Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2090 ปราการสวรรค์ระดับจักรพรรดิก้าวล่วงได้!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2090 ปราการสวรรค์ระดับจักรพรรดิก้าวล่วงได้!

ตอนที่ 2090 ปราการสวรรค์ระดับจักรพรรดิก้าวล่วงได้!

เมืองแสงเงิน

ในจวนเจ้าเมือง กระบวนรอยสลักวิญญาณแห่งหนึ่งโคจรดังกัมปนาท ยามกระบวนค่ายกลโคจร ผลึกมรรคนับไม่ถ้วนที่กองเป็นภูเขากลายเป็นกระแสไอวิญญาณพลุ่งพล่าน ถูกหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางค่ายกลดูดซับไป

โลกมืดไอวิญญาณบางเบา ยากไร้หาใดเปรียบ ทำให้ยามฝึกหลินสวินไม่อาจไม่พึ่งพาทรัพยากรในการฝึกปราณ ถึงจะบรรลุความต้องการในการฝึกปราณของตนได้

ทั้งรากฐานของเขายังแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ทรัพยากรที่ต้องการยามฝึกปราณก็เรียกได้ว่าชวนตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ใช่ว่าคนในระดับเดียวกันจะเทียบได้

เคราะห์ดีที่ในช่วงสองเดือนนี้เขากรำศึกไปทั่ว ขูดรีดทรัพย์สินมาเมืองแล้วเมืองเล่า ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเวลาฝึกปราณ

อย่างผลึกมรรคที่เขาครอบครองอยู่ตอนนี้ ก็มีมากถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นกว่าล้าน!

ภายในนี้เกือบทั้งหมดล้วนมาจากเจ้าแคว้นเจ็ดคนที่รวมเจ้าแคว้นคีรีดำและเจ้าแคว้นคลั่งโลหิต พวกเขาปกครองแคว้นหนาวเหน็บมาหลายปี ทรัพย์สินที่แต่ละคนสะสมไว้ล้วนชวนตะลึงหาใดเปรียบ

ยามนี้ทั้งหมดล้วนกลายเป็นของหลินสวิน

แน่นอนว่านอกจากผลึกมรรคแล้ว ทรัพย์หลังศึกของหลินสวินยังมีสมบัติอื่นอีกบางส่วน อย่างพวกลูกกลอนโอสถ ของมีค่า ศาสตราจักรพรรดิ ล้วนมีมูลค่ามหาศาล

แต่หลินสวินกลับไม่กล้าพอใจแต่เพียงเท่านี้

หนึ่งคือการฝึกปราณของเขาต้องการทรัพยากรมาจุนเจืออย่างไม่ขาดสาย สองคือวิญญาณของอู้เชวียและดาบหักก็ต้องหลอมศาสตราจักรพรรดิมาฟื้นฟูพลังดั้งเดิมเช่นกัน

สิ่งที่ทำให้หลินสวินหมดห่วงที่สุด บางทีอาจเป็นเย่จื่อ

หลังจากมีกล่องกระบี่สำริดใบนั้น เย่จื่อก็เหมือนได้เจอถ้ำสวรรค์แดนมงคล ทั้งฝึกมรรคกระบี่และฟื้นฟูพลังดั้งเดิมไม่เคยขาด

ตูม!

หลังผ่านไปสองสามชั่วยาม กระบวนรอยสลักวิญญาณหยุดโคจร พลังที่แฝงอยู่ในผลึกมรรครวมทั้งสิ้นสี่แสนเก้าหมื่นก้อนถูกหลินสวินดูดซับไป กลายเป็นฝุ่นผง

ฟุ่บๆๆ!

เมื่อหลินสวินขับเคลื่อนความคิด กายมรรคไม้เขียว กายมรรคเพลิงแดง กายมรรควารีดำทยอยปรากฏตัวออกมานั่งอยู่ข้างๆ

ภายในนั้นกายมรรควารีดำคือร่างที่เพิ่งควบรวมจิตนึกคิดและมรรควิถีออกมาได้เมื่อหลายวันก่อน ยามนั้นหลินสวินก็ใช้วิธีการเดียวกัน ถ่ายทอดวิชามรดกบางส่วนของตนให้กายมรรควารีดำหยั่งรู้

หลังจากร่างแยกมหามรรคทั้งสามปรากฏตัวก็แผ่คลื่นการรับรู้ออกมา สร้างการเชื่อมต่อที่น่าอัศจรรย์กับจิตวิญญาณดั้งเดิมของร่างต้นอย่างหลินสวิน

การหยั่งรู้และวิชาอัศจรรย์นานัปการปรากฏขึ้นในใจหลินสวินดุจกระแสน้ำทันที กลายเป็นส่วนหนึ่งกับมรรควิถีของเขา

ส่วนมรรควิถีและพลังมหามรรคของร่างต้นอย่างหลินสวินก็เกิดการตอบสนองอย่างหนึ่ง ถูกร่างแยกมหามรรคทั้งสามหยั่งถึงทีละร่าง

ในการหยั่งรู้ที่ขานรับและสอดประสานซึ่งกันและกันนี้ พลังปราณของหลินสวินประหนึ่งวารีปิ่มจวนกระฉอก ทะลวงปราณถึงระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าได้ตามธรรมชาติ!

พริบตานี้พลังขับเคลื่อนรอบตัวเขาพลุ่งพล่านแผดคำราม แสงมรรคไร้สิ้นสุดไหลวนพวยพุ่ง อานุภาพชวนประหวั่นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ฟ้าดินแถบนี้สั่นสะเทือนขึ้นมาทันที

หากไม่ใช่ว่าเขาวางกระบวนผนึกไว้ล่วงหน้า แค่การเคลื่อนไหวนี้ก็สร้างความเสียหายที่ไม่อาจจินตนาการให้กับเมืองแสงเงินได้แล้ว

เนิ่นนานลักษณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นรอบตัวหลินสวินจึงสงบลงทีละน้อย การขับเคลื่อนพลังทั่วร่างสั่งสมอยู่ภายใน ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายเลือนรางที่โดดเด่นประหนึ่งเซียนออกมา

แค่เพียงหายใจก็ทำให้ห้วงอากาศใกล้เคียงสั่นสะเทือนเหมือนระลอกคลื่น อานุภาพที่มองไม่เห็นนั้นดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษ

หลินสวินสัมผัสได้ชัดเจน เทียบกับก่อนหน้านี้พลังต่อสู้ของตนแข็งแกร่งเกินเท่าตัวไปแล้ว!

ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ใช่แค่การทะลวงปราณ ยังมีความรู้และการหยั่งถึงที่ตนมีต่อมหามรรค ความเข้าใจและการควบคุมวิชามรรคด้วย ทั้งหมดล้วนมีการเปลี่ยนแปลงราวพลิกฟ้าพลิกดิน

‘มรรคของข้า ใกล้จะไร้บกพร่องแล้ว…’

หลินสวินสัมผัสดูอย่างละเอียด

กฎเกณฑ์มหามรรคที่กึ่งจักรพรรดิครอบครอง ถูกมองเป็นกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิที่ไม่สมบูรณ์

แต่ตั้งแต่หลินสวินก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ กฎเกณฑ์กึ่งจักรพรรดิที่เขาครอบครองก็ใกล้จะสมบูรณ์เต็มที เทียบกับกฎเกณฑ์จักรพรรดิแท้แล้วก็ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่

และในตอนนี้เมื่อมรรควิถีของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง พร้อมๆ กับที่ความเข้าใจที่มีต่อมหามรรคลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม กฎเกณฑ์กึ่งจักรพรรดิที่เขาครอบครอง นอกจากถูกจำกัดเพราะพลังปราณของตนแล้ว ก็แทบไม่ต่างอะไรกับกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิแท้!

นี่น่าเหลือเชื่อมากอย่างไม่ต้องสงสัย

พลังปราณยังไม่ถึงระดับจักรพรรดิ แต่พลังมหามรรคที่ครอบครองกลับใกล้เคียงระดับจักรพรรดิ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนไหนทำได้ถึงขั้นนี้!

เรียกว่า ‘ไม่เคยมีมาก่อน ไร้ใดเปรียบตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน’ ก็ไม่เกินไป

‘ควรลองดูสักหน่อยว่าพลังของข้าในตอนนี้บรรลุถึงระดับใดแล้วกันแน่…’

หลินสวินลุกขึ้น ออกจากจวนเจ้าเมืองไป

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม

กลางภูผาธาราไร้ขอบเขตที่อยู่ห่างเมืองแสงเงินไปไกลลิบ การต่อสู้สะท้านฟ้าเพิ่งปิดฉากลง

ที่นี่ภูเขาสูงใหญ่พังทลาย ก้อนหินกลายเป็นเถ้าถ่าน โกลาหลอลหม่านไปทั้งแถบ

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานจมูกเขียวหน้าบวม ตะกายขึ้นจากพื้นอย่างล้มลุกคลุกฝุ่น เงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง

ตั้งแต่ถูกกำราบอยู่ในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด เขาก็เหมือนนักโทษคนหนึ่ง ตกเป็นเป้ามีชีวิตของหลินสวิน เวลาต้องการใช้ก็ใช้ เวลาไม่ต้องการใช้ก็โยนไว้ข้างๆ

และเมื่อครู่นี้เขาก็กลายเป็นเป้ามีชีวิตอีกครั้ง ถูกหลินสวินนำมาทดสอบพลังต่อสู้ของตน

ครั้งนี้เย่จื่อไม่ได้ก้าวก่าย ทำให้จักรพรรดิกระบี่นภาประสานสำแดงพลังต่อสู้ทั้งหมดของตนออกมาได้เต็มที่ แต่สุดท้าย…

เขากลับถูกกำราบ!

แรงจู่โจมนี้มากเกินไป ทำให้จักรพรรดิกระบี่นภาประสานไม่อาจยอมรับ

ต้องรู้ว่าตั้งแต่อยู่ที่โลกใหญ่หงเหมิง มากสุดหลินสวินก็ได้แต่ห้ำหั่นกับเขาที่สำแดงพลังต่อสู้ออกมาสี่ส่วน

แต่ตอนนี้เพิ่งผ่านไปประมาณครึ่งปีเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่เขาสำแดงพลังต่อสู้ทั้งหมด กลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินสวิน!

มกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งกลับกำราบระดับจักรพรรดิได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปต้องทำลายความเข้าใจที่คนทั่วไปเชื่อมั่น ล้มล้างแนวคิดของผู้ฝึกปราณทุกคนแน่

ระดับจักรพรรดิดั่งปราการสวรรค์ ไม่อาจก้าวล่วงได้หรือ

แต่อย่างน้อยบนโลกปัจจุบันนี้ ก็มีคนหนึ่งก้าวผ่านได้แล้ว!

ขณะเดียวกันหลินสวินจมสู่ห้วงคิด อย่างไรร่างกายของจักรพรรดิกระบี่นภาประสานก็บาดเจ็บหนัก ต่อสู้สุดกำลังก็ใช่ว่าจะเทียบกับตอนมีพลังสูงสุดได้

แต่ต่อให้อยู่ในสถานการณ์นี้ ยามเอาชนะอีกฝ่ายได้ แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่กลับทำให้เขาใช้พลังกายไปกว่าครึ่ง!

สิ่งที่หลินสวินกำลังคิดคือ หากเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งที่อยู่ในสภาพยอดเยี่ยม อาศัยพลังต่อสู้ของตนตอนนี้จะมีโอกาสชนะเท่าไหร่

หากใช้ร่างแยกมหามรรคทั้งสามลงมือพร้อมกับร่างต้น จะเพิ่มโอกาสชนะได้บ้างหรือไม่

ในหลักการเดียวกัน หากใช้ยอดอาวุธสังหารอย่างดาบไร้วิชาหรือขวดไร้ขอบเขต จะมีโอกาสชนะมากขึ้นหรือไม่

สิ่งเดียวที่หลินสวินยืนยันได้คือ หากใช้อภินิหารหยุดเวลาสังหารบุคคลระดับจักรพรรดิ ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก!

ฮู่ว…

เนิ่นนานกว่าหลินสวินจะผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ แล้วกล่าวขึ้นทันใด “จักรพรรดิกระบี่นภาประสาน หากเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อข้า ภายหน้าข้าหลินสวินจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างอยุติธรรม พิจารณาดูให้ดีเถอะ”

จักรพรรดิกระบี่นภาประสานอึ้งไป ยังไม่รอให้ตอบสนองก็ถูกกำราบเข้าไปในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดอีกครั้ง

เมื่อหลินสวินกลับมาที่เมืองแสงเงิน จี้เหลิ่งก็รออยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าร้อนรนแล้ว

“ผู้อาวุโสเกิดเรื่องใหญ่แล้ว จักรพรรดิมารวายุสังหารออกคำสั่ง ว่าภายในสามวันให้เจ้าแคว้นคีรีดำมุ่งหน้าไปรับผิดขอขมาที่เขาเมฆาเลิศ!”

จี้เหลิ่งบอกข่าวที่เพิ่งได้มาอย่างรวดเร็วทันที “มิฉะนั้นต้องรับผลที่ตามมา”

“รับผิดขอขมา?”

นัยน์ตาดำลุ่มลึกของหลินสวินเยียบเย็น

“ใช่แล้ว คำสั่งนี้แม้จะมุ่งเป้ามาที่เจ้าแคว้นคีรีดำ แต่…”

พูดถึงตรงนี้จี้เหลิ่งพลันหุบปาก อีกนิดเดียวก็จะพูดความจริงที่เขาคาดเดาได้ออกมาแล้ว

หลินสวินเหลือบมองเขาเล็กน้อย “เจ้าสงสัยใช่ไหมว่าเจ้าแคว้นคีรีดำถูกข้าฆ่าไปแล้ว”

จี้เหลิ่งตัวแข็งทื่อ เพิ่งหมายจะพูดอะไรหลินสวินก็พยักหน้ากล่าว “แม้ว่าเจ้าจะเดาผิด แต่ก็คลาดเคลื่อนไปไม่เท่าไหร่”

คำตอบของหลินสวินแม้จะคลุมเครืออยู่บ้าง แต่จี้เหลิ่งกลับไม่กล้าใคร่ครวญลงไปอีก หากแต่เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส จักรพรรดิมารวายุสังหารนั่นเป็นเจ้าแคว้นอันดับหนึ่งของแคว้นหนาวเหน็บ ทั้งตัวเขายังเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักโบราณจรัสเทพ หากล่วงเกินเขา นั่นก็เท่ากับล่วงเกินสำนักโบราณจรัสเทพ”

คำพูดเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าผู้อาวุโสจะไปรับผิดหรือไม่ ก็ล้วนไม่เข้าทีอยู่บ้าง”

“แค่สำนักโบราณจรัสเทพเท่านั้น กลัวอะไร”

หลินสวินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ หลายปีนี้เขาสังหารผู้สืบทอดของสำนักโบราณจรัสเทพมานับไม่ถ้วน มีหรือจะกลัวเรื่องพวกนี้

อีกทั้งสองเดือนที่ผ่านมาเขายังก่อเรื่องใหญ่ที่แคว้นหนาวเหน็บขนาดนี้ ด้านหนึ่งเพื่อสร้างชื่อเสียง อีกด้านหนึ่งก็เพื่อประลองกับสำนักโบราณจรัสเทพ!

‘กลัวอะไร…’

จี้เหลิ่งอึ้งงันไปพักหนึ่ง ในโลกมืดนอกจากแดนกษิติครรภ์และหอวิหคทองแดงที่เป็นยักษ์ใหญ่ของโลกมืดเหมือนกันแล้ว ยังมีคนที่ไม่กลัวสำนักโบราณจรัสเทพด้วยหรือ

“ตั้งแต่วันนี้ไปให้เจ้าเริ่มดูแลอาณาเขตและขุมอำนาจทั้งหมดที่เจ้าแคว้นคีรีดำเหลือทิ้งไว้ ผู้แข็งแกร่งที่ถูกมายาแห่งความหวาดกลัวครอบงำพวกนั้นจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า”

หลินสวินตัดสินใจ “เจ้าต้องจำไว้ให้ดี ได้แต่ลอบทำหน้าที่เป็น ‘เจ้าแคว้น’ ที่ซ่อนอยู่หลังม่านเท่านั้น หากฐานะเปิดเผยก็อันตรายแล้ว”

จี้เหลิ่งฟังถึงตรงนี้ก็คาดเดาอะไรได้ทันที “ผู้อาวุโส ท่านคิดจะจากไปแล้วหรือ”

หลินสวินพยักหน้า “แต่ต้องเตรียมตัวและระวังไว้สักหน่อยก่อน”

ผ่านไปสองเดือนแล้ว นาม ‘มารกระบี่เต้ายวน’ นั่นของเขาโด่งดังในแคว้นหนาวเหน็บนานแล้ว หากซีมาโลกมืดต้องสืบข่าวพวกนี้ได้อย่างง่ายดายแน่

ส่วนการปะทะกับสำนักโบราณจรัสเทพในครั้งนี้ ก็ถูกลิขิตให้ไม่อาจหลีกเลี่ยง

เผชิญหน้ากับการข่มขู่ของจักรพรรดิมารวายุสังหาร เขาจะสะบัดก้นเดินจากไปก็ได้ ด้วยเรื่องนี้มีเจ้าแคว้นคีรีดำเป็นแพะรับบาปอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้เขาจะไปพบจักรพรรดิมารวายุสังหารหรือไม่ ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก

แต่หลินสวินไม่คิดจะทำเช่นนั้น เขาอาจไปหยั่งเชิงดูได้ แต่เมื่อจักรพรรดิมารวายุสังหารสืบสาวเอาความโดยละเอียด ย่อมต้องสังเกตเห็นผ่านเบาะแสร่องรอยต่างๆ ว่ามือมืดหลังม่านที่ทำให้แคว้นหนาวเหน็บตกอยู่ในความปั่นป่วน ก็คือเขามารกระบี่เต้ายวน

และฐานะของมารกระบี่เต้ายวนนี้ก็ไม่มีน้ำหนักพอ ขอแค่ใส่ใจหน่อยก็เป็นไปได้สูงว่าจะเดาฐานะที่แท้จริงของเขาออก!

ถึงอย่างไรทั่วหล้านี้ก็รู้อยู่ก่อนแล้ว ว่ามกุฎกึ่งจักรพรรดิอย่างเขามีพลังสังหารระดับจักรพรรดิได้

ส่วนความจริงที่พวกเจ้าแคว้นคีรีดำถูกกำราบ ก็จะทำให้ศัตรูสรุปได้ชัดยิ่งกว่าเดิม ว่ามารกระบี่เต้ายวนก็คือเขาหลินสวิน

ดังนั้นหลินสวินจึงตัดสินใจไปลองเจอจักรพรรดิมารวายุสังหาร ทางที่ดีคือ ‘กำราบ’ อีกฝ่ายให้ได้ด้วย จะได้ไม่ดึงดูดความสนใจมากเกินไป

แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดก็คือฐานะถูกเปิดเผย สำหรับหลินสวินอย่างมากก็แค่จากแคว้นหนาวเหน็บนี้ไปเท่านั้น

วันนี้หลินสวินออกจากเมืองแสงเงิน มุ่งหน้าไปยังเขาเมฆาเลิศ… อาณาเขตของจักรพรรดิมารวายุสังหาร เจ้าแคว้นอันดับหนึ่งแห่งแคว้นหนาวเหน็บเพียงลำพัง!

………………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท