางด้านหลัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปทางเขา และเห็นหญิงชรากำลังดึงบุตรชายตัวเองกลับไป ดูเหมือนนางจะต้องการกันไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหานี้
คุณชายรองจางยิ้มอย่างดูถูกเมื่อเห็นบัณฑิตคนนั้น จากนั้นจึงหันไปคุยกับเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ต่อ ”แม่นางเหยียน ข้างนอกอากาศหนาว เจ้ากลับบ้านไปก่อนจะดีกว่า เห็นแก่เจ้า ข้าจะขอให้ท่านพ่อปล่อยสองคนนี้ไปก็แล้วกัน ทุกอย่างย่อมผ่านไปด้วยดีตราบใดที่พวกเขาสัญญาว่าจะไม่มาที่นี่อีก”
“ไม่มาที่นี่อีกหรือ” เหยียนหลิ่วเอ๋อร์พึมพำกับตัวเองเสียงเบา จากนั้นจึงแอบมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางรู้สึกใจหายเล็กน้อย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้มองนาง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับเคลื่อนสายตากลับไปมองที่ซอยอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ นั้นพร้อมกับขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน
“มีอะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามเบาๆ
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมืดลง ”เมื่อครู่นี้มีบางสิ่งอยู่ที่นี่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองตามสายตาของเขาไป นางเห็นเพียงแค่คนกลุ่มเดิมอยู่ในซอย นางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างไม่รู้ว่าควรจะมองที่จุดใด
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายเมื่อสังเกตเห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้น้ำเสียงของนางยิ่งฟังดูร้อนรน ”คุณชาย รีบสัญญากับคุณชายรองจางเร็วเข้าสิเจ้าคะว่าท่านจะไม่กลับมาที่นี่อีก”
ดูจากนิสัยแล้ว องค์ชายย่อมไม่มีวันพูดเช่นนั้นออกมาแน่ เขายังยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกับแผ่บรรยากาศแห่งความสูงศักดิ์ในแบบของตัวเองออกมา
เมื่อได้เห็นท่าทางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย คุณชายรองจางก็ยิ่งเดือดดาล ตอนนั้นเองที่ข้ารับใช้ของเขาเข้ามาพร้อมกับพาเจ้าหน้าที่หกคน และขุนนางสวมหมวกสีดำท่าทางเหมือนบัณฑิตคนหนึ่ง
“มีเรื่องอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นรึ” มองครั้งเดียวขุนนางท่าทางเหมือนบัณฑิตคนนั้นก็สังเกตเห็นหิมะที่ติดอยู่บนขาของบุตรชายได้ จากนั้นสายตาเข้มงวดของเขาจึงไปหยุดอยู่ที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยและเฮ่อเหลียนเวยเวย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าข่มขู่และโกรธเกรี้ยว ”อวี้เอ๋อร์ สองคนนี้คือผู้ต้องสงสัยที่เจ้าบอกหรือ”
คุณชายรองจางพยักหน้า ”ใช่ขอรับท่านพ่อ ยิ่งกว่านั้น สองคนนี้ก็ยังอวดอ้างว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยอีกด้วยขอรับ ก่อนหน้านี้ท่านบอกไว้ว่าถ้าเหตุร้ายเกิดขึ้นอีก มันจะต้องเกิดขึ้นกับตระกูลเหยียนอย่างแน่นอน และสองคนนี้ก็ไม่ได้ไปที่ไหนเลยนอกจากบ้านของตระกูลเหยียนขอรับ ข้าเคยพบผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยมาก่อน และไม่มีใครเลยที่แต่งตัวได้เหมือนขอทานเช่นสองคนนี้ อีกอย่างหนึ่ง บนตัวของพวกเขาก็ไม่มีเหรียญทองสัมฤทธิ์อยู่ด้วย ข้ามองปราดเดียวก็รู้แล้วขอรับว่าพวกเขาอ้างไปเช่นนั้นเอง!”