Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2039 จักจั่นนี้แม้เล็กจ้อย แต่มรรคสูงล้ำฟ้า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2039 จักจั่นนี้แม้เล็กจ้อย แต่มรรคสูงล้ำฟ้า

ตอนที่ 2039 จักจั่นนี้แม้เล็กจ้อย แต่มรรคสูงล้ำฟ้า

เป็นเขา!

ในขณะเดียวกัน เมื่อเห็นชายหนุ่มชุดผ้าป่านเท้าเปล่า รูปลักษณ์น่าดึงดูดคนนั้น หลินสวินก็ตกตะลึงและประหลาดใจ

เขาจะลืมผู้อาวุโสที่เคยจำศีลอยู่ที่ป่าต้นหม่อน และได้ ‘พูดคุย’ กับตนไปได้อย่างไร

คนผู้นี้ย่อมเป็นชายหนุ่มจักจั่นทอง บุคคลลึกลับที่เคยพูดจาใหญ่โตว่า ‘ปรารถนาให้สรรพชีวิตทั่วหล้ากลายเป็นอริยะ’ บุคคลในตำนานที่เดินออกไปเพียงก้าวเดียวก็ทะลวงพลังระเบียบต้องห้าม ทะยานสู่ฟ้าสูง!

เป็นชายหนุ่มจักจั่นทอง ที่ไขข้อกังขา บอกเล่าเรื่องราวของ ‘จอมจักรพรรดิไร้นาม’ ให้หลินสวินรู้!

ในใจหลินสวิน ชายหนุ่มจักจั่นทองเป็นบุคคลลึกลับถึงที่สุดคนหนึ่ง การได้ปฏิสัมพันธ์กับเขา ไม่มีทางทำให้คนเกิดความรู้สึกขัดแย้งใดๆ ได้โดยปริยาย

ทั้งตัวเขาอ่อนโยนราวกับลมวสันต์ นุ่มนวลดุจหยกงาม กระทั่งทำให้ผู้คนมักจะหลงลืมไปว่า จริงๆ แล้วเขามีมรรควิถีและพลังที่ลึกล้ำมากเพียงไหน!

“เป็นจักจั่นทองตัวนั้น!”

ขณะนี้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างหลี่เสวียนเวย จวินหวน ผู่เจิน ต่างคล้ายจำเงาร่างที่ยืนสันโดษอยู่กลางห้วงอากาศนั้นได้ ล้วนตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่

ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว เคยมีจักจั่นทองตัวหนึ่งไปยังคีรีดวงกมล หยุดอยู่บนต้นไม้โบราณนอกประตูเขา ฟังเจ้าแห่งคีรีดวงกมลบรรยายมหามรรค ฟังครั้งหนึ่งก็ผ่านไปสามสิบปี

เจ้าแห่งคีรีดวงกมลไม่ได้ขับไล่มันไป แต่สั่งคนในสำนักไม่ให้ไปรบกวนมัน

สามสิบปีผ่านไป จักจั่นทองแปลงร่างเป็นชายหนุ่ม คารวะให้คีรีดวงกมลจากไกลๆ แล้วก็หันหลังจากไป

ตอนนั้นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลที่กำลังบรรยายมหามรรคให้คนในสำนักยิ้มน้อยๆ กล่าวประโยคหนึ่งที่ยังประทับอยู่ในใจของพวกรั่วซู่อย่างลึกซึ้งจนตอนนี้

‘สามสิบปีหยั่งฌาน หยั่งรู้ในวันเดียว จักจั่นนี้แม้เล็กจ้อย แต่มรรคสูงล้ำฟ้า!’

มรรคสูงล้ำฟ้า!

คำชมเช่นนี้มาจากปากเจ้าแห่งคีรีดวงกมล จะให้พวกรั่วซู่ลืมได้อย่างไร

และก็เป็นตั้งแต่ตอนนั้นเช่นกัน ที่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเขาต่างจำจักจั่นทองตัวนั้นเอาไว้

บัดนี้จักจั่นทองตัวนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ยืนอยู่ใต้เวิ้งฟ้า แหงนหน้ามองส่วนลึกของวังวน ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที

เขามาคราวนี้เป็นเพราะเหตุใด

“ทุกท่านรู้ไหมว่า หากจอมจักรพรรดิไร้นามปราชัย ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”

ครู่ใหญ่จู่ๆ ชายหนุ่มจักจั่นทองก็เคลื่อนสายตาไปมองพวกรั่วซู่

โดยไม่รอคำตอบ เขาก็พูดเองแล้วว่า “ถึงตอนนั้นพลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ก็จะไม่ได้หายไปเช่นนี้ เพราะต้นกำเนิดของพลังระเบียบต้องห้ามนี้มาจากฟากฝั่งฟ้าดารา จอมจักรพรรดิไร้นามผู้นั้นเป็นเพียง ‘ผู้ดูแล’ คนหนึ่งเท่านั้น”

“เขาตายแล้ว ยังจะมีจอมจักรพรรดิไร้นามอีกคนปรากฏขึ้นอีก เว้นแต่เอาชนะต้นกำเนิดระเบียบต้องห้ามนี้ พันธนการที่ปกคลุมบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ถึงจะสลายไปโดยสมบูรณ์”

คำพูดเดียวทำให้พวกรั่วซู่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

“จักจั่นทอง นี่พูดจริงหรือ” หลี่เสวียนเวยถาม

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูด “เรื่องใหญ่ปานนี้ ข้าไม่กล้าพูดเพ้อเจ้ออะไรทั้งนั้น”

ตูม!

ณ ส่วนลึกของวังวนเวิ้งฟ้า การต่อสู้ดุเดือดของศิษย์พี่ใหญ่กับจอมจักรพรรดิไร้นามยังดำเนินอยู่เช่นเดิม มีเสียงห้ำหั่นสะท้านฟ้าสะเทือนดินลอยมาเป็นพักๆ

ไกลออกไปเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูก็สู้ศึกกับเหล่าบรรพจารย์จักรพรรดิ ทำเอาฟ้าดินพลิกตลบ ทั่วหล้าสั่นไหว

การประชันหมากครั้งใหญ่นี้จวนจะถึงช่วงตัดสินแพ้ชนะแล้ว

แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินวาจาของชายหนุ่มจักจั่นทอง กลับทำให้จิตใจพวกรั่วซู่ต่างเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

จอมจักรพรรดิไร้นาม!

ผู้ควบคุมพลังระเบียบต้องห้ามที่ประหนึ่งเจ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ การคงอยู่ของเขาทำให้พลังระเบียบต้องห้ามปกคลุมไปทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา และยังทำให้เส้นทางสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราถูกตัดขาด

ใครจะคาดคิดว่าต่อให้สุดท้ายพวกเขาเอาชนะอีกฝ่ายได้ พลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมทั่วหล้านี้ก็จะไม่สลายไป

นี่ก็เหมือนสถานการณ์ที่มีแต่แพ้พ่าย แม้สุดท้ายต่อสู้ชนะ ก็คล้ายไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพของทางเดินโบราณฟ้าดาราได้!

เป็นเช่นนี้… จริงๆ หรือ

รั่วซู่ถาม “หรือว่าการประชันหมากครั้งนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะไม่มีทางชนะ”

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ย “ตอนนั้นจักรพรรดิยุทธ์ประกาศศึกกับคนผู้นี้ก็เพื่อทำลายพันธนาการต้องห้าม ครอบครองความเป็นไปได้ที่จะไปยังฟากฝั่งฟ้าดารา แล้วพวกเจ้าเล่า”

รั่วซู่พูดโดยไม่ลังเลว่า “ย่อมต้องทำเพื่อไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราอยู่แล้ว”

พวกหลี่เสวียนเวย จวินหวนก็พยักหน้า

การไปยังฟากฝั่งฟ้าดาราก็เท่ากับกระโดดออกจากกรงขัง สามารถก้าวหน้าไปอีกก้าวในมรรคา ไม่ทำให้มรรคาขาดช่วงลงเท่านี้

ฟังถึงตรงนี้หลินสวินพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ ไม่ใช่บอกว่าพอมีเขาปู้โจว พวกเราก็ไม่ต้องกลัวภัยคุกคามจากพลังระเบียบต้องห้าม สร้างสำนักขึ้นอีกครั้งได้แล้วหรือ”

รั่วซู่รีบสื่อจิตอธิบาย ‘ศิษย์น้อง เดิมพวกเราวางแผนว่าหลังจากเอาชนะจอมจักรพรรดิไร้นามผู้นี้แล้ว ก็จะเอามหาสมบัติแรกกำเนิดไปฟากฝั่งฟ้าดาราด้วยกัน แล้วสร้างสำนักขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่ตอนนี้ดูท่า…’

พูดถึงช่วงท้ายนางก็อดถอนหายใจไม่ได้

ตอนนี้ดูจากที่ชายหนุ่มจักจั่นทองว่าไว้ ต่อให้เอาชนะจอมจักรพรรดิไร้นามได้ก็ไม่อาจทำให้พวกเขาสมปรารถนา

พอคิดว่าการรอคอยและความทุ่มเทเกือบแสนปีนี้ สุดท้ายเป็นไปได้สูงมากที่จะคว้าน้ำเหลว พวกรั่วซู่ต่างก็จิตใจว่างเปล่าไปครู่หนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

“สหายยุทธ์ทุกท่านอย่าเข้าใจผิด”

ก็ในตอนนี้เองชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ยปากว่า “คิดจะกำจัดพลังระเบียบต้องห้าม อาจไม่สามารถทำได้ในศึกนี้ศึกเดียว แต่ถ้าเอาชนะจอมจักรพรรดิไร้นามผู้นี้ได้ ก็จะมีความหวังไปยังฟากฝั่งฟ้าดารานั้นได้”

หืม?

พวกรั่วซู่ต่างอึ้งไปอย่างอดไม่ได้ พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร

ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ทันทีที่จอมจักรพรรดิไร้นามพ่ายแพ้ พลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้ก็จะสูญเสียการควบคุม ก็เปรียบดั่งกรงขังที่สูญเสียคนเฝ้ายาม เช่นนั้นก่อนที่คนเฝ้ายามคนต่อไปจะปรากฏตัว ย่อมมีโอกาสออกจากกรงนี้”

พอแจกแจงเช่นนี้ก็ทำให้พวกรั่วซู่เข้าใจถ่องแท้ แต่ละคนตาเป็นประกาย

เป็นอย่างนี้นี่เอง!

ชายหนุ่มจักจั่นทองมองไปที่ส่วนลึกของวังวนเวิ้งฟ้านั้นอีกครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ดังนั้นทุกท่านจะสมปรารถนาหรือไม่ ก็ต้องดูว่าจักรพรรดิยุทธ์จะได้รับชัยชนะหรือไม่แล้ว”

พูดถึงตรงนี้เขาถึงนึกอะไรขึ้นได้ หันไปมองดูระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่กำลังห้ำหั่นกับพวกเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครู

“เท่าที่ข้ารู้ การร่วงหล่นของพวกเก่ออวี้ผูเกี่ยวข้องกับพลังระเบียบต้องห้าม แต่หลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิปิดฉากลง ผู้ที่ทำลายสำนักคีรีดวงกมลกลับเป็นขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนี้ อย่างเช่นสามเรือนมรรคใหญ่ ดึกดำบรรพ์ ยุทธจักร จักรวาล

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ยปากเรียบเรื่อยว่า “พวกเจ้าคิดจะล้างแค้นไหม”

“จอมจักรพรรดิไร้นามเป็นตัวการใหญ่ ถ้าเอาชนะเขาได้ เจ้าพวกที่ยินยอมเป็นทาสเหล่านี้ก็จะไม่มีที่พึ่งอีก อยากล้างแค้นเมื่อไรก็ได้”

รั่วซู่สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “เทียบกันแล้ว ไปตั้งสำนักใหม่ที่ฟากฝั่งฟ้าดาราสำคัญยิ่งกว่าเรื่องพวกนี้”

ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าวคล้ายขบคิด “ไม่ผิด ด้วยรากฐานและพลังของพวกเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะหลายปีนี้ถูกพลังระเบียบต้องห้ามนี้คุกคาม เกรงว่าทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้จะไม่มีขุมอำนาจใดต้านทานการจู่โจมของพวกเจ้าได้”

หลินสวินนึกถึงคำที่ศิษย์พี่รั่วซู่เคยเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ ผู้คนบนโลกต่างคิดว่าคีรีดวงกมลพ่ายแพ้ให้กับขุมอำนาจใหญ่อย่างเรือนมรรคจักรวาล ยุทธจักร ดึกดำบรรพ์

แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่า ถ้าไม่มีพลังระเบียบต้องห้ามคุกคาม ด้วยพลังของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านี้ ก็กำราบให้ขุมอำนาจใหญ่พวกนี้โงหัวไม่ขึ้นได้!

และในความเป็นจริง ในการห้ำหั่นกับเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มาจากขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ เหล่านั้นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นรั่วซู่หรือพวกหลี่เสวียนเวย จวินหวน ผู่เจิน ต่างสำแดงพลังต่อสู้กร้าวแกร่งถึงขั้นสามารถใช้คำว่าบดขยี้มาบรรยายได้จริงๆ!

บัดนี้หลินสวินก็นับว่าเข้าใจแล้วว่ารากฐานของคีรีดวงกมลน่ากลัวปานไหน และรู้ชัดในที่สุดว่าเหตุใดเหล่าศิษย์พี่ที่แข็งแกร่งปานนั้น แต่กลับไม่เคยไปล้างแค้นจนตอนนี้

ก็เพราะจอมจักรพรรดิไร้นามที่ควบคุมพลังระเบียบต้องห้ามผู้นั้น!

“สหายยุทธ์ เจ้ามาคราวนี้ด้วยเหตุใดหรือ”

รั่วซู่เอ่ยถาม

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มน้อยๆ “ข้าเคยฟังบรรพจารย์แห่งดวงกมลบรรยายมหามรรคที่คีรีดวงกมลมาสามสิบปี บรรพจารย์คีรีดวงกมลมีบุญคุณชี้แนะสั่งสอนข้า เป็นทั้งอาจารย์และสหาย มาคราวนี้ย่อมมาเป็นกำลังช่วยทุกคนอีกแรง”

ขณะที่พูดเขาดีดนิ้วคราหนึ่ง

ลายมรรคสีทองเจิดจ้าแถวหนึ่งปรากฏขึ้น กลายเป็นบทประพันธ์งามวิลาศ ส่องสว่างเจิดจ้ากลางฟ้าดิน

มองจากไกลๆ ก็ประหนึ่งคัมภีร์มรรคอันลึกลับหาใดเทียบเล่มหนึ่งเปิดออก ส่องสะท้อนโลกหล้า

อักษรแต่ละตัวงามงด ส่องสว่างทะลุดารา!

“ไป!”

พอชายหนุ่มจักจั่นทองสะบัดแขนเสื้อ ก็มีแสงเทพกฎเกณฑ์สีทองราวกับระเบียบเป็นสายๆ พุ่งกระจายออกมาจากบทประพันธ์เจิดจ้านั้น

ตูมโครม!

เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่กำลังขับเคี่ยวดุเดือดกับเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูเหล่านั้นร่างสั่นไปทั้งตัวในชั่วขณะ

ในเวลาเดียวกัน พลังระเบียบต้องห้ามที่เดิมถูกพวกเขาควบคุม ก็ถูกแสงเทพสีทองที่ปะทุออกมานั้นตีกระจุยไปทั้งหมดเหมือนกระดาษเปื่อย

ท่ามกลางละอองแสงปลิวว่อน อานุภาพทั้งร่างของพวกเขาก็ลดฮวบลงไปด้วย

“แย่แล้ว!”

“คนผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดถึงสามารถเอาชนะพลังระเบียบต้องห้ามได้ง่ายดายปานนี้”

เฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านั้นต่างตกตะลึง ขนลุกไปทั้งตัว

นี่จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้จักรพรรดิยุทธ์สังหารวิญญาณต้องห้ามอย่างราบคาบด้วยอานุภาพกวาดล้างทำลาย ก็ทำให้พวกเขาสะพรึงกลัวแล้ว

และตอนนี้ ทันทีที่ชายหนุ่มจักจั่นทองลงมือ อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมากลับไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิยุทธ์ นี่จะไม่ให้พวกเขาตะลึงได้อย่างไร

เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูต่างเหลือบมองไปอย่างอดไม่ได้ เผยสีหน้าตกตะลึง เจ้าหมอนี่… พลังแข็งแกร่งยิ่ง!

เขาเป็นใคร

พวกรั่วซู่ หลี่เสวียนเวยเห็นดังนี้ ในใจก็สะท้านไม่หยุด นึกถึงความเห็นที่อาจารย์มีต่อคนผู้นี้ในตอนนั้น

มรรคสูงล้ำฟ้า!

“ไป!”

เฒ่าดึกดำบรรพ์เหล่านั้นเห็นว่าสถานการณ์ไม่เข้าทีจึงคิดหนีโดยไม่ลังเล

ก่อนหน้านี้มีพลังระเบียบต้องห้ามคอยหนุน พวกเขาจึงต้านเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูได้ แต่ตอนนี้ไม่มีพลังระเบียบต้องห้ามแล้ว จะยังมีความสามารถใดไปห้ำหั่นต่อได้อีก

ต่อให้ไม่พูดถึงเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครู และไม่พูดถึงชายหนุ่มจักจั่นทองซึ่งมีที่มาที่ไปลึกลับสุดหยั่งคนนั้น แค่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเหล่านั้นล้วนสามารถโจมตีพวกเขาถึงแก่ชีวิตได้!

“กงเกวียนกำเกวียน บุญทำกรรมแต่ง หนี้เลือดในวันวานก็ชดใช้ในวันนี้เถอะ”

ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ยสีหน้าเฉยเมย

ตูม!

บทประพันธ์งามงดที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นแผ่ขยายออกทันที กลายเป็นลายมรรคเต็มฟ้า ปกคลุมสี่ทิศแปดด้าน ประหนึ่งดวงดาราแน่นขนัดไร้สิ้นสุด

ลายมรรคแต่ละลายร่วงพรูลงมา เจิดจ้าและช่วงโชติเสมือนดาวหางพาดผ่านฟ้า ทว่าอานุภาพของอักษรมรรคเหล่านี้กลับเรียกได้ว่าน่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการ!

ฟุ่บ!

เพียงชั่วพริบตา เฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่มีชีวิตมาไม่รู้เท่าไรผู้หนึ่ง ถูกลายมรรคพร่างพราวที่ควบรวมเป็นอักษร ‘สังหาร’ ตัวหนึ่งซัดโจมตี ร่างกายและพลังจิตพังทลายลงในพริบตา กลายเป็นเถ้าธุลีลอยหายไปสิ้น!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท