สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ตอบกลับนางว่า “ก็ไปเป็นทหารอย่างไรเล่า!”
สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋เข้ามาโอบกอดสืออีเหนียงไว้
“เขาเคยเดินทางท่องเที่ยวรอบด่านหุบเขาจยาอวี้เพียงครั้งเดียวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารของด่านหุบเขาจยาอวี้ให้ได้ ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้เป็นกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน หลายปีมานี้ด่านหุบเขาจยาอวี้พ่ายแพ้การรุกรานติดต่อกันหลายครั้งหลายครา เหล่าบรรดาผู้บังคับบัญชากองทัพทหารล้วนแล้วแต่เป็นพวกอ่อนหัด ไม่มีใครกล้าหาญชาญชัยเลยสักคนหรือ จากด่านหุบเขาจยาอวี้ไปยังเขตปกครองฮามี่เว่ยยาวไปจนถึงเขตปกครองซือโจวเว่ย มีเพียงราษฎรของด่านหุบเขาจยาอวี้ที่ต้องพลัดพรากถิ่นฐานหรืออย่างไรกัน” รอยยิ้มของเขาค่อยๆ จางหายไป น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “คนวัยหนุ่ม มีความใฝ่ฝัน มีเลือดที่ร้อนระอุ มีกำลังความกล้าที่จะมุ่งหน้าบุกบั่นถือเป็นการดี แต่การมีความใฝ่ฝัน การมีเลือดที่ร้อนระอุ และการมีกำลังความกล้าที่จะมุ่งหน้าบุกบั่นนั้นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ประสบผลสำเร็จได้ ยังต้องเรียนรู้ที่จะสุขุมและเยือกเย็น รู้จักใช้ดุลยพินิจ รู้จักประนีประนอม สามารถหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดภายใต้สถานการณ์ที่ซับซ้อนที่สุดให้ได้ ต้องรู้จักคิดหาวิธีที่จะไขว่คว้าทุกโอกาสและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงจะสามารถสำเร็จได้” สีหน้าของเขาเคร่งขรึมมากขึ้นกว่าเดิม “ตอนนี้เลือดของจิ่นเกอเองก็กำลังเดือดพล่านมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาไป ไปเป็นพลทหารนายหนึ่งในกองทัพของด่านหุบเขาจยาอวี้ ไปกินอยู่กับนายทหารธรรมดาเหล่านั้น ฝึกฝนและออกตระเวนด้วยกัน ยืนยาม คอยรักษาการณ์ปกป้องเมือง ให้เขาได้รู้ว่าอะไรคือค่ายทหารที่แท้จริง ถึงเวลานั้น หากอุดมการณ์ของเขายังคงแน่วแน่ เราค่อยบอกเขาว่าอะไรคือความสุขุมเยือกเย็น อะไรคือการใช้ดุลยพินิจ และอะไรคือการประนีประนอมก็ยังไม่สาย!”
สืออีเหนียงจ้องมองไปยังสวีลิ่งอี๋ที่ดูเหมือนว่าได้ตัดสินใจและไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเหงื่อตก “คนที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางระดับสูงหรือชาวบ้านธรรมดาทั่วไปต่างก็รู้ว่าจิ่นเกอเป็นบุตรชายของท่านโหว”
สวีลิ่งอี๋จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เพราะทุกคนในด่านหุบเขาจยาอวี้ต่างก็รู้ว่าจิ่นเกอเป็นบุตรชายของข้านี่แหละ ข้าถึงได้จะส่งจิ่นเกอไปที่นั่น”
สืออีเหนียงยังคงไม่เข้าใจ
“ข้าเองก็รู้ดีว่าจิ่นเกออายุยังน้อย จึงไม่ได้จะปล่อยมือเลยทีเดียว ในเมื่อเขาอยากจะเดินเส้นทางนี้ เช่นนั้นก็ควรรีบฉวยโอกาส เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า” จากนั้นเขาก็พูดเสียงเบาว่า “แต่ความสามารถจะพอหรือไม่นั้นก็อีกเรื่อง จะเป็นล่อหรือเป็นม้าก็ต้องลองจูงออกมาเดินดูก่อนจึงจะรู้ได้ หากข้าพาเขาไปปล่อยทิ้งไว้ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักเขา เขายังเด็กขนาดนั้น หากถูกคนอื่นรังแกขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร แต่หากข้าส่งเขาไปเป็นทหารในที่ที่ทุกคนต่างก็รู้จักฐานะของเขาดี ‘ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป’ คนที่นั่นก็จะดูแลเขาไม่มากก็น้อย เขาเองก็จะได้ถือโอกาสนี้ทำความเข้าใจว่าแท้จริงแล้วค่ายทหารนั้นเป็นอย่างไร สองปีหลังจากนั้น หากว่าเขายังไม่ละทิ้งความปรารถนาดั้งเดิม ข้าค่อยย้ายเขาไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จักฐานะและตัวตนของเขา ในเมื่อเขามีประสบการณ์จากด่านหุบเขาจยาอวี้แล้ว แถมอายุของเขาก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อไปถึงที่ใหม่แล้ว แต่ยังคงไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ ข้าว่า สู้ให้เขารีบกลับมาเสียยังดีกว่า กลับมาตั้งใจเล่าเรียนหนังสือตำรา เข้าร่วมการสอบขุนนางระดับเคอจวี่ เข้าร่วมค่ายใหญ่ซีซาน หาวิธีให้เขาไปประจำการนอกเขตเมืองหลวงที่ซานตง หรือไปเป็นพลทหารที่มณฑลส่านซี เขาจะได้ละทิ้งความพยายามนี้ไป ไม่ต้องเอาแต่สองจิตสองใจ สุดท้ายไม่สำเร็จแม้แต่เรื่องเดียว”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “วิธีนี้ดีเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความเป็นกังวลใจว่า “ถ้าเกิดว่าเขายังคงเลือกที่จะเป็นทหารเล่า เราจะทำอย่างไรกันดี ท่านเองก็รู้จักนิสัยใจคอของจิ่นเกอดี กลัวก็แต่ว่าเขาจะเอาแต่มุ่งหน้าอย่างเดียว จนไปชนเข้ากับกำแพงทางตอนใต้ก็ยังไม่ยอมหันหัวกลับอยู่ดี!”
“เราก็แค่ทำสัญญากับเขาสามข้อก็พอ!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มกรุ้มกริ่ม “หนึ่งคือห้ามเปิดเผยฐานะตัวตน สองคือทุกๆ สามปีจะต้องเปลี่ยนเขตการทหารหนึ่งครั้ง สามคือทุกครั้งที่ไปถึงเขตการทหารใหม่จะต้องใช้ความสามารถของตัวเองเลื่อนตำแหน่งใหม่อย่างน้อยหนึ่งระดับ หากเขาสามารถทำตามเงื่อนไขทั้งสามข้อนี้ได้ก็ถือว่าเขาผ่านด่านแล้ว”
“ยากเกินไปหรือไม่เจ้าคะ”
“ถือว่ายากไม่น้อย” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แต่ก็ยังยึดมั่นและหนักแน่นเหมือนเดิม “ตอนนี้ข้าเข้มงวดและให้บททดสอบที่แสนยากแก่เขา วันข้างหน้าฟ้าสวรรค์ก็จะไม่โหดร้ายกับเขาจนเกินไป โอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จก็จะเพิ่มมากขึ้น”
สืออีเหนียงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ “เช่นนั้นก็ทำตามวิธีของท่านโหวเถิด!”
สองสามีภรรยานั่งไหล่ชนไหล่อยู่ที่หัวเตียง พากันเงียบงันไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่
*****
เมื่อถึงวันที่สาม จิ่นเกอก็เอาแต่พูดกับสวีลิ่งอี๋ไม่หยุด “ท่านพ่อ ท่านว่าองค์หญิงใหญ่จะเรียกข้าเข้าวังหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ว่าองค์หญิงจะเรียกเจ้าเข้าวังหรือไม่ แต่การที่เจ้าเอาแต่เป็นทุกข์เป็นร้อนเช่นนี้ ถือเป็นการเสียภาพลักษณ์ที่ชายชาติทหารพึงมี” สวีลิ่งอี๋เหลือบไปมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็อ้าแขนทั้งสองออก ให้สืออีเหนียงช่วยสวมเข็มขัดหยกขาว
“ข้าเป็นอย่างนี้ก็ตอนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อเท่านั้นนี่นา” จิ่นเกอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจ “ต่อหน้าคนอื่น ข้าย่อมไม่พูดจาอย่างนี้อยู่แล้ว”
“หากทำเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าเป็นการกระทำที่ใช้บังหน้าเท่านั้น” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “ไม่ใช่ผู้มีสมบัติผู้ดีอย่างแท้จริง”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยความท้อใจ
สวีซื่อเจี้ยและอิงเหนียงมากล่าวอำลากับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงพอดี
ตามขนบธรรมเนียมแล้ว วันนี้ทั้งคู่จะต้องเดินทางไปหาท่านลุง แต่เพราะหลัวเจิ้นซิ่งไม่อยู่จวน อีกทั้งยังเป็นตรุษจีนปีแรกหลังการแต่งงานของทั้งสอง ปีก่อนนายท่านสองที่ตรอกเหล่าจวินถังก็ได้ปรึกษาหารือกับสืออีเหนียง ว่าจะให้อิงเหนียงไม่มีสกุลเดิมให้กลับไปเช่นนี้ไม่ได้ ตอนวันที่สามก็ให้ไปเป็นแขกที่จวนของเขาแทน
สวีลิ่งอี๋เลยเรียกสวีซื่อเจี้ยไปกำชับเรื่องกิริยามารยาทที่ต้องพึงระวัง อิงเหนียงแอบกระซิบถามจิ่นเกอว่า “เจ้าจะไปกับพวกข้าหรือไม่ ลูกพี่ลูกน้องชายทั้งสามคนของท่านป้าหญิงสี่จะต้องมาด้วยอย่างแน่นอน”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็รีบลุกขึ้นทันที
“ท่านแม่ ข้าไปด้วยขอรับ!”
อวี๋ฉีบุตรชายของซื่อเหนียงค่อนข้างสนิทสนมกับจิ่นเกอ ก่อนหน้านี้ ตอนที่สุนัขของจิ่นเกอคลอดลูก เขายังมอบสุนัขหนึ่งตัวให้กับอวี๋ฉีอีกด้วย
“ไม่ได้!” สืออีเหนียงพูดขึ้น “พี่ห้าและพี่สะใภ้ห้าของเจ้าต้องไปเยี่ยมญาติ เจ้าจะตามไปด้วยทำไมกัน”
“ข้าเองก็ไปเยี่ยมญาติอย่างไรเล่า!” จิ่นเกอเบะปากอย่างน้อยใจ
“ท่านแม่ ท่านอนุญาตให้เขาไปเถิดเจ้าค่ะ!” อิงเหนียงที่อยู่ข้างๆ จิ่นเกอช่วยขอร้องอีกแรง “วันนี้ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองจะต้องอยู่ต้อนรับไต้ซือจี้หนิงที่จวน พี่สะใภ้สองพาอิ๋งอิ๋งเหนียงกลับไปเยี่ยมสกุลเดิม พี่สี่และพี่สะใภ้สี่ก็พาถิงเกอกลับไปเยี่ยมใต้เท้าเจียง น้องเจ็ดกับน้องแปดก็พากันไปที่ตรอกหงเติงแล้ว ท่านกับท่านพ่อก็จะต้องออกไปคารวะวันปีใหม่ ท่านอนุญาตให้จิ่นเกอไปที่ตรอกเหล่าจวินถังกับพวกข้าเถิดเจ้าค่ะ! พวกข้าจะดูแลเขาให้ดี”
สืออีเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วสวีลิ่งอี๋ก็โบกมือเบาๆ “อยากไปก็ไปเถิด! แต่ต้องห้ามดื้อเป็นอันขาด”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ จากนั้นก็โผเข้าไปกอดสืออีเหนียงทันที “ท่านแม่วางใจเถิด ข้าจะเชื่อฟังคำพูดของพี่ห้าและพี่สะใภ้ห้าเป็นอย่างดีขอรับ”
เมื่อสืออีเหนียงเห็นท่าทีที่ตื่นเต้นจนแทบจะรอไม่ไหวของเขาแล้วก็อดหัวเราะเสียไม่ได้ “เช่นนั้นก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด!”
“ท่านแม่ใจดีที่สุด!” จิ่นเกอสวมกอดสืออีเหนียงอีกครั้ง จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปด้วยความดีใจ
ทุกคนเห็นแล้วต่างก็พากันหัวเราะด้วยความเอ็นดู
เติงฮวาเข้ามารายงาน “ท่านโหว ทางฝั่งจวนยงอ๋องส่งหนังสือเทียบเชิญมาเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างก็พากันอึ้งไปตามๆ กัน
สวีลิ่งอี๋หันไปรับหนังสือเทียบเชิญมาอ่าน จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยงอ๋องบอกว่าวันที่สี่ ที่จวนของเขาจะจัดงานเลี้ยงเลยเชื้อเชิญให้จิ่นเกอไปดื่มสุราหมักสักจอก”
“เหตุใดถึงได้มาเชื้อเชิญจิ่นเกอไปร่วมงานเลี้ยงอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ” สืออีเหนียงขมวดคิ้วแน่น
หรือจะเป็นองค์หญิงใหญ่…เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว นางก็รีบส่ายหน้าสลัดความคิดนั้นทิ้งไปทันที
องค์หญิงใหญ่คงจะไม่ลงทุนลงแรงใหญ่โตเพียงเพราะแค่จะเล่นเตะลูกหนังกับจิ่นเกอหรอกกระมัง
เพราะอย่างไรเสียองค์หญิงใหญ่ก็อยู่ที่พระตำหนักใน ถึงแม้ว่ายงอ๋องจะเป็นพี่น้องร่วมบิดากับองค์หญิงใหญ่ แต่การที่องค์หญิงใหญ่จะออกจากวังแล้วไปยังจวนยงอ๋องไม่ใช่เรื่องที่ง่ายขนาดนั้น
สวีลิ่งอี๋เอาแต่หัวเราะเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นก็หันไปสั่งกับเติงฮวาว่า “เร็วเข้า รีบไปเรียกคุณชายน้อยหกมา!”
เติงฮวารีบขานรับและถอยออกไปทันที
เพียงไม่นาน จิ่นเกอก็กลับเข้ามา
“ท่านพ่อ ยงอ๋องเชิญข้าไปร่วมงานเลี้ยงวันที่สี่หรือขอรับ”
“ใช่แล้ว!” สวีลิ่งอี๋ยื่นหนังสือเทียบเชิญให้จิ่นเกอดู “เจ้าจะไปหรือไม่”
“ข้าย่อมต้องไปอยู่แล้ว!” จิ่นเกอเปิดหนังสือเทียบเชิญขึ้นมาอ่าน จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยงอ๋องเชื้อเชิญทั้งที จะไม่ไปได้อย่างไรกัน”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันไปสั่งกับเติงฮวาว่า “นำเทียบเชิญนี้ไปยื่นให้กับผู้ดูแลจ้าวที่ฝ่ายรายงาน ตอบกลับเทียบเชิญไปว่า คุณชายน้อยหกจะไปถึงที่นั่นตามวันเวลาที่นัดหมาย”
เติงฮวาขานรับ “เจ้าค่ะ” เมื่อย่อตัวทำความเคารพเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบถอยออกไปทันที
สืออีเหนียงก็หันไปถามสวีลิ่งอี๋ว่า “จิ่นเกอไม่ต้องเตรียมตัวหรือเจ้าคะ”
“กิริยาท่าทางต้องสุภาพนอบน้อม” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ “ถึงเวลานั้น พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ก็พอ!”
“ใช่แล้ว! ท่านแม่ขอรับ” จิ่นเกอรีบพยักหน้าทันที “ที่ยงอ๋องเชิญข้าไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะครั้งที่แล้วเขาและข้าคุยกันถูกคอ หรือเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่กำลังคิดหาวิธีที่จะเล่นเตะลูกหนังกับข้า ก็เลยไปไหว้วานเขา ถึงแม้ว่าอยากจะเตรียมตัวก็เตรียมตัวไม่ได้หรอกขอรับ สู้พลิกแพลงไปตามสถานการณ์เสียยังดีกว่า”
เมื่อสืออีเหนียงเห็นว่าบุตรชายของตนหัวไวและทันคน จึงพอจะรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
พูดจบจิ่นเกอก็รีบวิ่งออกไปด้านนอก “ข้ายังเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เสร็จเลย…”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เช้าตรู่วันถัดมา จิ่นเกอก็เปลี่ยนไปสวมชุดคลุมเผาจื่อผ้าแพรหังโฉวสีเขียวเข้มลายต้นไผ่ จากนั้นก็พาฉังอานกับบ่าวรับใช้ชายอีกสองสามคนมุ่งหน้าไปยังจวนยงอ๋อง
สืออีเหนียงยังคงเป็นกังวลใจอยู่เล็กน้อย “ควรให้ผู้ดูแลของฝ่ายรายงานติดตามไปด้วยสักคนหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องแล้ว!” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “บ่าวรับใช้ที่ติดตามเขาไปด้วยล้วนแล้วแต่เคยติดตามข้าเดินทางไปยังซีเป่ยมาก่อน ถือว่ามีประสบการณ์ไม่น้อย ไม่ทำให้จิ่นเกอขายหน้าอย่างแน่นอน”
สืออีเหนียงทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ หลังจากที่จิ่นเกอกลับมาแล้ว ก็รีบดึงจิ่นเกอมาถามไถ่ทันที “ยงอ๋องเรียกเจ้าไปทำอะไรหรือ”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ “เรียกข้าไปเล่นเตะลูกหนังขอรับ”
“เรียกไปเล่นเตะลูกหนังจริงๆ เสียด้วย” สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อด้วยความโล่งใจ
“องค์หญิงใหญ่จับคู่กับข้า องค์ชายแปดและองค์ชายเก้าแพ้อย่างราบคาบ” จิ่นเกอพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “องค์ชายแปดรู้สึกไม่พอใจ ก็เลยไปจับคู่กับองค์ชายสิบเอ็ด แต่แล้วก็ยังแพ้อยู่ดี ทุกคนก็เลยนัดแนะกันว่าจะมาแข่งอีกทีตอนไปชมโคมไฟที่จวนยงอ๋องในวันที่สิบห้า”
“ยังจะไปเตะอีกหรือ!”
จิ่นเกอพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็พูดกับสวีลิ่งอี๋ว่า “หลังจากที่ปีใหม่ผ่านไปแล้ว องค์หญิงใหญ่และองค์ชายคนอื่นๆ ก็จะไม่สามารถออกนอกวังได้ตามอำเภอใจเช่นนี้อีก ท่านช่วยข้าหายอดฝีมือการเตะลูกหนังมาให้ข้าสักคนได้หรือไม่! ข้าจะถือโอกาสนี้ฝึกท่าใหม่ ถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ด้วยขอรับ”
หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะสามารถจำสวีซื่อจิ่นได้ในระยะยาว!
สวีลิ่งอี๋ก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั่นก็หันไปสั่งกับเติงฮวาว่า “เร็วเข้า รีบไปบอกกับพ่อบ้านไป๋ ว่าก่อนฟ้ามืดของวันพรุ่งนี้ ต้องหาคนที่มีฝีมือในการเตะลูกหนังมาหนึ่งคนให้ได้”
จิ่นเกอยิ้มพลางโอบกอดสืออีเหนียงไว้แน่น “ท่านแม่ ตอนอยู่จวนยงอ๋อง ข้าอาบน้ำอาบท่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าจะมีนางกำนัลของวังคอยปรนนิบัติรับใช้ แต่อาบไม่หนำใจเลย ข้าจะกลับไปอาบน้ำอีกรอบขอรับ!”
“รีบไปเถิด!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับจ้องมองบุตรชายที่นับวันก็ยิ่งเหมือนผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ “ล้างหน้าล้างตาชำระร่างกายเสร็จแล้วก็รีบมาทานข้าว ทานเสร็จแล้วเราไปคารวะไท่ฮูหยินด้วยกัน”
จิ่นเกอพาฉังอานกลับเรือนชิงหยินจวีด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
หลายวันหลังจากนั้น จิ่นเกอก็ไปฝึกซ้อมเตะลูกหนังกับฉังอานและคนอื่นๆ ทุกวัน เมื่อถึงวันที่สิบห้าของช่วงปีใหม่ ก็ได้จับคู่กับองค์หญิงใหญ่ลงแข่งกับยงอ๋อง จนชนะการแข่งขันในที่สุด
สวีลิ่งอี๋เรียกบุตรชายมาคุยที่ห้องหนังสือ
“หลังปีใหม่ผ่านไปแล้ว เจ้าเองก็ควรจะต้องสงบจิตสงบใจได้แล้ว!” สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือที่ฝังด้วยหยกขาวหลังโต๊ะหนังสือใหญ่สีดำเงา พลางจ้องมองจิ่นเกอด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
จิ่นเกอขยับเท้าเล็กน้อยด้วยความประหม่า จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ท่านมีเรื่องอันใดก็รีบพูดออกมาเถิด เอาแต่แสดงสีหน้าท่าทีเช่นนี้ จิตใจของข้าสับสนวุ่นวายไปหมดแล้ว!”
คำพูดเพียงประโยคเดียว สามารถเปลี่ยนใบหน้าที่เคร่งขรึมของสวีลิ่งอี๋ให้กลายเป็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มได้ในทันที
“เจ้าเด็กคนนี้นี่! หัวไวเสียไม่มี!” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เอ็นดู “ที่ผ่านมาเจ้าอยากจะไปที่ด่านหุบเขาจยาอวี้มาโดยตลอดมิใช่หรือ หลังตรุษจีนนี้ข้าตั้งใจว่าจะส่งเจ้าไปที่นั่น เจ้าคิดเห็นอย่างไร”
“จริงหรือขอรับ!” จิ่นเกอหันมามองบิดาด้วยสีหน้าที่ดีใจ “ไปขอรับ ข้าไปขอรับ!!”
“แต่พ่อมีเงื่อนไข” สวีลิ่งอี๋จ้องมองไปยังบุตรชายที่กำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ “หากเจ้าทำได้ พ่อก็จะส่งเจ้าไป!”
จิ่นเกอไม่ได้รับปากในทันที แต่กลับค่อยๆ หุบยิ้มลง จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความระมัดระวังว่า “ท่านพ่อลองพูดให้ข้าฟังสักหน่อยว่ามีเงื่อนไขอะไร” ดวงตากลมโตเป็นประกายแวววาว ใสบริสุทธิ์และกระจ่างชัดเจน