GGS:บทที่ 985 นามแห่งตำรา…
ชื่อเสียงของซูจิ้งและโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนในตอนนี้ร้อนแรงราวกับเปลวไฟ ด้วยการที่ซูจิ้งเป็นหมอของโรงพยาบาลกังเฟิง โรงพยาบาลกังเฟิงจึงมีชื่อเสียงตามไปด้วย
จากเดิมที่ชื่อเสียงพุ่งสูงอยู่แล้ว ยิ่งหลังจากที่ซูจิ้งรักษาผู้ป่วยโรคALSหายได้ ชื่อเสียงก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปราวกับติดจรวด ตอนนี้ชื่อของเขาได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับผู้มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง(ชั้นนำ)มากขึ้นหลายสิบอันดับ
เหตุการณ์นี้ทำให้เล่าผู้คนในวงการดาราได้แต่มองกันตาปริบๆ
ขนาดพวกเขาไปเล่นละครทีวีชั้นนำก็ยังเพิ่มเท่ากับสิ่งที่ซูจิ้งทำในวันเดียวเลย ได้แต่คิดกันว่าหากมีชื่อเสียงขึ้นสูงเร็วแบบนี้ได้บ้างคงจะทำให้อาชีพของตัวเองมั่นคงไปอีกนาน
พลางคิดไปว่าหากซูจิ้งยังคงทำการรักษาแบบนี้อีกเพียงไม่กี่เคสเขาคงจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในรายชื่อผู้มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน
เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาต้องประสบและคิดไม่ตกจากการกระทำของซูจิ้ง พวกเขาต่างก็คิดกันว่าการกระทำที่สร้างชื่อเสียงของซูจิ้งคงจะเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
นั่นก็เพราะว่าการรักษาที่ยังไม่เป็นที่รับรองแบบนี้ใช่ว่าจะมีโอกาสทำได้บ่อยครั้ง ถึงจะรักษาได้ถึงสองรายแต่ก็ใช่ว่ารายที่สามจะรักษาได้หายอย่างแน่นอน
แม้พวกเขาจะคิดเข้าข้างตัวเองไปแบบนั้นแต่ซูจิ้งก็ยังคงทำให้พวกเขานั้นผิดหวัง นั่นก็เพราะซูจิ้งได้รักษาผู้ป่วยได้สำเร็จอย่างต่อเนื่อง สำเร็จชนิดที่ว่าพวกเขาได้แต่จ้องมองอันดับของซูจิ้งพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างเหน็ดเหนื่อย
ในวันนั้นนักข่าวจากหลายสำนักได้ถูกกั้นเอาไว้ที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน และนั้นก็เป็นการขวางทางไม่ให้ซูจิ้งสามารถออกไปได้
แน่นอนว่าสาธารณะชนที่เห็นภาพดังกล่าวต่างก็คิดกันไปว่าซูจิ้งนั้นต้องอารมณดีและยินดีที่จะหยุดเพื่อให้สัมภาษณ์ แต่กลายเป็นว่าเขานั้นไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักได้แต่เพียงพยายามฝ่าออกไป
“คุณซู ขอถามหน่อยครับว่าในเมื่อคุณนั้นไม่ได้เรียนสายแพทย์มา แล้วคุณทำยังไงถึงสามารถมีทักษะการแพทย์สูงขนาดนี้ได้ครับ” นักข่าวคนหนึ่งถามออกมา
“ก็จริงที่ผมนั้นไม่ได้เรียนจบสายการแพทย์มา แต่ผมนั้นก็ขยันหาความรู้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเหล่าผู้คนที่เรียนรู้มาในสายการแพทย์
อีกทั้งตัวผมยังได้คุณลูฉินหมิง รองประธานของโรงพยาบาลแห่งนี้คอยชี้แนะอยู่ตลอดซึ่งนั้นผมเองก็ต้องขอบคุณเขาอย่างสูงเช่นเดียวกัน นอกจากนั้น…”ซูจิ้งได้เว้นช่วงการสัมภาษณ์ราวกับคิดอะไรบางอย่างก่อนที่จะพูดออกมาว่า “นอกจากนั้นผมต้องขอบคุณตำราการแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นเล่มนี้”
คำพูดทุกอย่างของซูจิ้งนั้นล้วนแล้วดูดีมีสกุลจนนักข่าวนั้นเคลิบเคลิ้มไปกันหมด มีเพียงประโยคสุดท้ายเท่านั้นที่ทำให้นักข่าวทุกสำนักต้องอึ้งไปพักใหญ่ก่อนที่มีเสียงฮือฮาออกมา และได้มีนักข่าวคนหนึ่งถามออกมาว่า
“คุณซูจะสื่อว่าคุณซูได้เรียนทักษะการแพทย์จากตำราการแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี่ด้วยรึเปล่าครับ”
“ทั้งใช่และไม่ใช่ครับเพราะผมไม่เพียงเรียนรู้จากตำราการแพทย์โบราณเล่มนี้ ตำรานี้ช่วยผมในการรักษาโรคร้ายต่างๆนานาตามที่พวกคุณได้เห็น และแน่นอนว่าการที่ผมสามารถรักษาโรคALSได้สำเร็จนั้น ผมเองก็ได้ใช้วิธีการเดียวกับที่ตำราเล่มนี้ได้เขียนเอาไว้” ซูจิ้งได้พูดออกมาตรงๆ
“นี่หมายความว่าคุณซูจะบอกว่าตำราเล่มนี้มีวิธีการรักษารักษาโรคALSอย่างนั้นเหรอครับ” นักข่าวถามด้วยท่าทีประหลาดใจ
“จะเป็นไปได้ยังไงครับ หากบอกว่ามีวิธีการรักษาโรคALSอยู่ในตำราเล่มนี้จริง นี่ไม่ใช่จะหมายความว่าการแพทย์ในยุคปัจจุบันนั้นล้าหลังกว่าการแพทย์เมื่อหลายพันปีก่อนเหรอครับ”
“พระเจ้า ข่าวนี่มันไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นล่อแหลมไปหรอกเหรอ”
“คุณซู เป็นความจริงรึเปล่าครับ” นักข่าวอีกคนถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อคำพูดของซูจิ้งเลยสักนิด
“ถ้าคุณไม่เชื่อผมก็ไม่เป็นไรครับ คุณสามารถไปที่พิพิธภัณฑ์ของผมแล้วขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยเปิดตำราเล่มนั้นแล้วหาวิธีการรักษาโรคอาการเยือกแข็งได้เลย” ซูจิ้งพูดออกมาราวกับอยากจะหาโอกาสประชาสัมพันธ์พิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของเขาไปในตัว และนั่นเองก็ทำให้ทีมงานของนักข่าวจำนวนหนึ่งขับรถไปที่นั่น
เมื่อทีมงานของนักข่าวได้ไปถึงที่นั่น พวกเขาได้เข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคนหนึ่ง หลังจากได้ฟังเหตุผล เขาจึงได้นำทีมของนักข่าวไปยังที่ตั้งของตำราการแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นในทันที
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้เปิดตำราไปในหน้าที่เขียนเอาไว้ว่า โรคอาการเยือกแข็ง แล้ว พวกเขาได้ลองอ่านดูก็พบว่าอาการของโรคนั้นเหมือนกับอาการของโรคALSแทบจะทุกประการ
นอกจากนั้นในส่วนรายละเอียดของอาการดูเหมือนว่าจะละเอียดกว่าตำราแพทย์ปัจจุบันด้วยซ้ำ และที่ท้ายหน้านั้นได้เขียนเอาไว้ว่า วิธีการรักษาซึ่งนั่นหมายความว่าหน้าต่อไปจะเป็นวิธีการรักษา
ถึงแม้เหล่าทีมงานนักข่าวเหล่านี้จะไม่ได้มีโอกาสได้เห็นวิธีการรักษาโรค แต่นี่ก็พอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าตำราการแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นเล่มนี้มีวิธีการรักษาโรคALSอยู่จริง
หากว่าเชื่อคำพูดของซูจิ้งได้ล่ะก็นั่นก็หมายความว่าวิธีการรักษาต่างๆที่เขาใช้รักษาผู้ป่วยล้วนแล้วมาจากตำราเล่มนี้ นี่แสดงให้ว่าตำราเล่มนี้มีวิธีการรักษาโรคภัยที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เฉินฮองเองก็ได้รับข้อความจากซูจิ้งก่อนหน้านี้แล้วว่าเฉพาะวันนี้เท่านั้นที่อนุญาตให้ถ่ายภาพตำราแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี่ได้ มีหรือที่พวกเขาจะพลาดโอกาสนี้ และหลังจากที่ได้ถ่ายภาพแล้ว พวกเขาก็ได้ทำหัวข้อข่าวในทันที
ในทันทีที่ข่าวนี้ขึ้นไปบนอินเตอร์เนต ข่าวนี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกในทันที
ก่อนหน้านี้ที่ทั่วทั้งโลกสนใจตำรานี้นั้นก็เพียงเพราะว่ามันคือตำราโบราณอายุหลายพันปีที่อยู่รอดมาถึงยุคปัจจุบันได้ในสภาพที่แทบจะสมบูรณ์เท่านั้น
แต่หากพูดถึงด้านการแพทย์แล้วเพียงได้ยินต่างก็คิดว่ามันไร้ค่านัก ต่อให้ในตอนแรกที่รู้ว่าตำรานี้มีวิธีการป้องกันและรักษาโรคเรื้อนก็เป็นเพียงความประหลาดใจนิดหน่อยเท่านั้น ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้วงการแพทย์สั่นสะเทือนได้
แต่มาตอนนี้ต่างไปแล้ว หากเชื่อคำกล่าวของซูจิ้งที่ว่าวิธีการรักษาอันแสนลึกล้ำของเขานั้นล้วนแล้วมาจากตำราเล่มนี้ หากแม้แต่วิธีการรักษาโรคALSที่การแพทย์สมัยปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่าตำราเล่มนี้จะมีค่าเหนือคณานับ แม้แต่ใช้หัวแม่โป้งเท้าคิดก็ยังต้องเข้าใจคุณค่าของมัน
“โคตรแม่… เรื่องจริงงั้นเหรอ”
“จริงๆนะ เพื่อนฉันที่ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ตอนเขาตรวจสอบกันก็มีโอกาสได้เห็นเนื้อหาในตำราเล่มนั้นด้วย หน้าที่เขาเปิดกันนั้นมีวิธีการรักษาโรคALSอยู่จริงๆ แต่ในตำรานั้นเขียนเอาไว้ว่าวิธีการรักษาอาการเยือกแข็งน่ะ”
“ฉันยังไม่เคยไปที่นั่นเลย ความจริงฉันก็อยากจะไปเลยนะแต่ตอนนี้ตั๋วเครื่องบินขายหมดไปแล้ว ใครพอจะมีตั๋วขายต่อมั่งรึเปล่า”
“นายนี่รู้ตัวโคตรช้าเลย แค่ข่าวนี้หลุดออกมาตอนที่ซูจิ้งพูดพวกเขาก็รีบจองตั๋วกันแล้ว จะจองตอนนี้ก็ไม่มีที่ว่างหรอก ฉันลองตรวจสอบดูแล้วกว่าจะมีตั๋วว่างก็เดือนหน้าเลยนะ อยากได้ตั๋วเครื่องบินมาที่นี่ช่วงนี้ยากเย็นอย่างแน่นอน”
“ตำราการแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นเล่มนี้สุดยอดเลยจริงๆ ฉันเองก็อยากเห็นสักครั้ง”
“วิชาการแพทย์จีนโบราณนี่สุดยอดเลยจริงๆนะ ทั้งลึกล้ำและได้ผลดีเยี่ยม สามารถรักษาได้แม้แต่โรคALSทั้งที่เมื่อหลายพันปีก่อนยังไม่มีเครื่องมืออะไรเลย”
“นั่นสิ ตอนนี้เขาเป็นที่รู้จักในวงการแพทย์แผนปัจจุบันแล้วนะ สมแล้วที่เป็นหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่น”
คำล้อเลียนที่เรียกซูจิ้งว่าหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ไม่ใช่เพียงคำล้อเลียนอีกต่อไป
ชื่อนี้ได้กลายเป็นคำขนานนามของซูจิ้งที่ได้รับการเคารพจากสาธารณะชนและใช้ในการสรรเสริญเขาหลังจากทำการรักษาโรคทั้งหลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ประเทศต่างๆอย่างประเทศอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อังกฤษ ผรั่งเศส และประเทศอื่นๆทั่วทุกมุมโลกต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินข่าวนี้
และนี่ยิ่งทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญเร่งรีบไปยังประเทศจีนมากยิ่งขึ้น เป้าหมายของพวกเขานั้นมีทั้งไปยังโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนและพิพิธภัณฑ์มหัศจรรย์ของซูจิ้ง
อย่างไรก็ตามผู้เชียวชาญจากต่างประเทศเหล่านั้นไม่สามารถทำได้แม้แต่จะซื้อตั๋วเครื่องบินไปยังที่นั่น
แม้แต่ที่พิพิธภัณฑ์เองตั๋วเข้ารับชมก็หมดจนไม่รู้จะหมดยังไงจนต้องเปิดรอบพิเศษโดยมีราคาตั๋วที่หนึ่งหมื่นหยวนเลยทีเดียว
นี่ทำให้ชาวต่างชาติเหล่านี้อดไม่ได้ที่จะสาบแช่งซูจิ้งที่หาโอกาสหาเงินจากความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีใครบางคนที่แทบจะเรียกได้ว่าซื้อเหมาตั๋วพวกนั้นเลยก็ว่าได้เพราะว่ามันหมดเร็วมาก
นี่ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของพิพิธภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้นไปอีก
ในตอนนี้เอง ที่ไมโครบลอกของซูจิ้ง ซูจิ้งได้ปล่อยภาพชุดหนึ่งอย่างต่อเนื่อง กว่าจะเสร็จก็ต้องใช้เวลากว่าสามวันเลยทีเดียว โดยเขาได้ตั้งชื่อชุดภาพนี้ไว้ว่า “การแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก”
การกระทำของซูจิ้งนี้ราวกับเป็นการโยนระเบิดลงไปในบ่อน้ำร้อน นี่ทำให้ชุดภาพของเขานั้นเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว
“อาจิ้ง ที่แน่ใจจริงๆเหรอว่าจะเผยแพร่เนื้อหาในตำราแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกนั่นออกไป” ลูฉินหมิงที่รู้เรื่องก็อดจะถามไม่ได้
“ทำไมจะไม่ล่ะ พวกเรานั้นได้ศึกษาตำรานี้อย่างดีแล้วและเนื้อหาพวกนี้ก็เป็นประโยชน์ในวงการแพทย์เหลือคณานับ ของดีๆแบบนี้ก็ควรจะต้องปล่อยออกไปให้ผู้คนได้ศึกษากัน
นอกจากนี้ตำรานี้จะช่วยเหลือให้วงการแพทย์ในประเทศ ไม่สิต้องบอกว่าวงการแพทย์ทั่วทั้งโลกยกระดับได้อย่างแน่นอน แถมที่ดีที่สุดคือเป็นการเผยแพร่ความรู้การแพทย์แผนจีนไปทั่วโลกได้อีกด้วยนะ ลูงลูว่าไม่ใช่เรื่องดีเหรอครับ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“สำหรับเรื่องนั้นฉันก็เห็นด้วยอยู่หรอก ฉันเพียงแค่รู้สึกแปลกๆน่ะที่ต้องปล่อยสมบัติล้ำค่าแบบนี้ให้สาธารณะชนได้ยลโฉมแบบฟรีๆน่ะ” ลูฉินหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มออกอายเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกนี้ของลุงลูนะ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยสักนิด
นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ตำรานี้จะมาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯแต่ตำรานี้ก็มีความรู้ทางการแพทย์แผนจีนขั้นสูงสุดและสามารถนำมาใช้กับโลกนี้ได้ แน่นอนว่านี่จะทำให้การแพทย์ของโลกนี้ยกระดับไปอีกขั้น
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับคนอื่นแล้วไม่มีทางเลยจะสามารถรักษาได้เทียบเท่าเขา เพราะว่าตัวเขานั้นมีเวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯและตัวยาต่างๆจากห้วงเวลาฯต่างๆที่เก็บเอาไว้ได้
เช่นเดียวกับการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคALS เขาได้ใช้ตัวยาที่มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯถึงสองตัวนั่นก็คือไส้เดือนดินตัวใหญ่ยักษ์กับหญ้าสีชมพู
ตอนแรกนั้นที่เขาเห็นรายละเอียดวิธีการรักษาโรคALSที่อยู่ในตำรา เมื่อเขาได้เห็นส่วนผสมของยารักษาก็ได้ทำการนึกถึงสมุนไพรและสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าตามที่เขาเคยได้อ่านผ่านตามาแต่ก็นึกไม่ออก
แต่พอได้เห็นรายละเอียดการอธิบายเชิงลึกเกี่ยวรูปร่างและหน้าตาของสมุนไพรและสิ่งมีชีวิตที่มีสรรพคุณเป็นยาที่อยู่ในตำราส่วนการทำยานั้น เขาก็ได้นึกออกในทันทีว่ามันคืออะไรกันแน่ หากมีส่วนไหนขาดเขาก็จะใช้หาสิ่งอื่นที่มีสรรพคุณคล้ายกับที่ตำราได้อธิบายไว้มาใช้แทน
สำหรับในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯนั้น โรคALSนี้ก็เปรียบได้ดั่งไข้หวัดทั่วๆไปเท่านั้น แน่นอนว่าหากว่าเขานั้นมีตัวยาพร้อมก็สามารถหลอมยารักษาได้โดยง่ายและจะสามารถโลกนี้ได้โดยใช้เวลาเพียงสามวัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เขานั้นไม่มีสมุนไพรตามที่เขียนทั้งหมด และการเตรียมยานั้นมีความละเอียดซับซ้อนพอสมควร เขาจึงต้องสร้างยาจากสิ่งที่พอหาได้และใช้เวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯประกอบกัน และนี่เองท่ำให้เขาต้องเสียเวลาในการเตรียมตัวในการหลอมยานานขึ้น และต้องใช้เวลารักษาร่วมเดือนเลยทีเดียว
ถึงแม้การที่เขาปล่อยเนื้อหาในตำราแพทย์เล่มนี้ออกไปจะสร้างความกังวลให้ลูฉินหมิงไม่น้อย แต่สำหรับเขาแล้วหาได้สนใจไม่
นั่นก็เพราะว่าต่อให้สามารถใช้วิธีการเหล่านี้ในการรักษาได้จริงๆ แต่ยังไงซะตัวเขาที่มีตัวยาสำคัญอย่างไส้เดือนดินกับหญ้าสีชมพูนี้อยู่ในมือนั้น ต่อให้คนพวกนั้นจะรักษาได้จริงแต่ก็ไม่เร็วที่เขารักษาอย่างแน่นอน