Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2113 ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคและสมบัติตกหล่น

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2113 ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคและสมบัติตกหล่น

ตอนที่ 2113 ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคและสมบัติตกหล่น

ในจิตรับรู้ของหลินสวิน ระหว่างฟ้าดินที่ไกลออกไป มีวิญญาณดุร้ายเกือบร้อยตนกำลังพุ่งทะยานเข้ามา

ทั่วร่างวิญญาณร้ายพวกนี้อบอวลด้วยแสงโลหิต เหาะเหินทะยานเมฆา รูปร่างคล้ายภูตผีก็ไม่ใช่ คล้ายมารปีศาจก็ไม่เชิง ยามห้อตะบึงประหนึ่งกองทัพนรกอันน่าพรั่นพรึงกองหนึ่งออกกรีฑาทัพ

จู่ๆ โลกแห่งนี้ก็สั่นสะเทือน กลิ่นอายเข่นฆ่าคาวเลือดที่พาให้คนขนลุกขนพองพุ่งทะยานฟ้า

‘กลิ่นอายแต่ละตนถึงกับไม่ต่างจากผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า!’

ชั่วพริบตาเดียวหลินสวินก็ชี้ขาดออกมา อดตกตะลึงไม่ได้ นี่ยังแค่นรกอำพรางชั้นหนึ่งเท่านั้น วิญญาณร้ายที่เกลื่อนกลาดก็แข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว

คาดการณ์เช่นนี้ พลังของชั้นที่เก้าจะน่าสะพรึงเท่าใดกัน

“คนใหม่รึ หากไม่ยากถูกกำจัดออกไปก็รีบๆ หลบซะ!”

ทันใดนั้นเสียงตวาดลั่นปานอสนีบาตรระลอกหนึ่งดังกระหึ่มมา

หลินสวินถึงเพิ่งสังเกตว่าในละแวกใกล้เคียงนี้มีกลิ่นอายกร้าวแกร่งสายหนึ่งซุ่มอยู่ นั่นเป็นชายอาภรณ์ดำผอมแห้งผู้หนึ่ง อานุภาพคมกริบเฉียบแหลม แววตาชวนสยอง

หลินสวินไม่ตกใจกลับดีใจ มีคนก็ดี อย่างน้อยจะได้รู้ข้อมูลที่แท้จริงของนรกอำพรางนี่ได้อีกหน่อย

“ยังมัวอึ้งอะไรอีกเล่า หลบเร็ว!”

ชายชุดดำตวาดลั่น

เขาฝึกปราณอยู่ชั้นหนึ่งมาหลายสิบปีแล้ว รู้สภาพในที่แห่งนี้ดีเป็นที่สุด ยามปกติจะไม่มีวิญญาณร้ายกลุ่มใหญ่เช่นนี้ปรากฏออกมา

ทันทีที่ถูกพวกมันปิดล้อม ผลที่ตามมานั่นคงเลวร้ายเกิดคาดเป็นแน่ ควรรู้ว่านั่นเป็นถึงฝูงวิญญาณร้ายนับร้อยพันที่มีพลังต่อสู้ระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า!

หลายสิบปีมานี้ชายชุดดำเคยเจอพวกวิญญาณร้ายกลุ่มใหญ่เช่นนี้เพียงสามครั้งเท่านั้น ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเป็นปฏิปักษ์กับมัน

“สหายไม่ต้องกังวลไป ข้าเพิ่งมานรกอำพราง กำลังคิดจะทดสอบฝีมือกับวิญญาณร้ายพวกนี้สักหน่อย” หลินสวินกล่าวง่ายๆ

ขณะพูด วิญญาณร้ายฝูงนั้นที่แฝงกลิ่นอายคาวเลือดแสบจมูกทั่วฟ้าก็ปรากฏในครรลองสายตาแล้ว

ชายชุดดำอึ้งไป เกือบโมโหจนจะกลายเป็นหัวเราะใส่ เขายังไม่เคยเห็นใครที่อาจหาญเช่นนี้มาก่อน เพิ่งมาถึงชัดๆ ดันร้องว่าจะไปสู้กับวิญญาณร้ายทั้งกลุ่ม ออกจะโง่งมเกินไปแล้ว!

“เจ้า…”

ตอนที่ชายชุดดำกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง หลินสวินก็ชิงลงมือก่อนแล้ว

เขารวบนิ้วเป็นกระบี่ กรีดผ่ากลางห้วงอากาศคราหนึ่ง ปราณกระบี่สายหนึ่งก็พุ่งออกมา

ฉัวะ!

กระบี่นี้ประหนึ่งเบิกฟ้าผ่าดิน ลึกลับไร้ขอบเขต ตัดขวางผ่านอากาศ ฟันฉับลงมา ยามมองจากไกลๆ ประหนึ่งธารดาราไหลหลั่งจากเก้าชั้นฟ้า ศักดิ์สิทธิ์คลุมจักรวาล!

พรูดๆๆ!

ก็เห็นว่าวิญญาณร้ายมากมายนับร้อยพันที่เทียบได้กับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าเหล่านั้น ยังไม่ทันได้มาถึงก็ถูกปราณกระบี่สายนี้ปกคลุมแล้ว ร่างกายแตกระเบิดราวกระดาษเปื่อย กลายเป็นละอองเลือดนับไม่ถ้วนล่องลอย

ดับสิ้นมลายเกลี้ยง!

ชายชุดดำตะลึงงัน ดวงตาแข็งค้าง กระบี่เดียว ทำลายกองทัพวิญญาณร้ายขบวนหนึ่งเชียวหรือ

ครู่ใหญ่เขาถึงหันสายตาไปยังหลินสวิน กล่าวว่า “สหาย เจ้าก็เป็นคนของเรือนเร้นหมอกหรือ”

ในน้ำเสียงเจือแววเลื่อมใส

ขอเพียงเป็นคนที่เข้ามาฝึกฝนในนรกอำพรางได้ ล้วนเป็นผู้โดดเด่นที่ถูกคัดมาจากเรือนเร้นหมอกและหอวิหคทองแดง ชายชุดดำมีหรือจะไม่กระจ่างว่าเจ้าคนที่เพิ่งเข้ามานี่เป็นพวกชั้นยอดคนหนึ่ง

“นับว่าใช่กระมัง”

หลินสวินตอบลวกๆ ไปประโยคหนึ่งแล้วสาวเท้าไปเบื้องหน้า เป็นฝ่ายเริ่มสนทนากับชายชุดดำผู้นี้

ไม่นานก็ได้รู้ว่าชายชุดดำผู้นี้มีนามว่าป๋อชวน ปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นฟ้า ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดแกนหลักของเรือนเร้นหมอก ฝึกปราณอยู่ในนรกอำพรางชั้นหนึ่งนี่มานานสามสิบเก้าปีแล้ว

สามสิบเก้าปีก่อน ป๋อชวนเป็นผู้ฝึกปราณระดับมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์

ทว่าเขาในตอนนี้มีปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นฟ้าแล้ว นี่เรียกได้ว่าน่าตกตะลึงยิ่งนัก อย่างไรเสียปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิใช่ว่าใครจะสำเร็จกันได้ง่ายๆ

เมื่อได้รู้จากปากป๋อชวนว่าก่อนที่ผู้แข็งแกร่งจะมาเคี่ยวกรำในนรกอำพราง ล้วนจะพกยันต์หยกคงชีพมาด้วยแผ่นหนึ่ง สีหน้าของสวินก็พลันดำมืดทันที

เขานึกถึงเจ้าหมาหน้าตุ่นที่ถีบส่งตนเข้ามาในวังน้ำวนตัวนั้นแล้วให้แค้นจนกัดฟันกึกๆ บัญชีนี้ย่อมคิดที่ต้าหวงโดยปริยาย

และเมื่อป๋อชวนรู้ว่า เป้าหมายของหลินสวินคราวนี้คือตะลุยไปถึงชั้นเก้า ก็อึ้งไปทั้งตัว

ชั้นที่เก้า!

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในหมู่คนที่ปราณต่ำกว่าระดับจักรพรรดิมีเพียงเจ้าหอวิหคทองแดงคนเดียวที่เคยไปถึง และเป็นที่นั่นที่ทำให้เจ้าหอวิหคทองแดงบรรลุจักรพรรดิ!

ป๋อชวนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยปากถาม “พี่หลิน ก่อนเจ้าจะมาไม่มีใครบอกเจ้าเลยหรือ ว่านรกอำพรางนี่มีอันตรายมากแค่ไหน”

หลินสวินส่ายศีรษะ

ป๋อชวนเผยสีหน้าเป็นเช่นนี้ดังคาด เอ่ยว่า “พี่หลิน หาใช่ข้าขัดขาเจ้า แต่เจ้ายังไม่รู้จักนรกอำพรางดีพอ…”

ขณะพูดเขาก็บอกเรื่องราวบางส่วนที่ตนล่วงรู้กับหลินสวิน

“ก็หมายความว่าต่อให้พกยันต์หยกคงชีพมา ก็สามารถใช้ได้แค่สามชั้นแรกเท่านั้นหรือ” คราวนี้หลินสวินถึงกระจ่างขึ้นมาบ้าง

ป๋อชวนกล่าว “ถูกต้อง ชั้นที่สี่ลงไป วิญญาณร้ายที่กระจายตัวอยู่แข็งแกร่งเหลือคณา ผู้แข็งแกร่งที่มีปราณระดับมกุฎจักรพรรดิสามชั้นฟ้าอย่างเจ้าก็ไม่กล้าบุกเข้าไปง่ายๆ”

“ในหมื่นปีมานี้ มีเพียงพวกร้ายกาจไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่เคยเสี่ยงเข้าชั้นสี่ลงไป”

“ส่วนชั้นที่เก้า… ว่ากันว่าแม้จะเป็นระดับจักรพรรดิเข้าไป ก็มักจะประสบเหตุไม่คาดคิด เป็นสถานที่เลวร้ายสุดขั้ว!”

หลินสวินถึงเข้าใจในยามนี้ “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง”

ต่อมาเขาก็ซักถามปัญหาสำคัญบางเรื่องอีก ล้วนได้รับคำตอบจากป๋อชวนทั้งหมด

นรกอำพรางแห่งนี้ไอวิญญาณเหือดแห้ง กฎเกณฑ์มหามรรคไม่คงอยู่ หากคิดจะฟื้นฟูพลังกาย หนึ่งคือต้องนำทรัพยากรฝึกปราณมหาศาลมาเอง สองก็คืออาศัยการฆ่าวิญญาณร้ายแล้วรวบรวม ‘ผลึกต้นกำเนิดมหามรรค’

ตามที่ป๋อชวนอธิบาย วิญญาณร้ายพวกนั้นล้วนแต่แปลงมาจากเสี้ยววิญญาณ เจตจำนง และพลังของพวกน่าสะพรึงในสมัยดึกดำบรรพ์ที่ร่วงหล่นในที่แห่งนี้

และผลึกต้นกำเนิดมหามรรค ก็คือแก่นมหามรรคที่ควบรวมจากมรรควิถีทั่วร่างของพวกน่าสะพรึงที่ร่วงหล่นเหล่านั้น!

สมัยยังมีชีวิต ระดับจักรพรรดิครอบครองยอดมรรควิถีและวิชามรรคอันน่าสะพรึง ทว่าหลังจากร่วงหล่น พลังมหามรรคที่พวกเขาครอบครองทั้งหมดก็จะสลายหายไปด้วย

ทว่าในนรกอำพรางไม่เหมือนกัน ขอเพียงบุคคลน่ากลัวเหล่านั้นถูกฝังไว้ที่นี่ หลังจากร่วงหล่น มรรควิถีที่พวกเขาครอบครองทั้งหมดก็จะแปรเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ผ่านการสั่งสมในกาลเวลายาวนาน และค่อยๆ ควบรวมกลายเป็นผลึกต้นกำเนิดมหามรรค

คุณลักษณะของผลึกต้นกำเนิดมหามรรคเองก็มีการแบ่งระดับสูงต่ำเช่นกัน

ยิ่งลึกลงไปในนรกอำพราง คุณลักษณะผลึกต้นเกิดมหามรรคที่กระจายอยู่ก็ยิ่งน่าตะลึง

ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่หายากบางส่วน ภายในยังอาจถึงขั้นผนึกเศษเสี้ยวกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิ เรียกได้ว่าเป็นยอดสมบัติที่โลกภายนอกยากจะร้องขอ!

แต่ป๋อชวนเองก็ไม่เคยพบเห็นผลึกต้นกำเนิดมหามรรคระดับนี้มาก่อน เพราะหลายปีมานี้เขาฝึกปราณอยู่ที่ชั้นหนึ่งมาตลอด ไม่มีโอกาสได้สัมผัสยอดสมบัติระดับนี้สักนิดอยู่แล้ว

พอเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ในใจหลินสวินก็แน่วนิ่งขึ้นไม่น้อย

ยามเขาคิดจะเคลื่อนไหว จู่ๆ ป๋อชวนก็เอ่ยขึ้น “พี่หลิน อีกเดี๋ยวข้าก็จะทะลวงปราณระดับมกุฎจักรพรรดิสองชั้นฟ้าแล้ว กำลังคิดจะไปเคี่ยวกรำในชั้นสอง เจ้าเพิ่งมาถึงทว่าศักยภาพกลับไม่ธรรมดาเป็นที่สุด ห่างชั้นกับข้าไกลโข ไม่สู้พวกเราเคลื่อนไหวด้วยกันเป็นอย่างไร”

หลินสวินคิดๆ แล้วก็พยักหน้าตอบรับ “แต่เป้าหมายของข้าคือการทะลวงเข้าชั้นเก้า เกรงว่าจะไม่สามารถไปกับเจ้าได้ตลอดทาง”

ป๋อชวนอึ้งค้างไปพักหนึ่ง เขาบอกเล่าอันตรายของนรกอำพรางไปขนาดนี้แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับยังคงกอดความคิดไม่สมจริงเช่นนี้อยู่อีก

นี่เป็นยอดฝีมือใจกล้า หรือว่าเป็นพวกไม่รู้เรื่องรู้ราวกันแน่

ป๋อชวนไม่ได้หัวเราะเยาะหรือโจมตี เพียงแค่เอ่ยว่า “พี่หลิน ข้าเชื่อว่ารอหลังจากเจ้าได้ลิ้มรสความน่ากลัวของนรกอำพรางอย่างแท้จริงแล้ว ย่อมต้องเปลี่ยนความคิดแน่นอน”

เห็นชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของหลินสวินสักนิด

หลินสวินเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรเช่นกัน

ไม่นานนักทั้งสองก็ทะยานไปยังที่ไกลออกไปด้วยกัน

นรกอำพรางคือสถานที่ลึกลับและอันตรายสุดขั้วแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ฝังศพเหล่าเทพหลังจากเคราะห์จ่อมจมครั้งแรกปิดฉากลง

พูดง่ายๆ ก็ เหมือนเป็นโลกสุสานใบหนึ่ง เพียงแค่ที่นี่ไม่มีหลุมฝังศพ มีเพียงวิญญาณร้ายมากมายนับไม่ถ้วน

นรกอำพรางแบ่งออกเป็นสิบแปดชั้น

แต่ละชั้นต่างมีช่องทางสีเลือดที่รูปร่างคล้ายวังน้ำวนแห่งหนึ่งเชื่อมสู่ชั้นถัดไป

จากที่ป๋อชวนว่ามา จากชั้นบนลงสู่ชั้นล่างไม่มีข้อจำกัดใดๆ สามารถเข้าได้ตลอดเวลา ทว่าหากอยากกลับจากชั้นล่างขึ้นมาชั้นบน มีเพียงสองหนทางเท่านั้น

หนึ่งคือรอคอยโอกาส ทุกๆ ระยะเวลาหนึ่งช่องทางสีโลหิตนั่นจะปรากฏโอกาสให้เข้าออกได้อย่างอิสระหนึ่งครั้ง

สองก็คืออาศัยศักยภาพแห่งตน ฝืนตะลุยฝ่าออกไป วิธีนี้ก็ลำบากยากเย็นเป็นที่สุด

หลินสวินจดจำวิธีพวกนี้ไว้ในใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจนัก

มีป๋อชวนนำทางเช่นนี้ ทำให้หลินสวินประหยัดเวลาหาทางขึ้นเป็นกอง ม้าแก่ชำนาญทางที่เรียกกันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง

ตลอดทางทั้งสองคนพบเจอวิญญาณร้ายบางส่วนอยู่บ้าง ล้วนกลิ่นอายอำมหิตดุร้าย ทั่วร่างแผ่คลื่นสีโลหิต บ้างเคลื่อนไหวสองสามตน บ้างก็ปรากฏเป็นกลุ่มสามถึงห้าตน

เจ้าพวกนี้สำหรับหลินสวินแล้วย่อมไม่ใช่อุปสรรคอะไร แค่สะบัดมือก็กำจัดได้แล้ว สบายเสียจนเหมือนบี้แมลงวันตายตัวแล้วตัวเล่า

ป๋อชวนมองเห็นทั้งหมดนี้ในสายตา ในใจก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเจ้าคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่คนนี้ฝีมือน่าตกตะลึงยิ่งยวด หากเปลี่ยนให้เขาไปต่อสู้ ไม่มีทางมีท่าทีสบายเช่นนี้เป็นแน่

และตลอดทางมานี้หลินสวินก็เก็บผลึกต้นกำเนิดมหามรรคได้จำนวนหนึ่งแล้ว

ของล้ำค่าเช่นนี้ รูปร่างไม่ซ้ำ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ล้วนโปร่งแสงวาววับ แผ่พลังมหามรรคบริสุทธิ์ ก้อนที่ขนาดเท่าหัวแม่มือก็เทียบได้กับผลึกมรรคหนึ่งหมื่นก้อนแล้ว น่าตกตะลึงหาใดเปรียบ

หลินสวินลองหลอมมันก้อนหนึ่ง และสังเกตเห็นทันทีว่าผลึกต้นกำเนิดมหามรรคไม่เพียงช่วยเติมเต็มพลังที่เหือดหาย ยังมีมีประโยชน์ยิ่งต่อพลังมหามรรคที่ตนครอบครองอีกด้วย!

นี่กลับทำให้เขาอดคาดหวังขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่บรรจุเศษเสี้ยวกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดินั่น ยังจะซุกซ่อนความเร้นลับที่น่าตื่นตะลึงระดับไหนอีก

สวบ!

หนึ่งก้านธูปให้หลัง ลำแสงศักดิ์สิทธิ์โชติช่วงสายหนึ่งพลันพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า กวาดผ่านห้วงอากาศไกลๆ ในโลกมืดมนที่ขมุกขมัวนี้ เห็นได้ชัดว่าสะดุดตาหาใดเปรียบ

“มีสมบัติตกหล่นปรากฏขึ้นอีกแล้ว!”

ป๋อชวนตะโกนลั่นอย่างตื่นเต้น “พี่หลิน พวกเรานี่โชคไม่เลวเลย เจอกับศุภโชคชิ้นหนึ่งเข้าแล้ว! ไป รีบไปเก็บมันกัน หาไม่ถูกผู้อื่นฉกฉวยไป เช่นนั้นคงน่าเสียดายแย่”

สวบ!

ขณะพูดเขาก็เคลื่อนย้ายเต็มกำลังทะยานไป

สมบัติตกหล่นหรือ

นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก เขาเองก็สังเกตเห็นว่าลำแสงศักดิ์สิทธิ์พร่างพราวสายนั้นค่อนข้างไม่ธรรมดา พอมองเห็นอยู่รำไรว่านั่นเป็นกระถางสมบัติสีเขียวขนาดหนึ่งฝ่ามือ ยามโฉบบินหลั่งรินละอองแสงมหามรรคงามวิจิตรออกมา ทอประกายแวววาวน่าตื่นตาตื่นใจ

ขณะใคร่ครวญหลินสวินก็พุ่งตัวเข้าไปเช่นกัน

“เก็บ!”

ป๋อชวนเรียกแส้อ่อนสีทองอร่ามเส้นหนึ่งออกมา เหวี่ยงกระหวัดไปกลางอากาศ พริบตาเดียวก็เกี่ยวรัดกระถางสมบัติสีเขียวนั่นไว้ได้

ทว่ายังไม่ทันให้ป๋อชวนดีใจ กระถางสมบัติสีเขียวใบนั้นก็แผ่คลื่นน่าตกใจออกมา ส่งเสียงวู้มคราหนึ่งแล้วหลุดออกจากกลางแส้อ่อนสีทองนั่นอย่างง่ายดาย เผ่นหนีออกไปไกลลิ่ว เห็นชัดว่ามีจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม

“สมบัติดี!” ดวงตาหลินสวินทอประกายวาบ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท