บทที่ 668 สะพานไน่เหอ น้ำแกงยายเมิ่ง ปรโลกปรากฏ!
พู่กัน หมึก กระดาษ จานฝน
จักรพรรดินีนำสมบัติทั้งสี่แห่งห้องอักษรที่คุณชายประทานให้ออกมา แต่ละชิ้นล้วนมีจังหวะแห่งเต๋าเหนือจินตนาการไหลเวียนอยู่ กฎระเบียบลึกล้ำถักทอประสานกัน
นี่คือสมบัติทั้งสี่ชิ้นที่คุณชายใช้แทบทุกวัน แตกต่างจากสมบัติชิ้นอื่นมาก และวิเศษกว่าของชิ้นอื่นมากด้วย!
ขอบเขตของคุณชายลึกล้ำเกินหยั่ง ของธรรมดาเมื่ออยู่ในมือคุณชายต่างกลายเป็นสิ่งของสะท้านโลกันตร์ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าสมบัติทั้งสี่แห่งห้องอักษรนั้นไม่ธรรมดาอยู่แล้ว อานุภาพของสมบัติทั้งสี่ชิ้นอยู่ในระดับที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง!
จักรพรรดินีสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนคลายกายใจ สลัดความคิดอื่นในหัว ฝนหมึกในจานฝน แล้วหยิบพู่กันแตะน้ำหมึก
นางจดจ่อเขียนอักษรตัวใหญ่ตัวหนึ่งลงบนกระดาษเซวียน!
ชีพ!
นี่คือความคิดใหญ่หลวงที่สุด และเป็นความคิดเดียวในใจของนาง นางปรารถนาให้อาจารย์ของนางคืนชีพขึ้นมา!
นางฝากความหวังทั้งหมดไว้กับสมบัติทั้งสี่ชิ้นนี้ หลังจากเขียนคำว่า ‘ชีพ’ ลงไปแล้ว หัวใจของนางเต้น ‘ตึกตัก’ รัวเร็ว นางประหม่าอย่างยิ่งยวด เหงื่อซึมออกมาตามฝ่ามือ
สาเหตุนั้นมิใช่เรื่องอื่นใด นางเป็นห่วงอาจารย์ของนางมาก
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ผ่านไปไม่นาน ลมหายใจต่อมา อักษร ‘ชีพ’ บนกระดาษเซวียนเปล่งประกายเจิดจ้า ทั้งยังมีพลังประหลาดบางอย่างไหลเวียน จากนั้นแสงสีทองสายหนึ่งพร้อมด้วยพลังนิรนามพลันพุ่งออกไปด้านหน้า!
เสียงดังตึง สิ่งกีดขวางที่จักรพรรดินีทำอย่างไรก็ทลายมิได้ แสงสีทองสายนี้กลับทะลุผ่านได้ง่ายดาย และหยุดลงตรงที่อาจารย์ของนางร่างสลายไป
แสงสีทองนี้อยู่เหนือนางในยุคสมัยนั้น ทว่านางในยุคสมัยนั้นกลับมองไม่เห็นสักนิด!
แสงสีทองเจิดจรัสแยงตา สว่างไสวยิ่งกว่าดวงตะวันบนฟากฟ้า นางในยุคสมัยนั้นสัมผัสสิ่งใดมิได้เลย ภาพนี้จึงดูพิลึกอย่างยิ่งยวด!
เรื่องนี้ยังไม่จบ
ภาพที่พิลึกยิ่งกว่าปรากฏขึ้นในเวลาต่อมา
แสงสีทองและพลังนิรนามจากฟากนั้นซัดสาดรุนแรง ห้วงมิติบิดเบี้ยว ปริภูมิเวลาเริ่มโกลาหล กฎระเบียบสูงส่งอย่างหามิได้โลดแล่นไม่หยุด
ทว่าเหตุการณ์ตระการตาปานนี้ นางในยุคสมัยนั้นก็ยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ราวกับที่นั่นไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้นมาก่อน
ผ่านไปไม่นาน เหตุการณ์แสงสีทองทวีความยิ่งใหญ่ ปฐพีถูกทาบทับเป็นสีทองเรืองรองกันทั้งปวง กฎระเบียบที่โลดแล่นอยู่ก็สยดสยองขึ้นเรื่อย ๆ พลังทุกมวลล้วนสามารถถล่มกาลเวลาอันยาวนานจนพังครืนได้!
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น นางในยุคสมัยนั้นก็ยังไม่รู้สึกตัว ราวกับเหตุการณ์เหล่านี้มิได้กำลังดำเนินอยู่
“ได้จริง ๆ หรือ!”
จักรพรรดินีมีสีหน้าตื้นตัน นางได้เห็นอะไรกัน
ด้านแสงสีทอง มีประกายดวงดาราหลอมรวมเข้าด้วยกัน นั่นคือเลือดเนื้อที่กำลังรวมร่าง จักรพรรดินีน้ำตาหลั่งรินออกมาในบัดดล นั่นคืออาจารย์ของนาง แม้นยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง กระนั้นนางก็จำได้ในพริบตา!
อย่างที่คิด นั่นคืออาจารย์ของนางจริง ๆ ความเร็วในการหลอมเลือดเนื้อนั้นไวมาก ร่างของอาจารย์นางใกล้หลอมเสร็จแล้ว!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ทว่าในตอนนั้นเอง ปรากฏการณ์ประหลาดปรากฏขึ้นที่นั่น พลังปราณมืดมนคืบคลาน ส่งไปถึงเส้นทางโบราณ จักรพรรดินีกับหยวนอีต่างสัมผัสได้ถึงลมปราณประหลาดนี้ พวกนางสะดุ้งตัวสั่นขึ้นมาอย่างอดมิได้
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
พลังอะไรกัน!?
ถึงกับทะลวงปริภูมิเวลา แผ่ขยายมาถึงที่นี่ได้?!
ปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่นั่นอีกครั้ง วิหารโบราณโผล่ออกมาตำหนักแล้วตำหนักเล่า พร้อมด้วยหมอกทะมึน สายลมสัมภเวสีโชยพัดไม่หยุด ทะลวงปริภูมิเวลาออกมาดังสะท้อนอยู่ข้างหูจักรพรรดินีและหยวนอี!
พวกนางรู้สึกถึงสายลมสัมภเวสีที่พัดเข้ามา ขนลุกขนชันกันหมด ความหนาวสะท้านพุ่งจากฝ่าเท้าขึ้นมายังสมอง!
ต้องเป็นวิหารโบราณระดับใดกัน?!
รูปร่างประหลาด ก่อขึ้นด้วยหินพิสดาร สูงใหญ่โอ่อ่า หัวกะโหลกพวงแล้วพวงเล่าห้อยอยู่หน้าประตู มีทั้งของมนุษย์และของเผ่าอสูรต่าง ๆ
ที่นั่นแดงเถือกไปทั่วทั้งผืนพิภพ ราวสะท้อนรับกับโลหิตกว้างไกลไร้ขอบเขต จักรพรรดินีกัดฟันทอดมองไป จึงพบว่ามีโลหิตกว้างไกลไร้ขอบเขตสะท้อนอยู่จริง ๆ!
ลำธารยาวมโหฬารทอดพาดผ่านวิหารโบราณทั้งหลาย หลั่งไหลตามใจชอบ นี่คือลำธารโลหิตสายหนึ่ง ข้นเหนียวแดงฉาน จักรพรรดินีรู้สึกเหมือนได้กลิ่นเหม็นคาว ชวนสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง
บนลำธารมีสะพานหินยักษ์โบราณตั้งอยู่ พาดผ่านลำธารโลหิตเดือดพล่าน เชื่อมต่อกับดินแดนหนึ่ง จักรพรรดินีอยากมองให้ชัดว่าเชื่อมต่อกับที่ใด แต่นางมองไม่เห็น เพราะที่นั่นถูกหมอกดำหนาแน่นบดบังเอาไว้
“สะพานไน่เหอ…!”
หยวนอีรำพัน บนสะพานหินโบราณมีตัวอักษรยักษ์สลักไว้ เป็นตัวอักษรที่นางไม่รู้จัก กระนั้นยามได้เพ่งมองอักษรสลัก ความหมายของอักษรสลักกลับปรากฏอยู่เบื้องหน้านาง
บนสะพานหินโบราณอีกด้านหนึ่ง มียายแก่ผมขาวโพลน รูปร่างเตี้ยค่อมคนหนึ่ง เบื้องหน้านางมีหม้อใหญ่ใบหนึ่ง คล้ายว่ากำลังต้มอะไรบางอย่าง ไอร้อนระเหยขึ้นมาไม่หยุด
เสมือนว่านางรับรู้ถึงสายตาของหยวนอี จึงได้เงยหน้ามองนาง และคลี่ยิ้มเผยฟันซี่เหลือง
หยวนอีขวัญผวาจนรีบเบนสายตากลับมา ยามยายแก่มองนาง วิญญาณของนางแทบแตกสลาย เหงื่อเย็นไหลออกมารอบกรอบดวงหน้า!
“ดื่มน้ำแกงสิ…ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งสักถ้วย ล่วงรู้ทุกเรื่องราวเมื่อครั้งยังมีชีวิต แล้วไปที่ชอบ ๆ อย่างไร้บ่วง!”
หยวนอียิ่งตื่นกลัวเข้าไปใหญ่ เสียงของยายแก่ดังกึกก้องอยู่ข้างหูนาง ราวกับเข้ามาบอกนางตรงหน้า!
ยังดีที่สี่กระบี่ประหารเซียนในตัวนางเปล่งแสง พลังบางอย่างหลั่งไหลออกมาคุ้มครองนางไว้ หญิงสาวจึงไม่รู้สึกหวาดผวาแตกตื่นเท่าใด
“ลำธารโลหิต สะพานไน่เหอ แกงยายเมิ่ง…”
หยวนอีพึมพำเสียงเบา รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินที่ใดมาก่อน
ทว่านางประหม่าเกินเหตุ จึงยังนึกไม่ออก
ปรากฏการณ์ประหลาดค่อย ๆ ปรากฏขึ้นที่นั่น จวบจนเผยให้เห็นทั้งหมด เริ่มจากเผยสถานที่เพียงบางส่วน
จักรพรรดินีได้เห็นว่าที่นั่นเหมือนเป็นเมืองเก่าแห่งหนึ่ง!
บนประตูเมืองสูงใหญ่มีอักษรสลักอยู่เช่นกัน จักรพรรดินีก็ยังไม่รู้จัก ทว่าเมื่อนางทอดสายตามองไป ความหมายของอักษรสลักได้ปรากฏขึ้นในหัวนางอย่างแจ่มชัด
“เมืองเฟิงตู…”
นางอ่านตาม
หลังจากหยวนอีได้ยินที่จักรพรรดินีอ่าน นางก็ยิ่งประหลาดใจ ความรู้สึกคุ้นเคยปรากฏอีกครั้ง คล้ายว่านางเคยได้ยิน ‘เมืองเฟิงตู’ นี้ที่ไหนมาก่อน!
“ตำหนักยมราชทั้งสิบ…”
จักรพรรดินีหรี่ตา นับตำหนักโบราณซึ่งใหญ่ที่สุดในเมืองเก่า รวมแล้วได้สิบหลัง บนประตูตำหนักมีป้ายแขวนไว้ว่า ‘ตำหนักยมราช’
แน่นอนว่านางย่อมไม่รู้จักตัวอักษรเหล่านั้น อักษรลักษณะนี้พิเศษมาก นางแตกฉานความรู้ทั้งในยุคโบราณจนถึงปัจจุบันกาล ซ้ำยังเคยอ่านบันทึกเก่าแก่มามากเมื่อครั้งอยู่ในภพเซียน มีความรู้ของเกือบทุกยุคสมัย รวมถึงยุคโบราณที่สุดด้วย
กระนั้นนางยังไม่รู้จักตัวอักษรเหล่านี้
“ตำหนักยมราช!”
หยวนอีใจเต้นแรง ความรู้สึกคุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง
คล้ายว่านางจับจุดได้ ใกล้จะนึกออกเต็มที!
“ที่นั่นมีป้ายศิลาโบราณป้ายหนึ่ง…”
จักรพรรดินีทอดสายตาไปอีกครั้ง จึงพบกับป้ายศิลาโบราณขนาดใหญ่ ซึ่งมีอักษรสลักอยู่เช่นกัน
“ปรโลก…”
นางอ่านออกเสียง
ตอนที่ 667-668 เป็นของนิยายเรื่อง อยู่ดีๆข้าก็กลายเป็นเซียนนะคะ ลงผิดค่ะ