Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2074 บรรณาการอันน่าตกตะลึง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2074 บรรณาการอันน่าตกตะลึง

ตอนที่ 2074 บรรณาการอันน่าตกตะลึง

ทว่าติดที่ตอนนี้เมืองผีครอบงำกำลังขาขึ้น ทั้งเป็นเพราะกลัว ‘มารกระบี่เต้ายวน’ อย่างลึกซึ้ง เจ้าเมืองที่อยู่พรมแดนใกล้เคียงต่างเลือกอดทน

เฝ้ามองดูความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ!

ที่นี่อย่างไรก็เป็นโลกมืดที่ระเบียบพังพินาศ ปลาเล็กกินปลาใหญ่อยู่ดี ไม่ใช่โลกภายนอก ยิ่งเป็นบุคคลที่เตะตะก็ยิ่งพบเหตุไม่คาดฝันได้ง่าย

“เมืองผีครอบงำในตอนนี้แม้ถูกมารกระบี่เต้ายวนกับจี้เหลิ่งยึดครอง แต่ถึงอย่างไรเมืองนี้ก็เป็นหนึ่งในเมืองมากมายที่อยู่ใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำอยู่ดี ตอนนักพรตเอ้อยังมีชีวิตอยู่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับแม่ทัพบางส่วนของเจ้าแคว้นคีรีดำ”

“ถ้าไม่ได้รับการยอมรับจากคนพวกนี้ มารกระบี่เต้ายวนอะไร จี้เหลิ่งอะไร ยิ่งตอนนี้กระโดดโลดเต้นดีใจเท่าไร ตอนตายก็จะยิ่งอนาถขึ้นเท่านั้น!”

บุคคลระดับเจ้าเมืองคนหนึ่งสันนิษฐานออกมาเช่นนี้

“รอดูเถอะ อีกครึ่งเดือนก็จะถึงเวลามอบบรรณาการให้เจ้าแคว้นคีรีดำที่จะมีขึ้นเดือนละครั้งแล้ว ถึงตอนนั้นพวกแม่ทัพที่อยู่ใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำต้องไปเมืองผีครอบงำเพื่อช่วยเจ้าแคว้นคีรีดำรับทรัพย์สิน ไม่แน่ว่า… ก็จะถึงเวลาที่เภทภัยครั้งใหญ่มาเยือนมารกระบี่เต้ายวนนั่น!”

มีคนหัวเราะหยัน

“ครึ่งเดือนหรือ… รออีกหน่อยก็ได้”

……

โลกมืดแตกต่างจากโลกภายนอก แม้พื้นที่จะกว้างใหญ่หาใดเปรียบ เทียบได้กับโลกใหญ่หงเหมิง แต่ที่นี่กลับเหมือนสถานที่ที่พลังวิญญาณแห้งแล้ง

ไอวิญญาณกลางฟ้าดินเบาบาง ภูเขาแหล่งน้ำที่กระจายอยู่ในนั้นส่วนมากก็เป็นเขาโล้นน้ำเสีย

เมื่อเทียบกับโลกใหญ่หงเหมิงที่ไอวิญญาณหนาแน่นหาใดเทียบ เขาแดนมงคลมีให้เห็นได้ทุกที่ โลกมืดก็เหมือนกับสถานที่แร้นแค้นอันรกร้าง

กอปรกับโลกมืดปั่นป่วนหาใดเทียบ ระเบียบพังพินาศ ขุมอำนาจเล็กทั่วๆ ไปไม่มีทางดำรงอยู่ได้นาน

อย่างเมืองผีครอบงำ เพียงหนึ่งพันปีก็เปลี่ยนเจ้าเมืองไปแล้วร้อยกว่าคน!

และก็มีเพียงขุมอำนาจใหญ่จำนวนหนึ่งถึงดำรงอยู่ในโลกมืดได้นานขึ้นบ้าง

เช่นสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืด ความเก่าแก่ของรากฐานพลังแต่ละกลุ่ม ต่างเทียบได้กับหกเรือนมรรคใหญ่และสิบเผ่านักรบใหญ่

แต่ในโลกมืด ขุมอำนาจส่วนมากต่างมีเค้าลางว่าจะอยู่ได้ไม่นาน ใครก็บอกไม่ได้ว่าจะถูกทำลายเมื่อไร

ดังนั้นฉายา ‘มารกระบี่เต้ายวน’ ของหลินสวินนั้น แม้ช่วงนี้จะโด่งดังขึ้นในชั่วขณะเดียว ดูเตะตานัก

แต่สำหรับคนเก่าแก่มากมายที่ใช้ชีวิตในโลกมืด ก็มีความเสี่ยงที่จะย่อยยับไปเมื่อไรก็ได้เช่นกัน!

วู้มๆๆ!

พายุทรายพัดโหมกลางฟ้าดิน นอกเมืองผีครอบงำภูผาธารากว้างใหญ่ ทุกแห่งหนมีแต่ไอพิฆาตพวยพุ่ง ทั้งยังอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือดที่สั่งสมมาหลายปีอยู่รางๆ

หลินสวินยืนอยู่เพียงผู้เดียว นั่งอยู่บนกำแพงเมือง ยกน้ำเต้าสุราขึ้นดื่มเหล้า

นี่เป็นวันที่ยี่สิบสามที่เขามาถึงโลกมืดแล้ว แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้พบซี

ศึกนั้นมีผลลัพธ์เช่นไรกัน

หลินสวินเดาไม่ถูก

ไม่ว่าจะเป็นซีหรือเหยี่ยนซิง ศักยภาพถึงขั้นน่าตื่นตะลึงในโลกไปนานแล้ว เข่นฆ่าระดับจักรพรรดิเหมือนฆ่าไก่ แข็งแกร่งจนไม่อาจคาดคิด

การต่อสู้ระหว่างทั้งสอง เกรงว่าต่อให้เป็นบุคคลระดับจักรพรรดิยังไม่อาจตัดสินล่วงหน้าได้!

“ผู้อาวุโส ที่แท้ท่านก็อยู่นี่เอง”

ไกลออกไปจี้เหลิ่งทะยานตัวมา สีหน้านอบน้อม

“มีเรื่องหรือ”

หลินสวินไม่ได้หันหลังไป อาจเป็นเพราะการเข่นฆ่าและความโกลาหลที่ปะทุขึ้นมีมากเกินไป ฟ้าดินในโลกมืดแห่งนี้อบอวลไปด้วยไอพิฆาตเต็มไปหมด สภาพแวดล้อมเลวร้ายหาใดเทียบ

โดยเฉพาะอาณาเขตนอกเมือง ไอพิฆาตถาโถม เข้มข้นเหมือนไอหมอก อย่าว่าแต่ฝึกปราณ อยู่ที่นั่นนานๆ ไปจิตใจสติปัญญายังจะแปดเปื้อน

นี่ทำให้หลินสวินนึกถึงคำที่มู่ชวนพูด โลกมืดไม่เคยเป็นที่ที่มีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นสนามขัดเกลาแห่งหนึ่ง ที่นี่ชีวิตเหมือนต้นหญ้า การนองเลือดและการต่อสู้ไม่มีที่สิ้นสุด

ถ้าไม่ใช่ว่าถูกบีบจนไร้ทางไป ไม่มีใครอยากมาโลกมืด

ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้จริงๆ การฝึกปราณที่นี่พึ่งพาได้เพียงผลึกมรรค และยิ่งใครครอบครองผลึกมรรคมาก คนผู้นั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่ง มีชีวิตอยู่ได้นาน

จี้เหลิ่งพูดเสียงเบาา “อีกสามวันแม่ทัพศึกที่อยู่ใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำสองท่านจะมารับบรรณาการแล้ว”

หลินสวินรู้ว่าเจ้าแคว้นคีรีดำควบคุมหนึ่งร้อยเก้าเมืองในแคว้นหนาวเหน็บ แต่ละเดือนเจ้าเมืองเหล่านี้จะต้องจ่ายบรรณาการให้เจ้าแคว้นคีรีดำ

บรรณาการที่ว่าก็คือหกส่วนของทรัพย์สินที่เมืองแต่ละเมืองเก็บได้ในแต่ละเดือน!

เมืองผีครอบงำก็คือหนึ่งในเมืองมากมายที่อยู่ในการควบคุมของเจ้าแคว้นคีรีดำ

ตอนนี้แม้นักพรตเอ้อตายไป แต่จี้เหลิ่งก็เป็นเจ้าเมืองแล้ว บรรณาการของเมืองผีครอบงำก็ย่อมต้องให้จี้เหลิ่งเป็นคนออก

“เช่นนั้นก็ให้พวกเขาไป” หลินสวินไม่สนใจสักนิด

ในโลกมืดแห่งนี้ เขาไม่ได้มีกะจิตกะใจไปขยายเขตแดนหรือแผ่อำนาจ หากหลีกเลี่ยงความยุ่งยากได้ เขาก็ไม่ถือสาที่จ่ายค่าตอบแทนบางอย่าง

จี้เหลิ่งชะงักไป กดเสียงเบาเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส อิทธิพลของพวกเราตอนนี้ครอบครองเมืองในเขตแดนใกล้เคียงได้สี่เมืองแล้ว นอกจากเมืองผีครอบงำ ยังมีเมืองปีศาจเพลิง เมืองฝังกาบ เมืองกระจับ”

“เหมืองขนาดเล็กที่อยู่ในการควบคุมของเมืองเหล่านี้เจ็ดแห่ง กับสายแร่ที่มีแร่ธาตุวัตถุดิบเทพอื่นอีกจำนวนหนึ่งต่างก็ถูกพวกเรายึดครอง”

“ข้าน้อยคาดคะเนดูแล้ว ในแต่ละวันพวกเราจะเก็บผลึกมรรคได้ประมาณสามล้านผลึก ถ้าหนึ่งเดือนก็จะเป็นเก้าสิบล้านผลึกมรรค ตัดค่าใช้จ่ายทั้งหมดออกไป ยังเหลือไว้ได้เจ็ดสิบล้านผลึกมรรค”

พูดถึงตรงนี้จี้เหลิ่งก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ถ้าให้เจ้าแคว้นคีรีดำโดยอิงตามบรรณาการหกส่วน… เช่นนั้นก็เป็นจำนวนไม่น้อยนะ”

หลายวันมานี้จี้เหลิ่งก็เหมือนพวกชอบการต่อสู้ที่ฮึกเหิมเพราะดื่มเลือดไก่ กรำศึกเหนือใต้ ไปควบรวมเมืองปีศาจเพลิงของนักเชือดเมิ่งก่อน แล้วต่อมาก็ตีทะลวงเมืองฝังกาบและเมืองกระจับอย่างต่อเนื่อง ผลการต่อสู้โดดเด่น

ความจริงแล้วหลังจากได้รู้ข่าวนักเชือดเมิ่งถูกสังหาร และได้รู้ถึงสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล เจ้าเมืองฝังกาบกับเมืองกระจับก็หอบทรัพย์สินหนีออกจากเมืองไปก่อนแล้ว

นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่จี้เหลิ่งสามารถกลืนอาณาเขตอื่นได้ง่ายดายปานนั้น

กระนั้นหลินสวินก็คิดไม่ถึงอยู่ดี ว่าเพียงแค่ครอบครองสี่เมือง ผลึกมรรคที่เก็บได้ในหนึ่งวันก็จะมีจำนวนน่าตกใจถึงสามล้านผลึกแล้ว

เดือนหนึ่งก็เป็นเก้าสิบล้านผลึกมรรค!

ด้วยประสบการณ์และพลังปราณในตอนนี้ของหลินสวิน เมื่อได้รู้จำนวนนี้ในใจก็ยังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

แต่พอครุ่นคิดครู่หนึ่ง หลินสวินก็ยังพูดอย่างสงบนิ่งว่า “ช่างเถอะ จัดการตามกฎก็พอ”

“จะต้องจ่ายบรรณาการหกส่วนจริงๆ หรือขอรับ”

จี้เหลิ่งกลับไม่อาจสงบนิ่งอยู่บ้าง เดือนหนึ่งหาผลึกมรรคได้เจ็ดสิบล้านก้อน แต่กลับต้องจ่ายออกไปหกส่วนเต็มๆ นั่นก็เป็นผลึกมรรคสี่สิบล้านก้อน!

เปลี่ยนเป็นคนอื่นใครจะไม่รู้สึกเจ็บปวด

“หรือเจ้าอยากเห็นข้าไปสู้กับเจ้าแคว้นคีรีดำ”

หลินสวินชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่ง

จี้เหลิ่งเหงื่อกาฬผุดขึ้นมาทันที รีบร้อนส่ายหัว “ข้าน้อยกล้าที่ไหน ข้าน้อยรับรองว่าจะกระทำตามความต้องการของผู้อาวุโสขอรับ”

จากเรื่องนี้ ทำให้ในใจจี้เหลิ่งพลันรู้สึกสับสนงุนงงขึ้นมาระรอกหนึ่ง

เขาอ่านชายหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเต้ายวนคนนี้ไม่ออก ศักยภาพน่ากลัวปานนั้น แต่กลับเหมือนไม่มีความทะเยอทะยานสักนิดเดียว

หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังต่อสู่น่ากลัวเช่นนี้คนอื่นๆ คงวุ่นกับการแผ่ขยายอำนาจ หาผลึกมรรคได้มากขึ้นไปนานแล้ว สาเหตุก็เพราะยิ่งแข็งแกร่ง ก็ยิ่งทำให้ตนมีชีวิตอยู่ในโลกมืดได้นานยิ่งขึ้น

แต่เต้ายวนคนนี้… อย่างกับชำระล้างกิเลสในใจ ไม่มีความทะเยอทะยานสักนิดเดียว!

เรื่องนี้ดูพิลึกอย่างไม่ต้องสงสัย

สุดท้ายจี้เหลิ่งก็คิดออกได้แค่ความเป็นไปได้เดียว นั่นก็คือหากอีกฝ่ายไม่มีแผนที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ก็ไม่สนใจผลึกมรรคที่ต้องจ่ายไปพวกนั้นอยู่แล้ว!

ไม่ว่าจะเป็นความเป็นไปได้ไหนต่างทำให้จี้เหลิ่งยิ่งรู้สึกตกตะลึง และทำให้ในใจเขายิ่งยำเกรงและหวาดกลัวหลินสวิน

เขารู้ดีว่าวิธีที่ชาญฉลาดที่สุดของตนก็คือเป็น ‘เจ้าเมือง’ ที่ดีอย่างสัตย์ซื่อ!

เวลาสามวันผ่านไปไวเหมือนดีดนิ้ว

แม่ทัพใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำสองคนมาตรงเวลานัก

คนหนึ่งรูปลักษณ์เหมือนชายหนุ่ม ร่างกายแข็งแกร่ง ดวงตาเย็นชาดุจดาบ ใส่ชุดคลุมสีแดงฉาน มีนามว่าซานหย่ง อีกคนหนึ่งมีนามว่าสิงเหลียนฉี่ แต่งชุดแพรหรูหรา ร่างอ้วนเตี้ยเป็นก้อนกลม

ทั้งสองต่างมีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิขั้นสาม

จี้เหลิ่งที่รออยู่นอกเมืองผีครอบงำนานแล้ว พอเห็นเงาร่างทั้งสองปรากฏตัวขึ้นก็เผยรอยยิ้มกระตือรือร้นถ่อมตน เข้าไปรับหน้าทันที

“ข้าน้อยจี้เหลิ่ง คารวะใต้เท้าทั้งสอง!”

เผียะ!

เสียงเพิ่งเงียบลงเขาก็ถูกมือข้างหนึ่งตบกระเด็นจนหน้าบวมแดง กระอักเลือดกบปากจมูก ล้มลงไปกับพื้นอย่างยับเยิน

สีหน้าซานหย่งเย็นชาดุดัน ท่าทางจองหอง “ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นคนฆ่านักพรตเอ้อหรือ”

จี้เหลิ่งลุกขึ้นมา กุมหน้าที่บวมแดง สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ

เขาคิดไม่ถึงว่าเพิ่งพบหน้ากันก็จะถูกผู้อื่นตบหน้าอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ วิธีการเรียบง่ายป่าเถื่อนเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกอับอายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก้มหน้าพูดว่า “ใต้เท้า ถ้าท่านมาแก้แค้นแทนนักพรตเอ้อ ตอนนี้ก็ลงมือได้เลย แต่ถ้าท่านมาช่วยใต้เท้าเจ้าแคว้นคีรีดำรับบรรณาการ ก็ขอให้ท่านระวังความเหมาะสมด้วย”

ประกายเย็นชาฉายวาบในดวงตาซานหย่ง ขณะกำลังจะลงมือ สิงเหลียนฉี่ที่อยู่ข้างๆ ก็รั้งไว้

“คนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะต้องโมโหทำไม”

สิงเหลียนฉี่ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ยิ่งไปกว่านั้นนักพรตเอ้อก็ตายไปแล้ว ในโลกมืดแห่งนี้ คนตายไม่มีค่าอะไรให้พูดถึง”

เขาหยุดไปครู่แล้วพูดกับจี้เหลิ่งว่า “เตรียมบรรณาการพร้อมหรือยัง”

จี้เหลิ่งพยักหน้า “เตรียมพร้อมแล้วขอรับ เมืองทั้งสี่อย่างผีครอบงำ ปีศาจเพลิง ฝังกาบและกระจับ รวมกันมีผลึกมรรคทั้งสิ้นสี่สิบสองล้านก้อน”

สิงเหลียนฉี่เอ่ยชื่นชม “ดูออกว่าเจ้าเป็นคนมีฝีมือมากคนหนึ่ง แต่ถ้าแค่นี้ก็ไม่พอหรอก”

จี้เหลิ่งพลันเข้าใจได้ทันที เอ่ยว่า “ข้าน้อยยังเตรียมของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ให้ใต้เท้าทั้งสองอีก รอให้ใต้เท้าทั้งสองมาพิจารณา”

สิงเหลียนฉี่หัวเราะร่า หันหน้าไปพูดกับซานหย่งว่า “เจ้าดูสิ เจ้าหมอนี่ก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง แกร่งกว่านักพรตเอ้อเยอะเลย”

ทันใดนั้นเขาก็ทำปากเบ้ เอ่ยถอนใจว่า “แต่ยังไม่พออยู่บ้างนะ…”

จี้เหลิ่งอึ้งไป ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ใต้เท้า ดังว่ากระแสธารยาวมาจากสายน้ำสายน้อย รอภายหน้าข้าน้อยจัดการทั้งสี่เมืองเรียบร้อยแล้วจะต้องมอบบรรณาการได้มากกว่านี้แน่ แน่นอนว่าจะขาดผลประโยชน์ของทั้งสองท่านไม่ได้”

ก็เห็นว่าซานหย่งหัวเราะหยันเอ่ยทันทีว่า “จี้เหลิ่ง เจ้ารู้ไหมว่าตอนพวกเรามาก็ตั้งใจไว้ว่าจะกำจัดเจ้าทิ้ง ตอนนี้เจ้ากลับกล้ามาต่อรองราคา เชื่อไหมว่าตอนนี้ข้าฆ่าเจ้าได้”

ไอสังหารมืดฟ้ามัวดินแผ่ออกมาจากร่างซานหย่ง กดดันจนจี้เหลิ่งหายใจติดขัดอย่างกับตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง

ในขณะเดียวกันสิงเหลียนฉี่ก็ยิ้มตาหยีเอ่ยปากว่า “เอาอย่างนี้ เห็นแก่ที่เจ้ายังฉลาดอยู่ คราวนี้ขอเพียงมอบผลึกมรรคร้อยล้านก้อน พวกเราสองคนก็จะไม่เอาความเรื่องที่เจ้าฆ่านักพรตเอ้อ เป็นอย่างไร”

ร้อยล้าน!

จี้เหลิ่งใจสะท้านแล้ว

————————–

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท