ตอนที่ 2036 จองหองทะลุเมฆาเช่นตอนนั้น
ชั่วพริบตานี้ รัตติกาลมืดมิดราวน้ำหมึกเหนือโลกใหญ่หงเหมิงนั้น ถูกแสงดุจเปลวเพลิงสายหนึ่งฉีกเป็นรอยแยก
ผู้ฝึกปราณทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้ต่างใจสั่นระรัว
ด้านสัตว์ประหลาดเฒ่าในขุมอำนาจต่างๆ ที่เร้นกายอยู่แต่ละคนต่างประหวั่นพรั่นพรึง กลิ่นอายต่อสู้น่ากลัวนัก!
แหล่งสถานคุนหลุน
ที่แดนลับท้อแบน จู่ๆ เงาร่างงามสีม่วงร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ยืนอยู่เหนือต้นท้อแบนต้นนั้น บนใบหน้างดงามดุจภาพวาดหลั่งน้ำตานองเต็มหน้าอยู่เงียบๆ
“เขามาแล้วดังคาด”
ชายหนุ่มจักจั่นทองในชุดผ้าป่านเปลือยเท้าทะลวงผ่านห้วงอากาศ เพิ่งมาถึงโลกใหญ่หงเหมิงก็อึ้งไปเล็กน้อย เผยรอยยิ้มรู้ใจ
“ในที่สุดตัวแปรใหญ่ที่สุดก็ปรากฏแล้ว ความแค้นที่สืบเนื่องมาตั้งแต่อดีตจวบจนตอนนี้ จะต้องได้ผลลัพธ์ในวันนี้”
กลางฟ้าดาราเฒ่าโดดเดี่ยวแสยะยิ้มขึ้นมา พลันผินหน้ากล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้าเฒ่า รีบไป หาไม่จะไม่ทันละครฉากเด็ดคราวนี้แล้ว!”
ราชครูที่อยู่ด้านหลังจนใจไปครู่หนึ่ง “เขาในตอนนั้นแพ้ไปแล้ว เขาในตอนนี้… มั่นใจว่าจะชนะจริงๆ หรือ”
เขาคิดๆ ดูแล้วตอบเองว่า “อาจจะกระมัง”
……
เขาเมฆา
สายลมระลอกนั้นพัดมาปุบปับปานนี้ แต่กลับทำให้ทั่วหล้าต่างตกตะลึง
เสียงหัวเราะหยัน บ้าคลั่ง ดังลั่นก่อนหน้านี้ก็เงียบลงในตอนนี้ทันที คล้ายสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล
สักพักเสียงหัวเราะนี้ก็ดังขึ้นมาอีก “มีตัวแปรเกิดขึ้นอีกหรือ น่าเสียดาย ภายใต้ระเบียบต้องห้ามนี้ ตัวแปรทั้งหมดจะถูกทำลายล้าง ไม่ว่าใครมาก็ไม่อาจเปลี่ยนจุดจบที่เศษเดนคีรีดวงกมลพวกนี้ถูกสังหารไปได้!”
เสียงดังก้องไปทั้งที่นั้น
แต่ขณะนี้รั่วซู่กลับไม่รู้สึกแย่หรือเจ็บปวดแม้สักนิด เนตรกระจ่างของนางเปล่งประกาย ตั้งตาคอยอยู่เงียบๆ
หลินสวินก็เดาอะไรได้ ในใจปั่นป่วน รู้สึกว่าเลือดทั้งตัวคล้ายเดือดพล่านขึ้นในชั่วพริบตานี้
“เห็นหรือไม่ เศษเดนคีรีดวงกมลพวกนี้กำลังจะตายแล้ว!”
เสียงนั้นดังลั่น
การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด พวกหลี่เสวียนเวย จวินหวนที่ต่อสู้จนร่างชโลมเลือดต่างจวนเจียนจะล้มลง ไม่ว่าใครได้เห็นภาพนี้ต่างรู้สึกตกตะลึง
ก็ในตอนนี้เอง ลมระลอกนั้นสงบลงฉับพลัน จู่ๆ เสียงต่ำลึกแหบแห้งสายหนึ่งพลันดังขึ้น
“ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลของข้า ไม่ตายหรอก!”
เสียงนี้ฟังยากไม่ชัดเจนคล้ายไม่ได้พูดจามานานแล้ว แต่เมื่อดังขึ้นกลับมีอานุภาพจองหอง เย่อหยิ่งและอหังการกระจายออกมา
ทุกๆ คำต่างหยิ่งผยองทะลุเมฆา!
ฟ้าดินสั่นสะท้าน ห้วงอากาศหวีดร้อง คล้ายหวาดกลัวอานุภาพที่เสียงนี้แผ่ออกมา
ทุกคนในที่นั้นต่างแสบตาไปครู่หนึ่ง เพียงเห็นรางๆ ว่าเงากระบองสีทองสายหนึ่งฉายวาบรวดเร็ว
จากนั้น…
เสียงหัวเราะหยันดังลั่นก่อนหน้านี้ ขณะนี้กลับเปลี่ยนเป็นเสียงคำรามน่าประหวั่น
“ไม่!”
สั้นกระชับถึงที่สุด ทันทีที่แว่วมาก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว
ในมุมมืดไกลลิบ เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซุ่มอยู่ผู้หนึ่งถูกกระแทกกระจุยไปทั้งตัว ฝนเลือดซัดสาดราวน้ำตก ย้อมห้วงอากาศให้เป็นสีแดง
เห็นได้ชัดว่าเสียงที่ดังขึ้นไม่หยุดเมื่อกี้มาจากเฒ่าดึกดำบรรพ์ผู้นี้ แต่ในขณะนี้เขากลับเอ่ยได้แค่คำว่าไม่ก็ตายคาที่
จิตสิ้นวิญญาณสลาย!
แม้ไม่ได้เห็นภาพสะท้านใจนี้ แต่ทุกคนในที่นั้นต่างก็ใจสั่นอย่างรุนแรง สังหรณ์ได้ถึงความจริงอันนองเลือดข้อนี้
“ปากมากน่ารำคาญ อ่อนแออย่างกับแมลงวัน!”
เสียงติดขัดฟังยากนั้นดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ยังคงจองหองและหยิ่งผยองเช่นเดิม
เฉกเช่นเมื่อปีนั้น!
แล้วก็เป็นตอนนี้ ในที่สุดทุกคนก็เห็นว่ากลางห้วงอากาศมีเงาร่างสูงใหญ่เป็นที่สุดร่างหนึ่งปรากฏขึ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ร่างเขามีแสงบาดตาไหลหลั่ง เปล่งประกายโชติช่วงไม่อาจเทียบได้ประหนึ่งเพลิงผลาญรุนแรง ไม่มอดดับชั่วนิรันดร์
เวิ้งฟ้าแห่งนี้มืดมิดเพียงไหน ยังถูกคนผู้เดียวส่องสว่าง!
ความหวาดผวาและหนาวสะท้านอันไม่อาจบรรยาย ผุดขึ้นในใจระดับจักรพรรดิและเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวในที่มืดเหล่านั้น ไม่อาจกดกลั้น ไม่อาจกำจัด
ความรู้สึกนั้น ก็เหมือนได้เห็นนายเหนือหัวแห่งการต่อสู้ผู้หนึ่งกระโจนออกมาจากพันธนาการชั่วนิรันดร์ ทำให้ฟ้าดินสั่นสะท้าน สุริยันจันทราอับแสง!
และเมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่หยิ่งผยองจองหองทะลุเมฆานี้ รั่วซู่ก็ร้องตื่นเต้นออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่!”
เพียงสามคำเท่านั้น สะเทือนฟ้าดิน
หลินสวินสะท้านในใจ ในสมองมีภาพเงาร่างที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูภูเขาที่พังทลาย เงาร่างนั้นกรำศึกเหนือเก้าฟ้า เคยเข่นฆ่าจนสะเทือนหมื่นกาล!
เงาร่างนั้นมาบรรจบกับร่างที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศในชั่วพริบตานี้แล้ว…
“ศิษย์พี่ใหญ่…”
หลินสวินพึมพำ แววตาเหม่อลอย
ในใจเขา ศิษย์พี่ใหญ่เป็นดั่งตำนานที่ไม่อาจแตะต้องได้
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่เก่ออวี้ผูหรือศิษย์พี่รั่วซู่ ขอเพียงพูดถึงศิษย์พี่ใหญ่ต่างเกิดความเคารพและภาคภูมิใจ
เขาในตอนนั้นพยศจองหอง แปลงร่างนับหมื่นพัน สร้างเรือนมรรคคืนกำเนิดที่ ‘ทั้งสำนักคือมหาจักรพรรดิ คืนกำเนิดชั่วนิรันดร์!’ ด้วยมือเดียว
อาจารย์ชื่นชมเขาว่า ‘ศิษย์ไม่จำเป็นต้องสู้อาจารย์ไม่ได้’
เขาในตอนนั้นเคยเข้าร่วม ‘งานชุมนุมวิชาหอบรรพจารย์’ เอาชนะบุคคลระดับบรรพจารย์ที่ห้าเรือนมรรคใหญ่อย่างจักรวาล ดึกดำบรรพ์ ยุทธจักร เหล่ามารและโลกาสวรรค์ส่งมา ทำให้เรือนมรรคคืนกำเนิดขึ้นไปเป็นหนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่ สะท้านทั้งใต้หล้า
เขาในตอนนั้นก็เคยเปิดศึกกับจอมจักรพรรดิไร้นาม ด้วยฐานะผู้สืบทอดลำดับหนึ่งของคีรีดวงกมล
ศึกนั้น ใครก็ไม่รู้เบื้องลึก
และก็เป็นหลังจากศึกนี้ที่คีรีดวงกมลประสบเคราะห์ใหญ่ ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิปะทุขึ้น…
ศิษย์พี่ใหญ่ที่รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ คิดว่าหายนะใหญ่คราวนี้เป็นเพราะตนชักนำมา เขาจากไปเพียงลำพัง ทิ้งมรดกตกทอดทั้งตัวไว้ที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์…
ใครก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหน
แต่ก็เป็นตอนนี้หลังจากผ่านไปเกือบแสนปี ภายใต้พลังด่านเคราะห์ต้องห้ามที่มาเยือนนี้ เขา… กลับมาอีกครั้ง!
ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งราวกับตำนาน!
เหนือเวิ้งฟ้า เงาร่างสูงใหญ่ดุจดั่งเพลิงผลาญพอมองดูรั่วซู่ หลินสวินครั้งหนึ่ง เพียงพูดว่า
“ข้ากลับมาแล้ว”
สี่คำ คล้ายประกาศคำบัญชาไปทั่วหล้า!
สำหรับรั่วซู่แล้ว สี่คำนี้ก็เปรียบเหมือนคำปลอบใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกเขารอคอยมาเกือบแสนปี
โครม!
ในห้วงอากาศเขาเคลื่อนไหวแล้ว เงาร่างดุจเพลิง ฉีกทึ้งห้วงอากาศ
“ศึกนี้ดำเนินมาถึงตอนนี้ ย่อมควรให้ข้าเป็นคนจบมัน”
ท่ามกลางเสียงต่ำลึก สงบนิ่ง และเด็ดขาด ร่างของเขาปรากฏตัวขึ้นในสนามรบอีกครั้ง ประหนึ่งกลับคืนสู่โลกที่เขาคุ้นเคยเป็นที่สุด
พลังต่อสู้อันน่ากลัวแผ่กระจายออกมาจากร่างเขาประหนึ่งทะเลคลั่งคำราม ม้วนตลบไปทั้งที่นั้น
ปึง! ปึง!
เบื้องหน้าปู่ซ่วนจื่อ วิญญาณต้องห้ามทองอร่ามสูงหมื่นจั้งสองตนยังไม่ทันได้หลบหนี ก็ถูกตีพ่ายกลายเป็นละอองแสงหายลับไปในชั่วพริบตานี้
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรารอท่านมานานมาก!”
ปู่ซ่วนจื่อร้องตื่นเต้นเสียงดัง เขาบาดเจ็บเจียนตาย เลือดโชกไปทั้งตัว แต่ในตอนนี้ยามได้เห็นเงาร่างอันจองหองที่คุ้นเคยหาใดเทียบนั้น มุมปากเขาก็ยกยิ้มด้วยความยินดีปรีดา
“เจ้าลูกคิดน้อย เช็ดเลือดบนตัวเจ้าเสีย ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยเจ้าระบายอารมณ์ดีหรือไม่”
เมื่อเสียงดังขึ้นเขาก็ถลาไปอีกที่หนึ่งแล้ว
“อืม!”
ปู่ซ่วนจื่อสูดหายใจลึก พยักหน้าแรงๆ ตอนเขากราบอาจารย์เข้าสำนักยังเป็นแค่เด็กน้อย แต่ตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่เป็นนายเหนือหัวแห่งการต่อสู้ที่มีชื่อสะท้านใต้หล้ามานานแล้ว
ต่อให้ตอนนี้มรรคาเขามีพลังที่สามารถสะเทือนโลกได้แล้ว แต่พอถูกศิษย์พี่ใหญ่เรียกว่า ‘เจ้าลูกคิดน้อย’ เขาก็ยังดีใจมากเหมือนเดิม
ตูม!
เบื้องหน้าเซิ่นเหยียน วิญญาณต้องห้ามสองตนถูกสังหารย่อยยับอย่างง่ายดาย รับการโจมตีของเงาร่างนั้นไม่ไหวอย่างกับกระดาษเปื่อย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ฮ่าๆๆ ข้ารู้ว่าท่านจะต้องมา พวกเราคีรีดวงกมลน่ะ… ในที่สุดก็มีความหวังแล้ว… แค่กๆ”
เซิ่นเหยียนไออย่างรุนแรง สีหน้าซีดขาว
“บาดเจ็บหนักขนาดนี้ก็พูดให้มันน้อยหน่อย ให้ตายสิ ไม่รู้หรือว่าตอนนั้นคนที่ข้าหงุดหงิดที่สุดก็คือเจ้าหนูอย่างเจ้า”
เสียงพูดยังดังต่อไป แต่เงาร่างพุ่งไปยังสนามรบอื่นแล้ว
เซิ่นเหยียนแสยะยิ้มเอ่ยว่า “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ยิ่งศิษย์พี่ใหญ่หงุดหงิดข้า ก็พิสูจน์ว่าในใจยิ่งใส่ใจข้า… แค่กๆ…”
เขาพูดพลางไอขึ้นมาอีก
ตูม!
ที่ตามมาติดๆ คือวิญญาณต้องห้ามตรงหน้าชิงถิงถูกโจมตีแหลกกระจุย
บัดนี้ชายหนุ่มเคร่งขรึมที่นับตั้งแต่พวกเก่ออวี้ผูประสบเคราะห์ก็เงียบเชียบไม่พูดจามาหลายปีคนนี้ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเปล่งออกมาเพียงว่า “ศิษย์พี่ใหญ่”
เกือบแสนปีแล้ว…
ความเงียบของเขา ขณะนี้แปรเปลี่ยนเป็นคำว่าศิษย์พี่ใหญ่แล้ว!
“ความแค้น ให้ข้าชำระ”
นี่ก็คือคำตอบของศิษย์พี่ใหญ่ คำง่ายๆ เหล่านี้กลับทำให้ขอบตาของชิงถิงแดงไปหมด
ต่อมาเงาร่างสูงใหญ่จองหองนั้นก็ห้อตะบึงไปในที่นั้น ทุกที่ที่ผ่าน วิญญาณต้องห้ามร่างแล้วร่างเล่าจะถูกถล่มสังหาร ความอหังการและทรงอำนาจเช่นนั้น ไร้ศัตรูใดเทียบประหนึ่งเทพสงครามผู้เกรียงไกร
หลี่เสวียนเวย จวินหวน ผู่เจิน ชื่อจวิน จิ่งจงเยวี่ย… ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่ละคนต่างดูเบิกบานและซาบซึ้งปานนั้น
ราวกับได้กลับไปในอดีตอันแสนนานอีกครั้ง
ตอนนั้นมีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเขาต่างรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะไม่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้คนไหน ศัตรูคนใด ต่างถูกศิษย์พี่ใหญ่บดขยี้ ไม่มีโอกาสให้พวกเขาได้เข้าไปแทรกแซงแต่อย่างใด
เขาก็เหมือนเทพที่เกิดมาเพื่อสงคราม หลอมมหามมรรคด้วยการต่อสู้!
ในใจผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเขา คำว่าศิษย์พี่ใหญ่มีเพียงความหมายเดียวมาโดยตลอด
พิชิตทุกศึก ชนะทุกสงคราม!
“นี่ก็คือศิษย์พี่ใหญ่”
ดวงตารั่วซู่ฉายแววประหลาดอย่างไม่เคยมีมาก่อน พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่พบเห็นได้ยากกับหลินสวินว่า “ตอนเขาปรากฏตัว พวกเราคีรีดวงกมลก็เหมือนมีเสาหลัก ถ้าฟ้าถล่มก็ไม่ต้องตกใจ เพราะต้องเป็นถูกเขาถล่มแน่”
ใจหลินสวินสะท้านไหวไปนานแล้ว มองดูเงาร่างจองหองที่กวาดราบทั้งสนามรบ สังหารราวพายุม้วนตลบเมฆ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของศิษย์พี่รั่วซู่ เขามีเพียงความรู้สึกเดียว
นี่ เป็นตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่ง!
ตูม!
ในที่นั้นเสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังก้อง วิญญาณต้องห้ามตนสุดท้ายก็ถูกถล่มสังหาร กลายเป็นละอองแสงสลายไปกลางฟ้าดิน
เงาร่างจองหองนั้นยืนตระหง่าน ฝุ่นควันอบอวลรอบกายเขา แสงประกายพร่างพราวดุจเพลิงผลาญอาบไล้ทั่วร่างเขา ทำให้ตัวเขาคล้ายเป็นแสงนิรันดร์ ส่องสว่างไปทั่วหล้า
วังวนที่หมุนวนอยู่เหนือเวิ้งฟ้าตกอยู่ในความเงียบสงัดถึงขีดสุด
ห่างไปไกลลิบ เหล่าระดับจักรพรรดิรวมถึงเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวในที่มืดเหล่านั้นต่างหวาดหวั่นจนไม่อาจควบคุมได้ สีหน้าเหม่อลอย
ขณะนี้ฟ้าดินเงียบสงัด สั่นสะท้านเพราะสิ่งนี้!
——