Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2071 ใจคนอันตรายกว่าภูผาธารา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2071 ใจคนอันตรายกว่าภูผาธารา

จี้เหลิ่งที่เศร้าโศก ไม่นานก็ได้สติกลับมา

ถึงอย่างไรเขาก็เป็น ‘เฒ่าชรา’ ที่โลดแล่นในโลกมืดมาหลายปี เรื่องแรกที่ทำหลังจากควบคุมอารมณ์ได้ก็คือขอโทษหลินสวิน

ถ้อยคำของเขาเศร้าโศกและแน่วแน่ “สหายยุทธ์ เดิมข้านึกว่าแผนนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกสวะเฒ่าอย่างนักพรตเอ้อวางแผนหลอก ข้า… จะเอาชีวิตเข้าสู้ ชิงหนทางรอดมาให้สหายยุทธ์!”

หลินสวินเหมือนไม่สะทกสะท้าน เพียงชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าจะได้จ่ายค่าตอบแทนที่สมควร”

จี้เหลิ่งสีหน้าตะลึง ปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ จากนั้นก็กัดฟันครั้งหนึ่ง สายตามองนักพรตเอ้อที่อยู่ไกลออกไป “ข้ายอมแพ้ จะฆ่าจะแกงก็สุดแท้แต่ใจเจ้าเลย จะปล่อยสหายยุทธ์ท่านนี้ไปได้หรือไม่”

นักพรตเอ้อยิ้มเสแสร้งกล่าวว่า “เจ้าว่า…เป็นไปได้หรือ”

คนอื่นที่อยู่รอบทิศก็ยิ้มเหี้ยมขึ้นมา

“เช่นนั้นข้าคนแซ่จี้ก็ทำได้แค่ทุ่มสุดชีวิตแล้ว”

จี้เหลิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สายตามองดูกองเลือดเนื้อแหลกละเอียดที่นองเต็มพื้นไปนานแล้วของจินเตี๋ย พึมพำว่า “ตายไปก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องทรมานในโลกมืดนี่แล้ว…”

ตงจินหรงตะคอกลั่น “จี้เหลิ่ง เจ้าเสแสร้งแกล้งทำให้มันน้อยๆ หน่อย! ใครไม่รู้บ้างว่าเจ้ามันเจ้าแผนการ กะล่อนปลิ้นปล้อน ไม่ว่าตอนนี้เจ้าพูดอะไร ก็ยากจะหนีพ้นความตาย!”

สายตานักพรตเอ้อชำเลืองมองหลินสวิน “สหายผู้นี้ ดูออกว่าเจ้าก็ถูกคนทรยศอย่างจี้เหลิ่งลวงมาหลอกใช้ ที่น่าเสียดายก็คือ คราวนี้เจ้าก็เป็นได้แค่ของฝังร่วมกับศพของจี้เหลิ่งแล้ว”

เสียงเขาเย็นชา ก่อนโบกมือครั้งหนึ่ง “กำจัดพวกเขา!”

ครืน!

ฟ้าดินแห่งนี้ปั่นป่วน เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ปิดล้อมรอบทิศออกเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเล แต่ละคนไออำมหิตคับฟ้า อบอวลไปด้วยกลิ่นอายนองเลือด

คนพวกนี้ต่างเป็นคนมีฝีมือที่อยู่ใต้อาณัติของนักพรตเอ้อ ติดตามเขามาที่โลกมืดแห่งนี้กรำศึกนานปี ผ่านการเข่นฆ่านองเลือด

ในสายตาผู้ฝึกปราณทั่วไป นี่ก็คือผีร้ายเทพอำมหิตกลุ่มหนึ่ง!

“ฆ่า!”

จี้เหลิ่งจะยินยอมรับความตายเช่นนี้ได้อย่างไร ก็เห็นว่าร่างของเขาเต็มไปด้วยประกายเทพน่ากลัว เลือดลมพลุ่งพล่าน อานุภาพเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดในทันใด

และในมือเขาก็มีทวนศึกสีแดงฉานดุจโลหิตโบกกวาดไปในห้วงอากาศ

ตูม!

ประกายโลหิตไร้สิ่งใดเทียบเทียมม้วนตลบประหนึ่งคลื่นคลั่งทะเลพิโรธ ผู้แข็งแกร่งที่ถลามาข้างหน้าก่อนหลายคนก็ถูกพลังทวนศึกสีเลือดฝังกลบ หายลับเป็นฝุ่นควัน

“เจ้าเฒ่านี่ถึงกับทะลวงระดับมกุฎมหาอริยะไปแล้ว… เก็บซ่อนมิดชิดดีนัก!”

นักพรตเอ้อที่อยู่ไกลออกไปนัยน์ตาแข็งทื่อ ถึงได้รู้เอาตอนนี้ว่าเหตุใดจี้เหลิ่งถึงกล้าทรยศ ที่แท้ก็เป็นเพราะพลังปราณบรรลุไปนานแล้ว

“สหายยุทธ์ เจ้ารีบไป! ข้าคนแซ่จี้จะเปิดทางรอดให้เจ้า!”

ณ ที่นั้นจี้เหลิ่งตะโกนลั่น เข่นฆ่าราวบ้าคลั่ง อานุภาพทั้งร่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ขณะที่กวัดแกว่งทวนศึกสีเลือดก็สังหารคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าให้ย่อยยับ

ครืน…

ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงปั่นป่วน กระบวนค่ายกลผนึกเป็นชั้นๆ ที่ปกคลุมที่นี่อยู่ต่างสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นมา คล้ายรับการโจมตีของอานุภาพน่ากลัวเช่นนั้นไม่ไหว

“คิดจะหนีหรือ ไม่มีทาง!”

ตงจินหรงพาผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งกระโจนไปหาหลินสวิน ไอสังหารพวยพุ่ง

ทว่าในสายตาของหลินสวินแล้ว พวกเขาล้อมโจมตีเช่นนี้ไม่น่ามองตรงไหนเลย ทั้งยังไม่เป็นภัยคุกคามใดๆ สักนิด

ภาพเช่นนี้ก็เหมือนมดฝูงหนึ่งแยกเขี้ยวแกว่งขาใส่มังกรเทพบนฟ้า…

น่าขันจริงๆ!

หลินสวินที่เหมือนผู้ชมมาตลอด ขณะนี้ถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เขาพลันรับรู้ได้ถึงเรื่องหนึ่ง…

หลังจากเข้ามาในโลกมืด เพราะในใจมีความกังวลบางอย่าง แล้วก็เพราะไม่อยากดึงดูดคลื่นลมอะไร ตนเหมือน… จะเก็บตัวไปหน่อยไหม

ขณะที่คิดอยู่พวกตงจินหรงก็บุกมาถึงก่อนแล้ว

เพียงแต่หลินสวินยังยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่เช่นนั้น เงาร่างสูงสง่าราวกับต้นสนโดดเดี่ยวที่หยั่งรากบนริมผาต้นหนึ่ง ราบเรียบละโลกีย์

แต่เมื่อการจู่โจมราวกระแสธารเหล่านั้นเข้ามาได้ครึ่งทาง ก็เหมือนถูกพลังไร้รูปผนึกและกดข่ม พากันระเบิดออกท่ามกลางเสียงระเบิดดังลั่นจนหูแทบดับ

ปึงๆๆ!

วิชามรรคอันเจิดจ้า สมบัติที่ทอสีสันสดใส ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีใดต่างถูกระเบิดกระจุยปลิวว่อน

หลินสวินยืนเพียงลำพัง ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว

“นี่…”

พวกตงจินหรงต่างนัยน์ตาพากันหดรัด

ภาพน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ทำลายความเข้าใจและการรับรู้ที่ผ่านมาทั้งหมดของพวกเขาโดยสิ้นเชิง

ถึงอย่างไรด้วยมรรควิถีของพวกเขา จะไปรู้วิธีต่อสู้ที่มกุฎกึ่งจักรพรรดิผู้หนึ่งมีอยู่ได้อย่างไร

“แข็งแกร่งยิ่ง!”

จี้เหลิ่งที่กำลังห้ำหั่นอย่างฮึกเหิมไกลออกไปตาเปล่งประกาย

“แย่แล้ว!”

นักพรตเอ้อที่อยู่ไกลออกไปหน้าเปลี่ยนสีในทันใด ความรู้สึกอันตรายไม่อาจบรรยายได้ผุดขึ้นในใจ

แล้วก็ตอนนี้เอง หลินสวินเคลื่อนไหวแล้ว

เขายื่นมือข้างหนึ่งขึ้นโบกไปในห้วงอากาศลวกๆ

ตูม!

ฟ้าดินพลิกตลบ ห้วงอากาศส่งเสียงระเบิดลั่น

ก็เห็นว่าในที่นั้น เงาร่างแต่ละคนเหมือนถูกมือใหญ่ของทวยเทพบนสวรรคตบโดน ระเบิดกระจุยเป็นชิ้นๆ ทั้งหมด

มองจากไกลๆ ก็เหมือนจุดประทัดนองเลือดพวงหนึ่ง ดอกไม้ไฟสีเลือดเบ่งบานเป็นกลุ่มๆ แดงฉานร้อนระอุ งามตระการจนพาให้คนใจสั่น

ณ ที่นั้น นอกจากนักพรตเอ้อแล้วคนอื่นต่างถูกระเบิดตายคาที่ จิตสิ้นวิญญาณสลาย มีเพียงหมอกโลหิตหนาแน่นอบอวลอยู่

พริบตาเดียว นองเลือดไปทั้งลาน!

และนี่ ก็เป็นอานุภาพที่หลินสวินโบกมือเพียงครั้งเดียว

นักพรตเอ้อหน้าถอดสี ตื่นตะลึงจนแข็งทื่อไปทั้งตัว ริมฝีปากสั่นระริก อกสั่นขวัญหาย ยังไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ความครั่นคร้ามที่ไม่อาจบรรยายได้จู่โจมสภาวะจิตของเขาเหมือนภูเขาถล่มทะเลหวีดร้อง ทำเอาอกเขาแทบระเบิดออก!

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

แหลกสลายเป็นฝุ่นควันชั่วขณะดีดนิ้วก็เป็นเช่นนี้!

ไกลออกไปจี้เหลิ่งก็อึ้งงัน แววตาแข็งทื่อ ก่อนหน้านี้เขากำลังห้ำหั่นเต็มกำลัง แต่คู่ต่อสู้ข้างกายกลับพากันตายคาที่ในชั่วพริบตากันหมด กลายเป็นน้ำเลือดสาดกระเซ็น

ภาพความตายในชั่วพริบตานั้นทำให้เขาตกใจจนเกือบหวีดร้องออกมา

ต่อให้เขาดูออกนานแล้วว่าหลินสวินเป็นมังกรข้ามแม่น้ำที่ไม่ธรรมดาตัวหนึ่ง แต่ยังคิดไม่ถึงโดยเด็ดขาดว่ามังกรข้ามแม่น้ำตัวนี้จะมีความสามารถที่น่ากลัวปานนี้

เรื่องนี้เกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้!

ท่ามกลางไอหมอกเลือดอบอวล หลินสวินที่ยืนมือไพล่หลังเอ่ยเสียงเรียบว่า “การห้ำหั่นกันภายในที่เกิดขึ้นอย่างมีสีสันจบลงชุ่ยๆ แบบนี้ จะน่าเบื่อไปหรือเปล่า”

นักพรตเอ้อตัวสั่นระริก คุกเข่าตุ้บลงไปกับพื้นเอ่ยเสียงสั่นว่า “ข้าน้อยมีตาหามีแวว ขอผู้อาวุโสคลายโทสะด้วย!”

เขาโขกศีรษะกระแทกพื้นดังตึงๆ

หลินสวินปรายตามองเขาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่า… เป็นไปได้หรือ”

นี่เป็นคำพูดที่นักพรตเอ้อพูดเมื่อกี้ เพียงแต่ถูกหลินสวินย้อนกลับไปในขณะนี้

นักพรตเอ้อที่คุกเข่าอยู่กับพื้นมีแววดุร้ายฉายวาบในดวงตา ข่มเสียงพูดว่า “ผู้อาวุโส ที่ผ่อนปรนได้ก็ขอให้ผ่อนปรนเถอะ ข้าน้อยอ่อนแอแค่ไหนก็ยังเป็นเจ้าเมืองเมืองผีครอบงำ แม่ทัพศึกที่อยู่ใต้อาณัติของเจ้าแคว้นคีรีดำบางส่วนก็สนิทกับข้าน้อย ถ้าได้รู้ว่าข้าน้อยตายไป… สำหรับผู้อาวุโสแล้วเกรงว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยาก!”

“บังอาจ ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เจ้ายังกล้าขู่ผู้อาวุโสอีก ข้าจะฆ่าเดรัจฉานเฒ่าอย่างเจ้าก่อนเลย!”

ทันใดนั้นจี้เหลิ่งก็กระโจนออกไป แกว่งทวนศึกสีเลือดแทงนักพรตเอ้อแรงๆ

นักพรตเอ้อกำลังจะหลบหนี เพียงรู้สึกว่าหนักอึ้งไปทั้งร่าง เหมือนถูกพลังไร้รูปผนึกไว้มั่น ไม่อาจขยับตัวได้แม้แต่นิดเดียว

ครู่ต่อมาทวนศึกสีเลือดก็แทงทะลุศีรษะเขา

ปึง!

เลือดสดๆ กระฉูดออก นักพรตเอ้อเกร็งกระตุกไปทั้งตัวแล้วล้มลงกลางกองเลือด

สามารถสังหารนักพรตเอ้อได้ง่ายดายเช่นนี้ ยังทำให้จี้เหลิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ทิ้งทวนศึกในมือ คุกเข่าลงกับพื้น

เขาสีหน้าซาบซึ้ง เอ่ยเสียงดังว่า “ขอบคุณผู้อาวุโส ขอบคุณที่ท่านช่วยแก้แค้นให้ลูกสาวผู้น่าสงสารของข้า! ต่อให้ข้าน้อยตายตอนนี้ก็ไม่เสียใจ!”

ขณะนี้ฟ้าดินที่อบอวลไปด้วยการคาวเลือดนี้เหลือเขากับหลินสวินเพียงสองคน

หลินสวินแววตาลุ่มลึก เอ่ยว่า “เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ไปตาย”

จี้เหลิ่งชะงักไปทันที เงยหน้าขึ้นมองหลินสวินที่อยู่ไกลออกไป สีหน้าแข็งทื่อเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่าน… คงไม่ได้ล้อเล่นกระมัง”

หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าคิดว่าข้าเหมือนล้อเล่นหรือ”

จี้เหลิ่งสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ เอ่ยอย่างขมขื่นว่า “ผู้อาวุโสกำลังกล่าวโทษที่ถูกข้าน้อยหลอกใช้หรือ นี่เป็นความผิดใหญ่หลวงที่ข้าน้อยกระทำจริงๆ แต่ข้าน้อยคิดไม่ถึงว่าเจ้าสวะเฒ่าอย่างนักพรตเอ้อจะทำแบบนี้”

หลินสวินแววตาเย็นชา “คิดไม่ถึงจริงๆ หรือ”

สังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นในใจจี้เหลิ่ง

ก็เห็นหลินสวินพูดว่า “ด้วยพลังปราณของเจ้า ถ้าอยากช่วยจินเตี๋ยจากมือตงจินหรงนั่นคงไม่ยาก แต่เจ้ากลับทำเช่นนี้”

เมื่อวานหลินสวินเห็นเองกับตาว่าบนถนนใหญ่ที่คนสัญจรไปมา ตงจินหรงเฆี่ยนจินเตี๋ยที่บาดเจ็บเจียนตายอยู่ก่อนแล้วโดยไม่ลังเลสักนิด

ด้วยพลังต่อสู้ที่จี้เหลิ่งเผยออกมา ถ้าลงมือตอนนั้นก็จะช่วยจินเตี๋ยมาได้อย่างง่ายดาย แต่เขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น

“และวันนี้ที่เจ้าหลอกข้ามา เกรงว่าคงคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว ว่านักพรตเอ้อที่แคลงใจในตัวเจ้ามานานแล้วจะไม่ยอมให้เจ้าพาคนนอกอย่างข้าเข้าไปดูคลังสมบัติของเขาโดยเด็ดขาด”

“พูดอีกอย่างก็คือ เพราะการปรากฏตัวของข้า ทำให้นักพรตเอ้อยิ่งแคลงใจในตัวเจ้า สงสัยเจตนาของเจ้าที่พาข้าไปคลังสมบัติ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สาเหตุที่นักพรตเอ้อจะซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่ก็อธิบายได้ง่ายแล้ว”

หลินสวินยังพูดไม่จบ จี้เหลิ่งก็หน้าถอดสี เหงื่อกาฬไหลซึม

เขาสีหน้าอึมครึม เอ่ยเสียงคลุมเครือว่า “ผู้อาวุโสพูดถูก เรื่องพวกนี้ข้าน้อยคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่ามันจะเกิดขึ้น แต่… ข้าก็ทำเพื่อแก้แค้นให้จินเตี๋ยลูกสาวข้า ผู้อาวุโสก็เห็นแล้วว่าลูกสาวข้าคนนั้นถูกพวกเขาฆ่าทั้งเป็นยังไม่พอ สุดท้ายยังถูกพวกเขาทำลายศพย่อยยับ ไม่อาจอภัยได้จริงๆ!”

หลินสวินแววตาเย็นชา “ข้าบอกแล้ว เจ้าสามารถช่วยนางได้ก่อน แต่เจ้าก็ไม่ได้ทำเช่นนี้ การตายของนางเป็นเพราะเจ้าทำคนเดียว”

จี้เหลิ่งดึงดันพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพื่อล้างแค้นให้ลูกสาวข้า ข้า… ข้าจะกล้าหลอกใช้พลังของผู้อาวุโสได้อย่างไร”

“เพราะเจ้าไม่ได้ล้างแค้นให้ลูกสาวอยู่แล้ว”

หลินสวินสีหน้าเฉยชา “พอนักพรตเอ้อตาย เจ้าก็จะเป็นคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ถึงตอนนั้นทั้งเมืองผีครอบงำก็จะถูกเจ้าควบคุม”

เขาหยุดพักแล้วพูดต่อว่า “ถึงตอนนั้นต่อให้สมุนของเจ้าแคว้นคีรีดำที่สนิทสนมกับนักพรตเอ้อพวกนั้นรู้เรื่องนี้เข้า เจ้าก็จะผลักเรื่องทั้งหมดนี้มาที่ข้า”

“ยืมดาบฆ่าคน ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว ทั้งยังมีคนนอกอย่างข้ามาเป็นแพะรับบาป ทำไมจะไม่ยินดีทำล่ะ”

จี้เหลิ่งหมอบลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งตัว สีหน้ามีแต่ความตื่นตระหนก “ผู้อาวุโส ข้าน้อยไม่ได้มีความคิดชั่วช้าเช่นนั้นจริงๆ ข้าสาบานกับฟ้าก็ได้!”

“ถ้าฟ้าไม่ยุติธรรม สาบานไปจะมีประโยชน์อะไร”

หลินสวินทอดถอนใจอยู่บ้าง นึกถึงพลังระเบียบต้องห้ามที่ควบคุมทั่วหล้านี้อีกครั้ง และยังนึกถึงจักรพรรดิไร้นามที่มาใหม่คนนั้น

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท