Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2062 จักรพรรดิสวรรค์ดำรง!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2062 จักรพรรดิสวรรค์ดำรง!

ตอนที่ 2062 จักรพรรดิสวรรค์ดำรง!

ผู้สังเกตการณ์พวกนั้นเข้ามาอยู่ในชั้นบนของยานข้ามโลกได้ แน่นอนว่าต้องเป็นพวกที่ถูกเรือนเร้นหมอกมองเป็น ‘แขกคนสำคัญ’ ไม่มีพวกธรรมดาสักคน

แต่เมื่อเห็นภาพที่มหาจักรพรรดิมรรคมารคนนั้นร่วงหล่น ก็ล้วนถูกทำให้ตกตะลึงจนขนพองสยองเกล้า ในใจตื่นตระหนกถึงขีดสุดนานแล้ว

ด้วยเหตุนี้พอหลินสวินพูดว่าจะให้คนที่เคยกล่าวเยาะหยันจ่ายค่าตอบแทน ต่อให้รู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก แต่ยังพากันนำของชดเชยบางส่วนออกมาให้โดยดี

ลูกกลอนโอสถ เจตวัตถุ ของล้ำค่า…

มีครบทุกสิ่งที่ควรมี

หลินสวินก็ไม่เอาความอีก เหลือบมองพวกสือเล่อจื้อที่คุกเข่าอยู่กับพื้นเล็กน้อยพลางกล่าว “อย่าให้ข้าเจอพวกเจ้าอีก”

เขาหันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือนพัก

พวกสือเล่อจื้อรู้สึกเหมือนได้รับการอภัยโทษ ไม่มีใครไม่เป่าปากโล่งใจเฮือกใหญ่ ออกจากที่นี่ไปอย่างลุกลี้ลุกลน

‘ศิษย์พี่สามบอกแค่ว่าหลังจากข้าไปถึงโลกมืดแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเสาะหาด้วยตนเอง ศิษย์พี่รองก็จะรับรู้ถึงการปรากฏตัวของข้าได้…’

‘ก็ไม่รู้ว่าหากศิษย์พี่รองสังเกตเห็นร่องรอยของข้าจริง จะมาพบข้าหรือไม่’

พอกลับเข้ามาในเรือน หลินสวินนึกถึงจุดประสงค์ของการมาโลกมืดครั้งนี้แล้วก็อดขมวดคิ้วอยู่บ้างไม่ได้

ยังมีถ้อยคำนั้นที่ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดไว้ก่อนจากมา บอกแค่ให้ตนไป ‘แก้ปม’ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีเบาะแสอื่นอีก

นี่ทำให้หลินสวินไม่รู้ว่าควรเริ่มลงมือจากตรงไหน

‘บางทีอาจไปแดนอำพราง ไปเจอแม่นางชิงอิงที่ลึกลับคนนั้นดูสักครั้ง?’

หลินสวินใคร่ครวญ

อิทธิพลของเรือนเร้นหมอกไม่อาจดูหมิ่นได้ง่ายๆ ในทุกเมืองของโลกใหญ่หงเหมิงล้วนมีตลาดมืดใต้ดิน และผู้ดูแลตลาดมืดพวกนี้ก็คือเรือนเร้นหมอก!

ก่อนหน้านี้หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่า ขุมอำนาจที่แผ่ทั่วโลกใหญ่หงเหมิงอย่างเรือนเร้นหมอก จะถึงกับมีแดนต้นกำเนิดอยู่ในโลกมืด

ขณะที่หลินสวินกำลังใคร่ครวญ เสียงของซีพลันดังขึ้น…

‘จอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่ปรากฏตัวแล้ว’

ประโยคเดียวทำให้หลินสวินตัวแข็งทื่อราวกับถูกฟ้าผ่า

ในที่สุด…

ก็มาแล้วหรือ

วันนี้ทั่วทางเดินโบราณฟ้าดารา พลังระเบียบต้องห้ามที่เดิมทีเหมือนสิ่งไม่มีเจ้าของพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว

ก็เหมือนกรงที่ไร้ผู้ดูแล มีผู้ถือครองคนใหม่ปรากฏตัว

‘ปรากฏตัวแล้ว!’

‘ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราต้องอยู่ภายใต้เงามืดของระเบียบต้องห้ามนั่นอีกครั้งหรือ…’

‘ไม่รู้ว่าใต้หล้านี้จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบใดจริงๆ!’

‘เฮ้อ!’

วันนี้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่ฝีมือล้ำเลิศนับไม่ถ้วนล้วนสัมผัสได้ สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของระเบียบมหามรรคทั่วหล้า ในใจล้วนปรากฏแววอึมครึมโดยพลัน

สำหรับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา วันนี้ไม่มีอะไรต่างไปจากอดีต และไม่สังเกตเห็นเลยว่ามีตัวตนที่น่าสะพรึงอย่างที่สุดคนหนึ่ง ก้าวผ่านห้วงอากาศมาจากฟากฝั่งฟ้าดาราแล้ว!

เรือนมรรคโลกาสวรรค์

ไท่ซูหงที่กำลังนั่งสมาธิพลันใจสะท้าน ตกใจตื่นขึ้นมา

เขาหยัดร่างขึ้น เดินออกมาจากสถานที่หลอมปราณ เมื่อเงยหน้ามองออกไป ก็เห็นว่าบนเวิ้งฟ้าถูกพลังระเบียบต้องห้ามที่ดำสนิทดุจสีหมึกเข้าปกคลุมไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ทันใดนั้นนัยน์ตาไท่ซูหงพลันหดรัด

ตูม!

เวิ้งฟ้าที่ดำสนิทส่งเสียงกัมปนาทราวอสนีครวญ กลิ่นอายทำลายล้างที่เหมือนสิ่งต้องห้ามครอบคลุมเรือนมรรคโลกาสวรรค์ทั้งหมดไว้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“กลิ่นอายต้องห้าม!”

“สวรรค์!”

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…”

เวลานี้เสียงร้องอุทานดังขึ้นไม่รู้เท่าไหร่ ผู้สืบทอดทั้งหมดของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ล้วนถูกทำให้ตกใจ หยุดการกระทำในมือ มองไปบนเวิ้งฟ้าอย่างตกตะลึงตาค้าง

ความรู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนกที่ยากจะบรรยายก็แผ่ขยายตามมา

ต่อให้เป็นบุคคลระดับจักรพรรดิ แต่ละคนก็ต่างหวั่นใจ ไม่แน่ใจว่าเหตุใดพลังระเบียบต้องห้ามนี้ถึงมาเยือนเรือนมรรคโลกาสวรรค์ของพวกเขา

“เปิดใช้กระบวนค่ายกลใหญ่คุ้มกันภูเขา ทุกคนรีบถอยเข้ามาในกระบวนค่ายกลใหญ่โดยเร็ว ถ้าไม่มีคำสั่ง ห้ามเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ!”

ในบรรยากาศที่กดดันและตื่นตระหนกนี้ เสียงที่น่าเกรงขามและทรงพลังของไท่ซูหงดังขึ้น กระหึ่มอยู่กลางฟ้าดิน

ขณะเดียวกันไท่ซูหงสูดหายใจลึก เงาร่างเคลื่อนที่มายังเขตหวงห้ามหลังภูเขา

ที่นี่ไอขุ่นมัวอบอวล มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ภายในรางๆ ศิลามรรคโลกาสวรรค์ที่เก่าแก่ลายพร้อยตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น แผ่แสงพร่าเลือนลี้ลับออกมา

เมื่อเห็นศิลามรรคโลกาสวรรค์ ไท่ซูหงจึงแอบเป่าปากโล่งอก

ศิลามรรคโลกาสวรรค์เป็นมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นหนึ่งที่ถือกำเนิดในแดนปริศนา ครอบครองพลังที่อัศจรรย์เกินคาดเดา สามารถต้านทานและบดบังกลิ่นอายระเบียบต้องห้ามได้

ในช่วงหลายปีที่จอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อนครอบครองระเบียบต้องห้ามนั้น สาเหตุที่เรือนมรรคโลกาสวรรค์วางตัวเป็นกลางได้ ไม่ใช่เพราะเชื่อฟังคำสั่งของจอมจักรพรรดิไร้นาม แต่เป็นเพราะการมีอยู่ของศิลามรรคโลกาสวรรค์นี้ต่างหาก!

“เจ้าสำนัก”

ฮูม… ห้วงอากาศไหวกระเพื่อมระลอกหนึ่ง เงาร่างสองสายปรากฏออกมา

ด้านซ้ายนั้นสูงโปร่ง สวมชุดนักพรต ผมเผ้าหนวดเคราสีเทากระเซิงยุ่งเหยิง เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่นั่นเอง

ตอนนั้นที่งานชุมนุมถกมรรค บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่เคยปรากฏตัวมาก่อน รู้จักกับรั่วซู่ที่ปรากฏตัวด้วยฐานะผู้สืบทอดของเรือนมรรคคืนกำเนิด

ข้างกายบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่คือชายชุดป่านคนหนึ่ง สีหน้าแข็งกร้าวเยียบเย็น เป็น ‘บรรพจารย์จักรพรรดิเสวี่ยอิง’ ผู้เฒ่าระดับดึกดำบรรพ์คนหนึ่งในเรือนมรรคโลกาสวรรค์นั่นเอง

เขาเหมือนบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ ไม่ได้มุ่งหน้าไปเสาะหามหามรรคบนฟากฝั่งฟ้าดารา หากแต่เลือกจะอยู่ที่นี่ ในเรือนมรรคโลกาสวรรค์ตอนนี้ ก็เหลือแค่บุคคลระดับบรรพจารย์อย่างพวกเขาสองคนนั่งบัญชา

“อาจารย์อาทั้งสอง”

ไท่ซูหงประสานมือ

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่และบรรพจารย์จักรพรรดิเสวี่ยอิงพยักหน้า ล้วนสีหน้าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าพวกเขาก็สัมผัสได้ว่าสถานการณ์ในวันนี้ไม่ชอบมาพากล

“บางทีนี่อาจเป็นมหาเคราะห์ที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่มีศิลามรรคโลกาสวรรค์อยู่ ก็ไม่ถึงขั้นทำให้ควันธูปของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ของพวกเราถูกตัดขาด”

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่กล่าว

“อย่างนั้นหรือ”

ในตอนนี้พลันมีเสียงหนึ่งสะท้อนมาจากเวิ้งฟ้า จากนั้นพลังระเบียบต้องห้ามที่เข้าปกคลุมเหมือนเมฆดำนั่นก็ม้วนซัดอย่างรุนแรง ปูทางบันไดลงมาจากฟากฟ้า!

ก็เห็นเงาร่างราวกับเทพองค์หนึ่ง สองมือไพล่หลัง ก้าวออกมาจากส่วนลึกของบันได ในแต่ละก้าวฟ้าดินจะส่งเสียงครวญ สรรพสิ่งล้วนไหวสะท้านเหมือนกำลังยอมจำนน

ไท่ซูหง บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ บรรพจารย์จักรพรรดิเสวี่ยอิงล้วนหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน

เงาร่างนี้สูงใหญ่หาใดเปรียบ แผ่อานุภาพไร้ขอบเขตที่สูงส่งออกมา พลังระเบียบต้องห้ามสายแล้วสายเล่าพันรอบตัวเขา ขับเน้นให้เขาเป็นดั่งร่างแปลงแห่งมรรคสวรรค์!

เพียงพริบตาเงาร่างนี้ก็เหินห้วงอากาศเข้ามา ปรากฏตัวในจุดที่อยู่ห่างจากพวกไท่ซูหงไปไม่ไกล

ต่อให้อยู่ใกล้กันนิดเดียว แต่ด้วยมรรควิถีของพวกไท่ซูหง กลับไม่อาจเห็นรูปพรรณสัณฐานของเงาร่างนี้ได้อย่างชัดเจน!

เขาเจิดจรัสเกินไปแล้ว ราวกับดวงตะวันส่องแสง มีอานุภาพประหนึ่งใต้หล้านี้ตนยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียว แค่มองเงาร่างของเขาก็ทำให้รู้สึกว่าหายใจไม่ออก

ดั่งเห็นเทพไท้!

ไม่จำเป็นต้องสงสัย เงาร่างนี้ก็คือจอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่!

พวกไท่ซูหงเหมือนเจอศัตรูที่แข็งแกร่ง สีหน้าจริงจังถึงขีดสุด

กลับเห็นเงาร่างนั้นสองมือไพล่หลัง เหลือบมองศิลามรรคโลกาสวรรค์ที่ห่างไปไม่ไกลนั่นเล็กน้อย ก่อนมองมายังพวกไท่ซูหง

เขากล่าวเสียงเรียบ “ข้ามาครานี้ หนึ่งคือมาครอบครองระเบียบต้องห้ามทั่วหล้านี้ใหม่อีกครั้ง สองก็คือแก้แค้น”

น้ำเสียงเลือนราง เจือกลิ่นอายสูงส่งเหนือผู้อื่น ราวเหยียดหยันสรรพชีวิต

ไท่ซูหงสูดหายใจลึกคราหนึ่งพลางกล่าว “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรือนมรรคโลกาสวรรค์ของข้าวางตัวเป็นกลางมาตลอด เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ ภายหน้าก็เช่นกัน ไม่ทราบว่าสหายยุทธ์มาที่นี่ด้วยเรื่องใด”

“เจ้าเรียกข้าว่าสหายยุทธ์หรือ”

น้ำเสียงของเงาร่างนั้นไม่อำพรางแววดูถูกในใจแม้แต่น้อย “จำไว้ บนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้… ข้าก็คือนายเหนือหัวที่สูงส่งที่สุด! พวกเจ้าจงเรียกข้าว่า ‘จักรพรรดิสวรรค์ดำรง’!”

บนฟากฝั่งฟ้าดารา มหามรรคดั่งสวรรค์ ข้าคือจักรพรรดิ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าจักรพรรดิสวรรค์!

พวกไท่ซูหงสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด จอมจักรพรรดิไร้นามที่เรียกตัวเองว่าจักรพรรดิสวรรค์ดำรง ตั้งแต่ปรากฏตัวก็เผยท่าทางราวสูงส่งเหนือผู้อื่น ทำให้พวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

“ข้ามาครานี้ด้วยเรื่องเดียว”

จักรพรรดิสวรรค์ดำรงน้ำเสียงเรียบเฉย “ตั้งแต่วันนี้ไป เรือนมรรคโลกาสวรรค์ล้วนต้องเชื่อฟังคำสั่งข้า หากไม่ทำตาม เรือนมรรคโลกาสวรรค์ก็ไม่จำเป็นต้องมีตัวตนอีก”

คำพูดตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่การเจรจา หากแต่เป็นคำสั่ง!

ไท่ซูหงบันดาลโทสะ สีหน้าคล้ำเขียว เพิ่งหมายจะพูดอะไรก็ถูกบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ห้ามไว้

“จักรพรรดิสวรรค์ดำรง เรือนมรรคโลกาสวรรค์ของข้าไม่เคยต่อต้านพลังระเบียบต้องห้าม และไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางโลก ทำไม… เจ้าต้องบีบบังคับพวกเราด้วย”

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่น้ำเสียงลุ่มลึก

จักรพรรดิสวรรค์ดำรงคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เห็นว่าพวกเจ้ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ภายหน้าบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร และไม่ว่าจะเป็นขุมอำนาจไหน ล้วนต้องยอมจำนนอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้า”

“สรุปง่ายๆ คือ ใครตามข้าอยู่ ใครขวางข้าตาย!”

วู้ม!

ศิลามรรคโลกาสวรรค์แผ่คลื่นสะเทือนประหลาด พุ่งขึ้นจากพื้นดินแล้วตกสู่มือบรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่ทันใด

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่แผ่อานุภาพน่าหวาดกลัวไปทั้งตัว แววตาเยียบเย็นดุจอสนี กล่าวอย่างเย็นชา “พวกเราแค่อยากวางตัวเป็นกลาง เจ้ากลับบังคับข่มขู่ คิดว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้มีเจ้ากดขี่ผู้อื่นได้คนเดียวจริงๆ หรือ”

สายตาของจักรพรรดิสวรรค์ดำรงจ้องมองศิลามรรคโลกาสวรรค์ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “บางทีสมบัตินี้อาจช่วยชีวิตเจ้าได้ แต่กลับช่วยทุกคนในเรือนมรรคโลกาสวรรค์ไม่ได้ หากไม่เชื่อเจ้าจะลองดูก็ได้”

บรรพจารย์จักรพรรดิชิงเย่เส้นเลือดเขียวปูดโปน ในใจรู้สึกขัดแย้งและต่อต้านหาใดเปรียบ

แต่สุดท้ายเขาก็ถอนใจอย่างหดหู่พลางกล่าว “เจ้าสำนัก เจ้าตัดสินใจเถอะ”

เรื่องเกี่ยวกับความเป็นตายของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ เขาก็ไม่กล้าเดิมพัน

ไท่ซูหงเงียบไปครู่ใหญ่

สุดท้ายเขาก็ก้มหน้าอย่างขมขื่น

วันนี้เรือนมรรคโลกาสวรรค์ที่วางตัวเป็นกลางมาแต่โบราณ ยอมจำนนต่อ ‘จักรพรรดิสวรรค์ดำรง’ จอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่

ทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป ใต้หล้าต่างตระหนก เปิดฉากคลื่นลมรุนแรง ขุมอำนาจใหญ่นับไม่ถ้วนพากันหนาวเยือกในใจ

ต้องรู้ว่าหลังจากการประชันหมากครั้งใหญ่นั้นปิดฉาก ในหมู่หกเรือนมรรคใหญ่ในปัจจุบัน เรือนมรรคโลกาสวรรค์ที่ไม่เคยเสียหายใดๆ ถูกผู้คนยอมรับว่าเป็นเรือนมรรคอันดับหนึ่งในใต้หล้านานแล้ว!

แต่วันแรกที่จอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่มาถึง ท่าทีเป็นกลางที่ยืนหยัดมาหลายปีของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ก็ถูกทำลาย!

นี่จะไม่ให้ผู้คนตระหนกได้อย่างไร

จักรพรรดิสวรรค์ดำรงมาครานี้ก็ลงดาบใส่เรือนมรรคโลกาสวรรค์ เห็นชัดว่ากำลังรักษาอำนาจ ประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ ภายหน้าจะมีแค่จุดยืนเดียว…

นั่นก็คือท่าทีของเขาจักรพรรดิสวรรค์ดำรง!

เมื่อรู้ข่าวนี้ ในใจหลิงหงจวงรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ตอนที่หลินสวินถูกขุมอำนาจใหญ่ตามล่า นางก็เคยไปโน้มน้าวไท่ซูหง ให้เรือนมรรคโลกาสวรรค์คุ้มครองหลินสวิน

แต่ไท่ซูหงกลับปฏิเสธ ด้วยเรือนมรรคโลกาสวรรค์วางตัวเป็นกลางมาตลอด!

‘จุดยืนที่ยึดมั่นมาหลายปีถูกต้องแน่หรือ สุดท้ายก็ถูกบีบจนไม่อาจไม่ก้มหัวและยอมจำนนไม่ใช่หรือ’

เวลานี้ในใจหลิงหงจวงก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง

ความเป็นกลาง!

เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันเด็ดขาด ย่อมกลายเป็นท่าทีที่มากด้วยคำเหน็บแนม!

……………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท