Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2110 เผยความลับใหญ่ของแดนอำพราง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2110 เผยความลับใหญ่ของแดนอำพราง

ตอนที่ 2110 เผยความลับใหญ่ของแดนอำพราง

ครู่ใหญ่ในที่สุดเจ้าหอวิหคทองแดงก็หยุดหัวเราะ กล่าวว่า “หลายปีนี้ข้าพูดล้อเล่นกับผู้อื่นน้อยครั้งมาก คนที่คู่ควรให้ข้าพูดเล่นด้วยบนโลกใบนี้ เดิมก็มีไม่กี่คนอยู่แล้ว”

ในน้ำเสียงเจือแววหยิ่งทระนง และมีแววหดหู่อยู่เสี้ยวหนึ่ง ยิ่งสูงยิ่งหนาว ผู้ที่สามารถพูดคุยภาษาเดียวกันมีน้อยนิดเพียงหยิบมือ!

ซีทำเพียงมองเขา สายตาเย็นชา ยังคงไม่พูดจา

สุดท้ายเจ้าหอวิหคทองแดงก็ยังตัดสินใจถอยให้ก้าวหนึ่ง กล่าวว่า “คำตอบนั้นง่ายยิ่ง ข้าให้บริวารกระจายข่าวออกไป บอกจักรพรรดิสวรรค์ดำรงว่าลั่วทงเทียนเคยมุ่งหน้าไปแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเขาก็ออกไปไล่ตามทันที”

ซีอึ้งไป “เพราะเหตุใด”

เจ้าหอวิหคทองแดงกล่าวสบายๆ “จักรพรรดิสวรรค์ดำรงเหมือนกับจอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อน มาจากฟากฝั่งฟ้าดารา เขามาทางเดินโบราณฟ้าดาราครั้งนี้ หนึ่งคือควบคุมพลังระเบียบต้องห้ามใหม่อีกครั้ง สองก็เพื่อเสาะหาสมบัติที่มีชื่อเรียกว่า ‘ห้องโถงมรรคาสวรรค์’ และห้องโถงมรรคาสวรรค์นี้ เกี่ยวข้องกับลั่วทงเทียน”

นัยน์ตากระจ่างใสของซีหรี่ลงอย่างไม่เป็นที่สังเกต กล่าวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

เจ้าหอวิหคทองแดงเอ่ยว่า “สมัยบรรพกาลเคยมีคนผู้หนึ่งฉายาว่า ‘จักรพรรดิไร้มงกุฎ’ ใช้กระบวนสังหารไร้ชีพที่ถือเป็นกระบวนค่ายกลอันดับเก้าทั่วหล้า เรียกลมฝนคาวเลือดฉากหนึ่งขึ้นในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ”

“เขาเองก็เป็นพวกร้ายกาจแห่งยุคที่ไม่ได้เหยียบย่างระดับจักรพรรดิ แต่กลับใช้ปราณกึ่งจักรพรรดิสังหารจักรพรรดิด้วยตัวคนเดียว คนทั่วหล้าเรียกเขาว่าจักรพรรดิกระบวนลู่”

“แต่ไม่มีใครรู้จักรพรรดิกระบวนลู่ก็มาจากฟากฝั่งฟ้าดาราเหมือนกัน”

เจ้าหอวิหคทองแดงกล่าวถึงตรงนี้ก็เผยสีหน้าแฝงเลิศนัยลุ่มลึกออกมา คล้ายรอให้ซีเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเขาอีกครั้ง

กลับเห็นซีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ถามแต่เอ่ยตอบว่า “เขาชื่อลู่ป๋อหยา ย่อมรู้เรื่องของห้องโถงมรรคาสวรรค์และลั่วทงเทียนดีที่สุด พูดให้ชัดเจนคือ ศิษย์น้องเล็กหลินสวินของเจ้าคนนั้น ก็เป็นเขาที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่มาเองกับมือ”

เจ้าหอวิหคทองแดง “…”

บรรยากาศนิ่งเงียบ เจือกลิ่นอายอึดอัดเล็กน้อย

พักใหญ่เจ้าหอวิหคทองแดงถึงส่ายหน้ากล่าวว่า “ช่างเถิด ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว ออกจะน่าเบื่อเกินไป”

น่าเบื่อ?

มุมปากของซียกโค้งขึ้นอย่างยากจะสังเกต กล่าวว่า “คงจะหมดสนุกมากกระมัง”

เจ้าหอวิหคทองแดง “…”

กลับเห็นซีเอ่ยปากกล่าวเนิบนาบ “ไม่ต้องรู้สึกอดสู ข้าเพียงแค่บังเอิญรู้เรื่องบางส่วนพอดีเท่านั้น”

จู่ๆ เจ้าหอวิหคทองแดงก็รู้สึกว่า การสนทนาครั้งนี้ไม่อาจพูดคุยต่อไปได้อีกแล้วจริงๆ…

……

มหาสมุทรเลือดไร้สงบ

น้ำทะเลสีเลือดโหมกระเพื่อม เวิ้งว้างราวกับไร้สิ้นสุด

เรือลำหนึ่งแล่นอยู่เหนือผิวทะเล แล่นมาไม่รู้นานเท่าไหร่ ต้าหวงที่นั่งยองๆ อยู่บนหัวเรือส่งเสียงคำรามประหนึ่งเสียงหมาป่าโหยหวนออกมากะทันหัน

“โฮก…!”

ก็เห็นว่าเหนือผิวทะเลสีเลือดผืนนั้นพายุสายฟ้าฟาดกระหน่ำ พลันกลายเป็นคลื่นสีเลือดขนาดมหึมา

ชายผีสุราบังคับเรือพุ่งเข้าไปในนั้นในพริบตา

ตอนที่ครรลองสายตาของหลินสวินมองเห็นชัด ก็เห็นว่าตนมาถึงโลกลี้ลับแห่งหนึ่งแล้ว ฟ้าดินไพศาล เมฆมงคลหมุนเกลียว มียอดเขาที่คละคลุ้งด้วยประกายเทพมงคลลลูกแล้วลูกเล่าตั้งตระหง่านบนผืนดินใหญ่

บนยอดเขาอาคารเก่าแก่ตั้งเรียงรายสลับซับซ้อน

“คุณชายหลิน ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันอีกครั้ง”

เสียงเสนาะหูที่เจือแรงดึงดูดเป็นเอกลักษณ์สายหนึ่งดังขึ้น แผ่วพลิ้วดั่งควัน ก็เห็นกลางห้วงอากาศผุดละอองแสงแถบหนึ่ง วาดโครงออกมาเป็นเงาร่างอ้อนแอ้นสายหนึ่ง

ร่มสีเลือด กระโปรงเขียว ผมดำพลิ้วไสว ทั่วร่างแผ่ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์งามล้ำประหนึ่งมารประหลาด

เป็นชิงอิงนั่นเอง!

ปีนั้นยามหลินสวินเพิ่งมาถึงโลกใหญ่หงเหมิง ก็เคยพบอีกฝ่ายในโลกใต้ดินแห่งหนึ่งที่เรือนเร้นหมอกดูแลอยู่

ต่อมาชิงอิงมอบคันฉ่องทองแดงนำทางชิ้นนั้นให้หลินสวิน และบอกกับหลินสวิน ว่าต่อไปหากได้พบกันในแดนอำพราง จะบอกเรื่องที่เป็นประโยชน์ไร้โทษเรื่องหนึ่งกับเขา

ตอนนั้นหลินสวินไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจด้วยซ้ำ รู้เพียงว่าเป็นเรื่องผิดปกติ

ทว่าตลอดทางที่มุ่งหน้ามาแดนอำพรางจนถึงตอนนี้ หลินสวินเพิ่งพบว่าฐานะของชิงอิงไม่ธรรมดายิ่ง และเรือนเร้นหมอกที่อยู่เบื้องหลังนางยิ่งลึกลับไร้สิ้นสุด

หลินสวินผินหน้าไป กลับเห็นชายผีสุราและหมาขนทองที่มุ่งหน้ามาพร้อมตน ไม่รู้หายไปไม่เห็นร่องรอยตั้งแต่เมื่อไหร่

“คุณชายหลินไม่ต้องกังวล เชิญตามข้ามา”

เสียงของชิงอิงนุ่มนวล ถือร่มสีเลือด หมุนตัวเดินไปเบื้องหน้า ผมยาวดุจหมึกพลิ้วไหว แม้จะอยู่ใกล้ระยะประชิด ก็ยังทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน

ทว่าทุกท่วงท่าอิริยาบถของนาง กลับให้กลิ่นอายแปลกพิกลที่ประหนึ่งสะท้านจิตสะเทือนวิญญาณแก่ผู้คน

หลินสวินคิดเล็กน้อยก่อนตามไป

โลกลับแห่งนี้กว้างขวางหาใดเปรียบ เงียบสงัดยิ่ง ตลดทางไม่เห็นใคร ความรู้สึกที่มอบให้หลินสวิน ก็เหมือนฟ้าดินแถบนี้เหลือแค่เขากับชิงอิงที่นำทางอยู่เบื้องหน้าเท่านั้น

จนกระทั่งมาถึงในโถงแห่งหนึ่งที่อยู่กลางยอดเขา หลังจากเชิญหลินสวินนั่งแล้ว ชิงอิงถึงพับเก็บร่มสีเลือดที่แดงฉานประหนึ่งชาดในมือคันนั้น

นางสวมกระโปรงสีเขียว ผิวพรรณขาวเนียนนัยน์ตาสุกสกาว ชุ่มฉ่ำประหนึ่งหยกมันแพะ ผมดำนุ่มลื่นแผ่สยาย เผยใบหน้ารูปไข่อันงามล้ำหาใดเปรียบ

แพขนตายาวของนางแน่นขนัด นัยน์ตาดุจน้ำพุใส โตและลึกล้ำ โครงหน้าประณีตบรรจง ทั่วร่างล้วนเผยความงามวิลาศแปลกประหลาดชั้นยอดออกมา

ดุจดั่งมารปีศาจแห่งยุคที่ล่มเมือง งดงามจนพาให้ผู้คนใจสะท้าน

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินเห็นใบหน้าที่แท้จริงของชิงอิง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง ความงามเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ามีเอกลักษณ์เป็นพิเศษ

“คุณชายรู้หรือไม่ ชิงอิงรอท่านมานานมากแล้ว”

ชิงอิงยื่นมือหยกเรียวยาวขาวเนียนออกมา ถือกาหยกสีเขียวรินชาให้หลินสวินจอกหนึ่ง ถึงค่อยกล่าวเสียงเบา “ยังดี ไม่ถือว่าคุณชายมาสายนัก”

ชาหอมอ่อนๆ เบาบางดุจหมอก เผยกลิ่นที่ทำให้จิตใจผู้คนลอยล่องผ่อนคลาย หญิงสาวตรงหน้างามวิจิตรราวภาพวาด เสียงไพเราะเสนาะหูราวเสียงสวรรค์

กลางโถงใหญ่มีเพียงพวกเขาสองคน บรรยากาศก็เงียบเชียบปานนั้น ทำให้ผู้คนผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว

“รอข้าทำไม” หลินสวินกล่าว

“เพื่อคลายปมอธิบายข้อสงสัยให้คุณชาย” มุมปากชิงอิงผุดรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง กลางเนตรดารากระจ่างเจือประกายฉลาดเฉลียว

หลินสวินเองก็อดยิ้มไม่ได้ กล่าวอย่างจริงจัง “ในใจข้ามีความสงสัยมากมายจริงๆ”

นัยน์ตากระจ่างของชิงอิงจับจ้องหลินสวิน กล่าวว่า “ก่อนจะคุยธุระ โปรดอนุญาตให้ข้าแนะนำตัวสักหน่อย ข้าชื่อชิงอิง นายน้อยเรือนเร้นหมอก เติบโตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก หลายปีมานี้ทำเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือไปรวบรวมและทำความเข้าใจข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับคุณชาย”

หลินสวินนัยร์ตาหดรัดลง “ข้า?”

“ถูกต้อง”

ชิงอิงพยักหน้า กล่าวว่า “รวมถึงเรื่องที่คุณชายอยากรู้ ข้าก็พอรู้คร่าวๆ”

หลินสวินยิ้มกล่าวอย่างแปลกใจ “เช่นนั้นข้าคงต้องขอคำชี้แนะสักหน่อยแล้วจริงๆ”

ตั้งแต่มาถึงมหาสมุทรเลือดไร้สงบ จนกระทั่งหลังจากเจอชายผีสุราคนนั้นและหมาขนทอง เรื่อยมาจนมาถึงที่นี่ ในใจเขาก็มีคำถามมากมายจริงๆ

“ที่นี่คือที่ไหน” เขากล่าวถามตรงๆ

ชิงอิงไม่ได้แปลกใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ถิ่นกำเนิดของเรือนเร้นหมอก เรียกอีกอย่างว่าแดนอำพราง และเรือนเร้นหมอกก็เป็นกำลังแกนหลักของหอวิหคทองแดง บนโลกนี้น้อยคนนักที่รู้ ในกาลเวลายาวนานนี้อิทธิพลของเรือนเร้นหมอกได้กระจายตัวไปทั่วทางเดินโบราณฟ้าดารานานแล้ว”

หลินสวินกระจ่างแจ้งทันใด ทั้งยังอดตกใจไม่ได้ ใครจะกล้าเชื่อว่าหอวิหคทองแดงซึ่งเป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืด ถึงกับแผ่ขยายกิ่งก้านสาขาไปทั่วหล้าฟ้าดารานานแล้ว!?

หลินสวินอดกล่าวไม่ได้ “เจ้าล่ะ เหตุใดต้องรวบรวมและจับตาดูข่าวสารของข้าด้วย”

นัยน์ตากระจ่างของชิงอิงเจือประกายประหลาด “ในใจพอจะเดาได้บ้างแล้วกระมัง”

“ได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น?”

“ถูกต้อง”

“ใคร”

“เจ้าหอวิหคทองแดง”

“เขา?”

ในใจหลินสวินพลันสะท้าน กลางนัยน์ตาดำผุดประกายหนึ่ง “หรือว่าเขาคือ…”

ชิงอิงพยักหน้าอีกครั้ง “คุณชายเดาไม่ผิด คนที่ไหว้วานให้ข้าทำเช่นนี้ ก็คือผู้สืบทอดลำดับที่สองของคีรีดวงกมล นามว่าจ้งชิว และก็เป็นศิษย์พี่ของคุณชาย”

หลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว”

เจ้าหอวิหคทองแดงถูกมองเป็นคนที่หยิ่งทระนงที่สุดในใต้หล้า เมื่อไม่นานมานี้เคยปฏิเสธการเข้าพบจักรพรรดิสวรรค์ดำรง ทำเอาโลกมืดสั่นไหวเพราะเรื่องนี้

ตอนนั้นหลินสวินยังเลื่อมใสหาใดเปรียบ คิดว่าเจ้าหอวิหคทองแดงอาจหาญยิ่งยวด

ทว่าตอนนี้คิดดูแล้ว นี่เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ผู้สืบทอดลำดับสองของคีรีดวงกมล มีหรือจะก้มหัวให้จักรพรรดิสวรรค์ดำรง

อีกทั้งครั้งนี้เขามุ่งหน้ามามหาสมุทรเลือดไร้สงบ ชายผีสุราและหมาขนทองที่ได้พบเจอ ล้วนมีพลังต่อสู้น่าสะพรึงถึงขั้นไม่อาจจินตนาการได้

แค่ชิงอิงคนเดียว ไม่มีทางสั่งคนอย่างสองคนนั้นให้ทำหน้าที่ ‘นำทาง’ ได้แน่ และคนที่สามารถสั่งการหนึ่งคนหนึ่งสุนัขนี้ให้ทำเรื่องจิปาถะเช่นนี้ได้ ก็มีแต่เจ้าหอวิหคทองแดงเท่านั้น!

หลินสวินนึกถึงคำพูดของศิษย์พี่รั่วซู่ก็ทอดถอนใจอีกระลอกหนึ่ง ที่ศิษย์พี่สามพูดไว้ไม่ผิดสักนิด หลังจากตนมาถึงโลกมืด ไม่จำเป็นต้องค้นหา ศิษย์พี่รองก็จะรู้เองว่าตนมาถึงแล้ว

เพราะเหตุใด

เพราะเขาคือเจ้าหอวิหคทองแดง ขุมอำนาจที่อยู่ใต้อาณัติกระจายตัวทั่วหล้านานแล้ว!

ครู่ใหญ่กว่าหลินสวินจะเอ่ยถาม “เหตุใดตอนที่พบกันคราแรก เจ้าไม่บอกเรื่องพวกนี้กับข้า”

“ปีนั้นคุณชายใช้ฐานะอวี่เสวียนไปยังโลกใหญ่หงเหมิง และคำสั่งที่ข้าได้รับ ก็มีแค่นำคันฉ่องทองแดงนำทางชิ้นนั้นมอบให้คุณชาย ส่วนเรื่องอื่นมิกล้าตัดสินใจเองโดยพลการ”

ชิงอิงเอ่ยว่า “ต่อมาข้าถึงได้รู้ ว่าปีนั้นที่คุณชายมุ่งหน้าไปโลกใหญ่หงเหมิงเพราะมีภารกิจสำคัญติดตัวตั้งแต่ต้น ต้องทำภารกิจที่ศิษย์พี่คีรีดวงกมลบางส่วนมอบหมายให้ อย่างเช่นการเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรค เข้าสู่เขตหวงห้ามเซียนโบราณ ช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิด… ในเวลาเช่นนี้ เจ้าหอวิหคทองแดงย่อมไม่อาจก้าวก่ายอีก”

คราวนี้หลินสวินจึงเข้าใจกระจ่าง

ปีนั้นศิษย์พี่หลี่เสวียนเวย ศิษย์พี่ผู่เจิน ศิษย์พี่จวินหวนล้วนเคยคุ้มครองตลอดทาง ทำให้ตนสามารถไปถึงโลกใหญ่หงเหมิงอย่างราบรื่น อันที่จริงก็เท่ากับการจัดวางสถานการณ์เอาไว้แล้ว

ที่ทำไปก็เพื่อให้ตนสามารถช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดไว้ในมือในการประชันหมากครั้งใหญ่ครั้งนั้น ไปช่วยศิษย์พี่ใหญ่กำราบจอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อน!

เจ้าหอวิหคทองแดงเป็นศิษย์พี่รองของตน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เรื่องเหล่านี้

บางทีอาจเพราะเป็นเช่นนี้ จึงทำเพียงแค่ให้ชิงอิงมอบคันฉ่องทองแดงนำทางชิ้นนั้นแก่ตน แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องใดๆ อีก เพื่อเลี่ยงไม่ให้ขัดขวางแผนการของพวกศิษย์พี่หลี่เสวียนเวย

เมื่อเข้าใจเรื่องพวกนี้แล้ว ข้อสงสัยอีกอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวหลินสวินอีก เอ่ยถามว่า “พูดเช่นนี้ ตอนนี้ข้าก็สามารถพบกับ… ศิษย์พี่รองได้แล้วหรือ”

ชิงอิงส่ายหน้า “ยังไม่ถึงเวลา หากเปลี่ยนคำพูดก็คือ คุณชายยังไม่ได้รับการยอมรับ”

“การยอมรับ?” หลินสวินเลิกคิ้ว

ชิงอิงกล่าว “เจ้าหอวิหคทองแดงฝากข้ามาบอกท่านประโยคหนึ่ง หนึ่งปีให้หลัง ยามเมื่อแดนปรินิพพานปรากฏ เขาอยากจะชมฝีมือของคุณชายสักหน่อย”

หลินสวินค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง กล่าวอย่างอึ้งงัน “เพราะไม่ได้รับการยอมรับจากเขา ดังนั้นถึงไม่ยินดีพบข้าหรือ”

เมื่อเทียบกับศิษย์พี่คนอื่นๆ ของคีรีดวงกมล ศิษย์พี่รองคนนี้ของตน… ช่างทระนงตนยิ่งซะจริง!

“ไม่ใช่ไม่ยินดี หากแต่ยังไม่ถึงเวลา”

ชิงอิงคล้ายกลัวว่าหลินสวินจะเข้าใจผิด กล่าวอย่างจริงจังว่า “ที่ข้าสามารถบอกคุณชายได้คือ เขา… ใส่ใจศิษย์น้องเล็กอย่างคุณชายมากเชียวล่ะ”

………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท