Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2022 เริ่มการประชันหมาก

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2022 เริ่มการประชันหมาก

กลางหุบเขางดงามเงียบเชียบที่อยู่ห่างจากเขาเมฆาไกลแสนไกล

ยามที่เงาร่างของหลินสวินเดินออกมาจากอุโมงค์อากาศ ภิกษุเฒ่าที่กำลังเดินหมากอยู่กับบรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีที่รูปร่างหน้าตาคล้ายเด็กหนุ่ม บนศีรษะสวมเกี้ยวประดับดอกบัวจู่ๆ ก็ฉายรอยยิ้มบางๆ ออกมา

“นับแต่บัดนี้ไป การเดินหมากเริ่มขึ้นแล้ว ตัวแปรก็ใกล้เข้าฉากแล้ว กระดานนี้… ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็ฯคนสุดท้ายที่สามารถวางหมากได้เหนือชั้นกว่า และรุ่นเราก็มาถูกเวลาพอดี สมกับที่ลำบากตรากตรำเฝ้ารออยู่ที่นี่”

เขาส่งเสียงทอดถอนใจออกมาคราหนึ่ง รอยย่นทั่วใบหน้าเจือประกายแสงที่เหมือนสลักด้วยกาลเวลาก็ไม่ปาน

“ฉานถูไม่มีทางจากไปจริงๆ เสวียนซั่งเฉินก็เป็นพวกไม่อยู่เฉย พวกเขาก็น่าจะนับเป็นสองตัวแปร แต่หากต้องการตีชิงตามไฟ เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้”

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีคีบหมากตัวหนึ่งขึ้นมา กล่าวสบายๆ “ส่วนข้าไม่คิดสนใจตัวแปรอะไร และไม่สนใจคีรีดวงกมลอะไรทั้งนั้น ขอเพียงคว้ามหาสมบัติแรกกำเนิดนั่นได้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็นับว่าสำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์”

เขากล่าวพลางตั้งท่าจะวางหมาก แต่มือที่อยู่กลางอากาศกลับหยุดชะงักไป

เกือบจะในเวลาเดียวกัน หัวคิ้วของภิกษุเฒ่าเลิกขึ้น กล่าวอย่างอึ้งงัน “ดูท่า… ตัวแปรจะมาก่อนเวลาเสียแล้ว ”

“ในเมื่อเป็นการประชันหมาก คิดอยากล่มกระดานย่อมต้องหาเส้นทางใหม่ ลงมือจากจุดที่อยู่เหนือคาดหมายของผู้คน”

เสียงหัวเราะเบิกบานสายหนึ่งดังขึ้น

ก็เห็น…

เงาร่างซูบผอมสายหนึ่งเดินออกมาจากไกลๆ แขนเสื้อกว้างโบกสะบัด ท่าทางผ่อนคลาย โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น สว่างไสวดุจดวงดารา ปราศจากความมัวหมอง

พร้อมๆ กับการย่างก้าวของเขา กลางฟ้าดินดุจดั่งดวงดาวโคจร สรรพสิ่งแปรเปลี่ยน ทิวทัศน์ทั้งหมดล้วนหายไปราวกับฟองสบู่

สุดท้ายกลายเป็นความว่างเปล่าสีดำสนิท ไร้ฟ้าไร้ดิน มีเพียงความว่างเปล่า!

หรือกล่าวได้ว่า ฟ้าดินและหุบเขาก่อนหน้านี้ล้วนแต่เกิดจากภาพมายา ทิวทัศน์ที่แท้จริงเป็นภิกษุเฒ่าและเด็กหนุ่มชุดดำคนนั้นนั่งวางหมากอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าสีดำมาโดยตลอด!

แต่เวลานี้เงาร่างซูบผอมสายนั้นทำลายภาพมายา สาวเท้าเดินเข้ามา การทำเช่นนี้เหมือนกับการบุกรุกโลกของอีกฝ่าย!

“หลี่เสวียนเวยแห่งคีรีดวงกมล?”

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มขมวดคิ้ว

“นอกจากบัวเขียวที่ปลูกในแดนแรกกำเนิดด้วยมือของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลอย่างเขาแล้ว บนโลกใบนี้ยังมีใครที่สามารถบุกรุก ‘โลกอาคมจักรพรรดิ’ ของเจ้ากับข้าได้ง่ายดายปานนี้อีกหรือ”

บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงที่ดุจดั่งภิกษุเฒ่าส่งเสียงทอดถอนใจออกมา “ข้าพูดถูกแล้วไหมเล่า จักรพรรดิกระบี่ฟ้าคราม? ไม่สิ หรือควรเรียกว่า ‘บรรพาจารย์กระบี่ฟ้าคราม’?”

ผู้มาก็คือหลี่เสวียนเวย!

เขาหัวเราะสบายๆ กล่าวว่า “แค่คำเรียกขานเท่านั้น ไม่เห็นใส่ใจ ที่สำคัญคือครั้งนี้ข้าคนแซ่หลี่มาโดยไม่ได้รับเชิญ แค่เพราะอยากประลองหมากกับท่านทั้งสองสักกระดานเท่านั้น”

ห่างออกไปพันจั้ง หลี่เสวียนเวยยืนนิ่ง เงาร่างสูงโปร่งเหยียดตรง คิ้วตาเจือรอยยิ้ม “ใครแพ้ คนนั้นก็ทิ้งชีวิตไว้เป็นอย่างไร”

“ตัวแปรที่ยิ่งใหญ่นัก”

บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงทอดถอนใจ

บรรพจารย์จักรพรรดิเสินซวีก็หยัดกายขึ้น นัยน์ตาเย็นเยียบดุจสายฟ้า จับจ้องหลี่เสวียนเวยจากที่ไกลโพ้น “ได้ยินมานานแล้วว่า ‘วิชาบัวเขียวหยั่งโลก’ ของเจ้ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ เร้นลับไร้ขอบเขต ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”

กลิ่นอายน่าสะพรึงไร้รูปสายหนึ่งแผ่ออกมาจากตัวเขา

หลี่เสวียนเวยกล่าวยิ้มละไม “ลองดูสักครั้งก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ภิกษุ เจ้าว่าอย่างไรเล่า”

บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าหมากกระดานค่อยๆ หยัดตัวขึ้น นัยน์ตาชราขุ่นมัวเปลี่ยนเป็นกระจ่างใสและเจิดจ้า เงาร่างโค้งค่อมก็เปลี่ยนเป็นเหยียดตรงเช่นกัน

แม้แต่รอยย่นทั่วใบหน้ายังอันตรธานหายไป กลายเป็นผิวพรรณประหนึ่งเด็กแรกเกิด

เขาพนมสองมือ ใบหน้าขึงขัง “เช่นนั้นก็ล่วงเกินแล้ว”

ตูม!

โลกว่างเปล่าสีดำสนิทอันกว้างใหญ่ ถูกแสงธรรมและเสียงสวดอันลึกล้ำไร้สิ้นสุดเติมเต็ม ขับเน้นจนบรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยคงดุจดั่งทวยเทพสูงสุด

หลี่เสวียนเวยยืดตัวบิดขี้เกียจคราหนึ่ง คล้ายเรียกความกระปรี้กระเปร่า ยิ้มกล่าวว่า “มาเถิด รีบตายรีบไปเกิดใหม่”

เขาเมฆา บรรยากาศเงียบสงัด

เมื่อเห็นหลินสวินสีหน้าเรียบเฉยสบายๆ ผ่อนคลายไม่ร้อนรน ถึงกับไม่เคยเผยแววกลัดกลุ้มใดๆ ออกมาสักนิด ทำให้ในใจระดับจักรพรรดิไม่น้อยต่างรู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง

“ดูท่านเจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์คลี่ยิ้มเย็น “เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าให้ ต่อให้วิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นโผล่มาก็ช่วยเจ้าไว้ไม่ได้!”

วิญญาณเร่ร่อน!

เมื่อได้ยินสี่คำนี้ หลินสวินก็ตัดสินได้เรื่องหนึ่ง การช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดครั้งนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็ฯภายนอกจริงๆ ด้วย

และตนเอง บางทีอาจกลายเป็นเหยื่อล่อชิ้นหนึ่ง จุดประสงค์ก็เพื่อล่อบรรดาศิษย์พี่จากคีรีดวงกมลเหล่านั้นออกมา!

“เจ้าเฒ่า เจ้านี่ข่มอารมณ์ไม่ไหวปานนี้ อีกเดี๋ยวเกรงว่าจะประสบเคราะห์เป็นคนแรก”

หลินสวินยังคงสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม

จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นหลุดขำ คล้ายกับคร้านจะปะทะฝีปากกับหลินสวิน กล่าวตรงๆ ว่า “ส่งมหาสมบัติแรกกำเนิดและยอดศุภโชคชิ้นนั้นบนตัวเจ้าออกมา ข้าจะให้เจ้าตายสบายสักหน่อย!”

เสียงดุจสายฟ้าฟาด บีบคั้นเต็มเปี่ยม

อานุภาพระดับจักรพรรดิอันน่าสะพรึงหอบม้วน ประหนึ่งเขาถล่มคลื่นซัดโหม สั่นคลอนฟ้าดินแถบนี้

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นก็เหมือนชนวนระเบิด กลิ่นอายที่แต่เดิมปกคลุมในพื้นที่แถบนี้ ใช้พลังเจตจำนงจับจ้องไปยังร่างหลินสวินต่างก็เริ่มระแวดระวังขึ้นมา

เสมือนเกรงว่าหลินสวินจะถูกจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นชิงฆ่าตายก่อน!

“เจ้าพวกเศษเดนคีรีดวงกมลยังไม่ทันปรากฏตัวก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะส่งผลลุกลามหรือไร”

น้ำเสียงเรียบเฉยสายหนึ่งดังขึ้น ประณามการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น

“ถ้าจะลงมือจริงๆ เจ้าเดรัจฉานนี่ก็ควรให้เรือนมรรคจักรวาลของข้าจัดการ ผู้สืบทอดเหล่านั้นของเรือนมรรคจักรวาลของข้าจะต้องไม่ตายเปล่า!”

น้ำเสียงนิ่งขรึมอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

“จะแก่งแย่งกันตอนนี้หรือ เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเกรงใจอีก ประโยคเดียวเท่านั้น มหาสมบัติแรกกำเนิดบนตัวเจ้าหมอนี่ต้องเป็นของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของข้า”

“เป็นของเจ้า? เจ้าเฒ่า ไม่ได้เจอกันหลายปีขนาดนี้ ยังคุยโวคำโตอยู่เหมือนเดิม!”

เสียงหลายเสียงดังขึ้น เปี่ยมด้วยกลิ่นอายกร้าวแกร่ง ทำเอาฟ้าดินเมฆลมแถบนี้เปลี่ยนสี

หลินสวินมองดูภาพนี้อย่างเฉยชา ในใจผุดอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก เจ้าเฒ่าพวกนี้อวดดีปานใด นี่กำลังมองเขาเป็นเหยื่อให้แก่งแย่งกันอยู่หรือ

ตูม!

ห้วงอากาศพังทลาย ซ้ำยังมีคนลงมือตรงๆ ยื่นมือยักษ์บดบังฟ้าข้างหนึ่งออกมา คว้าไปทางหลินสวิน

แต่ระหว่างทางก็ถูกมือใหญ่อื่นๆ ที่ยื่นออกมาขัดขวางเอาไว้ บังเกิดแรงปะทะสะเทือนฟ้าดิน เสียงมรรคอึงอล

“เข้ามาเถอะ!”

ท่ามกลางฝุ่นละอองคละคลุ้ง ทันใดนั้นเงาแส้สีเทาขุ่นสายหนึ่งก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะหลินสวิน ปิดครอบลงมา เร็วจนน่าเหลือเชื่อ

“แส้เร้นนภา!”

มีเสียงอุทานตกใจดังขึ้น ยามเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็หยุดยั้งไม่ทันแล้ว

“เปิด!”

ก็เห็นหลินสวินไม่ขยับเขยื้อน ในเรือนผมเขากลับมีปราณกระบี่ที่เหมือนลำแสงคมสายหนึ่งพุ่งโฉบออกมา ฟันเบาๆ กลางห้วงอากาศ

เงาแส้สีเทาขุ่นสายนั้นถูกฟันออกเป็นสองท่อน สลายไปอย่างไร้สุ้มเสียง

ส่วนปราณกระบี่สายนั้นกลับกลายเป็นคนจิ๋วสามซุ่น เป็นวิญญาณกระบี่เย่จื่อนั่นเอง!

เงาร่างของเขาเล็กจ้อยถึงขีดสุด แต่เมื่อเข้าสู่สายตาของเหล่าระดับจักรพรรดิ กลับเสมือนมองเห็นอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ส่องแสงเด่นกลางฟ้า ลำแสงสาดหมื่นจั้ง พร่าตาไร้ทัดเทียม

“วิญญาณกระบี่!”

สถานการณ์ที่ชุลมุนแต่เดิมพลันสงบนิ่งลงทันควัน คนใหญ่คนโตมากมายต่างหรี่ตาลง คล้ายรู้สึกประหลาดใจยิ่ง

มีเพียงสมบัติจักรพรรดิบริสุทธิ์จึงจะให้กำเนิดวิญญาณอาวุธที่แท้จริงได้ ล้ำค่าและหายากอย่างที่สุด แม้จะเป็นระดับจักรพรรดิยังมีน้อยยิ่งกว่าน้อยที่สามารถฟูมฟักวิญญาณอาวุธเช่นนี้ออกมาได้

“ดูท่าว่าของดีในมือเจ้าหมอนี่จะมีไม่น้อยเลย”

น้ำเสียงเย็นเยียบสายหนึ่งดังขึ้น

ระดับจักรพรรดิมากมายยิ่งกระเหี้ยนหระหือรือ

และท่ามกลางเงามืดนั้น ยิ่งมีพลังเจตจำนงน่าสะพรึงไม่รู้เท่าไหร่กำลังสั่งสมพลังเตรียมบุก

“ข้าสงสัยมากกว่า ว่าจนป่านนี้แล้วเหตุใดวิญญาณเร่ร่อนแห่งคีรีดวงกมลพวกนั้นถึงยังไม่โผล่มาอีก…”

มีคนพูดเบาๆ ทำให้ในใจคนไม่น้อยสะท้าน

การเดินหมากครั้งนี้ เริ่มเปิดม่านตั้งแต่ตอนที่หลินสวินปรากฏตัวแล้ว

และเหตุที่พวกเขาไม่ลงมือฆ่าหลินสวินทันที ก็เพราะห่วงว่าถ้าฆ่าเหยื่อล่อแล้วจะทำให้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นหนีเตลิดไปก่อน

แต่สถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว สถานการณ์ของหลินสวินยิ่งอันตรายถึงขีดสุด ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลพวกนั้นกลับยังไม่เคยปรากฏตัว นี่ทำให้พวกเขาอดระแวงขึ้นมาไม่ได้

แต่ก็มีคนที่มีที่พึ่ง ไม่นึกเกรงกลัวแต่อย่างใด

เหมือนอย่างจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น เขาโบกมือคราหนึ่งอย่างไม่ลังเล เงาแส้สีเทาขุ่นสายหนึ่งก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะหลินสวิน ปิดครอบลงมาอีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าเจ้าของแส้เร้นนภานั่น ก็คือจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น!

วิญญาณกระบี่เย่จื่อเลือดเย็นยิ่ง ยกมือขึ้นกวาดเบาๆ ปราณกระบี่พาดขวาง ฟันใส่การโจมตีนี้

“ฮ่าๆ ให้ข้าจัดการดีกว่า วิญญาณกระบี่นี่ไม่ธรรมดา สามารถหลอมเป็นจิตแห่งศาสตรามารเชียว จะถูกพวกเจ้าเหยียบย่ำไม่ได้เด็ดขาด”

เสียงหัวเราะดังลั่นสายหนึ่งดังขึ้น กลางห้วงอากาศปรากฏภูเขาใหญ่กระดูกขาวลูกหนึ่ง จักรพรรดิมารผลาญนภายืนผ่าเผยอยู่บนนั้น ฝ่ามือหนึ่งกดไปทางหลินสวินทันควัน

“เจ้าต้องการวิญญาณกระบี่นี่ ข้าต้องการชีวิตเจ้าหมอนี่!”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเองก็ลงมือเช่นกัน เรียกกะบังมังกรเพลิงออกมา พ่นฝนเพลิงมหาศาลกลายเป็นทะเลเพลิง ไหลทะลักปั่นป่วนพุ่งไปทางหลินสวิน ผลาญฟ้าทำลายดิน น่าสะพรึงไร้สิ้นสุด

“เฮอะ! นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าทุกคนจะตกลงหรือไม่!”

“เป็นเช่นนี้แหละ”

เพียงพริบตาเท่านั้นก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งแผ่คลุมลงมาประหนึ่งปิดฟ้าครอบตะวัน ซ้ำยังมีสมบัติลับบางส่วนพุ่งพาดกลางอากาศ พลังเข่นฆ่าสะท้านฟ้า

และก็เป็นชั่วขณะนี้ ด้านหน้าหลินสวินปรากฏเงาร่างกำยำหาใดเปรียบสายหนึ่ง รอบกายวิวัฒน์เป็นเส้นสายอสนีไร้จำกัด ดุจดั่งเทพอสนีบรรพกาลมาเยือนโลก

ตูม!

เขาเงื้อหมัดซัดฆ่า เจือกฎเกณฑ์อสนีไร้สิ้นสุด กัมปนาทกึกก้องแหวกเปิดห้วงอากาศ แสงอสนีสั่นสะเทือนเก้าชั้นฟ้า!

เพียงพริบตาโต้กลับการโจมตีที่มาจากสี่ทิศแปดทางให้สลายไป

ละอองแสงสาดพรม ยิ่งขับเน้นให้เงาร่างสายนั้นดูเหนือธรรมดา ดุจดั่งร่างแปลงแห่งมรรคอสนี เผด็จการไร้ขอบเขต!

“จักรพรรดิอสนีดับสูญ! เจ้าถึงกับยังไม่ตายหรือ”

เสียงแก่ชราที่ดูตกใจสายหนึ่งดังขึ้นกลางฟ้าดินแถบนี้

เหล่าจักรพรรดิในที่นั้นต่างตกใจทันที

พวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นยิ่งหน้าเปลี่ยนสีครั้งใหญ่

จักรพรรดิอสนีดับสูญจี้เสวียน บุคคลในตำนานระดับจักรพรรดิเก้าชั้นฟ้า ตำนานที่ผู้ครอบครองมรรคอสนีไม่มีใครเทียบได้!

เผชิญหน้ากับบุคลระดับนี้ ระดับจักรพรรดิในที่นี้อย่างพวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกรุ่นเด็กเลยสักนิด!

“ในคำเล่าลือ คนผู้นี้ไม่ใช่ร่วงหล่นในเขตต้องห้ามเซียนโบราณตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้วหรือ”

คนมากมายอารมณ์ปั่นป่วน ไม่อาจสงบได้

คนรุ่นเยาว์ที่ไม่สลักลสำคัญอะไรอย่างหลินสวิน กลับไม่เพียงครอบครองวิญญาณกระบี่ ข้างกายยังมีจักรพรรดิอสนีดับสูญคอยปกป้อง นี่อยู่นอกเหนือการคาดหมายของทุกคนโดยสิ้นเชิง

ใครเลยจะคาดคิด แค่ต่อกรกับเจ้าตัวจ้อยคนหนึ่งเท่านั้น พวกผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นยังไม่ทันปรากฏตัว ก็เกิดระคลอกคลื่นผันผวนเช่นนี้ขึ้น

“ที่แท้ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ถึงกับยังมีคนจำข้าได้อยู่”

เงาร่างของจี้เสวียนพร่างพราย อาบชโลมอยู่ท่ามกลางกฎเกณฑ์มรรคอสนีที่โชติช่วงปะทุเดือด กล่าวเสียงเย็น “แต่ที่ข้าคิดไม่ถึงคือ… คนอย่างพวกเจ้ากลับร่วมกันลงมือกับคนรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ไม่รู้สึก… ไร้ยางอายเกินไปหรือไร”

น้ำเสียงเจือแววดูถูกและเหยียดหยามอย่างไม่คิดปกปิด

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท