Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2119 ค่ายกลสังหารไร้ชีพ ขยับมีดเชือดวัว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2119 ค่ายกลสังหารไร้ชีพ ขยับมีดเชือดวัว

ตอนที่ 2119 ค่ายกลสังหารไร้ชีพ ขยับมีดเชือดวัว

ครืนโครม!

ฟ้าดินปั่นป่วน สายฟ้าแผ่พุ่ง

วิญญาณร้ายสีเลือดนับร้อยพันกรูออกมาประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยว แต่ละตัวล้วนมีพลังระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ ที่แข็งแกร่งที่สุดอานุภาพถึงขั้นเทียบได้กับระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า!

ครั้นเห็นภาพนี้ เมิ่งซิงจื่อก็หวาดผวาจนหน้าเขียว ขนพองสยองเกล้า ตีจนหัวแตกก็คิดไม่ถึง ว่าแค่พริบตาเคราะห์สังหารขนาดใหญ่ห่าหนึ่งก็สาดโครมมาถึงตรงหน้าแล้ว

“ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง ข้าไม่ได้เกรงกลัวจริงๆ หากแต่เบื่อหน่ายต่างหาก” เสียงหัวเราะของชายชุดเขียวดังก้องสะท้อนไปมากลางฟ้าดิน

“พูดตามตรงข้าเองก็ค่อนข้างเบื่อเช่นกัน เช่นนั้นพวกเราถือโอกาสนี้มาเล่นสนุกกันสักหน่อย”

หลินสวินเองก็หัวเราะ

ขณะพูดเขาสะบัดแขนเสื้อ ฝ่ามือทำมุทรา

“ทะยาน!”

เขาก้าวย่างดารา ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือไกลๆ

พร้อมกับเสียงดังสะเทือนจนหูจะหนวก สัญลักษณ์ลายมรรคที่แน่นขนัดนับไม่ถ้วนล้นทะลักอยู่ตรงพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ เจิดจรัสคุโชน ดุจรุ้งเทพพร่างพรายที่พุ่งทะยานเมฆ

“ฆ่า!”

วิญญาณร้ายสีเลือดทั้งกลุ่มโถมเข้ามา ดุดันเกี้ยวกราด กลิ่นอายน่าสยดสยอง

หลินสวินไม่ได้เข้าปะทะกับพวกมัน เงาร่างขยับไหววูบหนึ่งก็หายไปจากจุดเดิมแล้วปรากฏขึ้นอีกด้านหนึ่ง

“ทะยาน!”

มือเขาทำมุทรา ทันทีที่ใต้ฝ่าเหยียบย่าง เสียงตูมดังคราหนึ่ง แผนภาพลายมรรคราวกระแสน้ำเชี่ยวไหลหลั่ง โคจรร่ายระบำ ทอแสงประกายโชติช่วง

บนยอดเขาภูเขาใหญ่สีเลือดที่อยู่ไกลออกไป รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าของชายชุดเขียวหุบไป หัวคิ้วค่อยๆ ขมวด เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าหลินสวินกำลังทำอะไรอยู่

ทั้งไม่บุกโจมตีและไม่หลบหนี ตรงข้ามกลับคล้ายกำลังวางกระบวนค่ายกล

แต่จุดสำคัญคือ กระบวนผนึกลายมรรคบนโลกนี้มีหรือจะวางได้ตามสะดวก นอกจากต้องมีธงกระบวน จานกระบวน ฐานค่ายกล หินกระบวนแล้ว… ยังต้องมีแหล่งกำเนิดพลังที่สามารถรักษาการโคจรกระบวนค่ายกลใหญ่ด้วย!

ชายชุดเขียวไม่เข้าใจจริงๆ ว่าการวางกระบวนค่ายกลในเวลานี้ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย

แต่แม้ว่าจะมองความลับในนี้ไม่ออก ชายชุดเขียวก็ยังคงตัดสินใจรุกโจมตีและทำลายล้างอยู่ดี

เขาถ่ายทอดความคิดพิสดารน่าสะพรึงออกมา หอบม้วนทั้งที่นั้นราวกับลมพายุคลั่ง

“โจมตีเต็มกำลัง ทำลายการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขา!”

วิญญาณร้ายสีเลือดมากมายราวกระแสน้ำเชี่ยวประหนึ่งได้รับบัญชาจากสวรรค์ ทั้งหมดล้วนพุ่งเข้าใส่หลินสวินอย่างบ้าคลั่ง

ตูมโครม!

ฟ้าดินแถบนี้ล้วนปั่นป่วน ถูกถมด้วยเงาร่างสีเลือดนับไม่ถ้วน พลังประหนึ่งทำลายล้างหอบม้วนเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน จนแทบจะท่วมทับเงาร่างของหลินสวิน

ภาพนี้น่าสยดสยองเกินไป เมื่อคิดดูว่ามกุฎกึ่งจักรพรรดิเป็นร้อยพันลงมือพร้อมกัน ขบวนทัพและอานุภาพระดับนั้นจะน่ากลัวปานใด

และการโจมตีทั้งหมดนี้ล้วนชี้ไปทางหลินสวินคนเดียว!

เมิ่งซิงจื่อเผ่นหนีไปไกลลิ่วก่อนที่การต่อสู้จะปะทุขึ้นนานแล้ว ไม่กล้าลังเลใดๆ สักนิด

เดิมเขาคิดว่าหลินสวินเองก็ต้องเลือกถอยหนีเหมือนกับเขา ทว่าใครเลยจะคาดคิด หลินสวินไม่ได้มีความคิดจะหลบหลีกใดๆ สักนิด!

ขณะที่เมิ่งซิงจื่อมองไปในที่นั้น เงาร่างของหลินสวินก็ถูกท่วมมิดไปนานแล้ว ฟ้าดินปั่นปวน แสงโลหิตม้วนตลบ มองเห็นไม่ชัดเลยสักนิด

นี่ทำให้ในใจเมิ่งซิงจื่อเย็นวาบ ในใจเหลือเพียงความคิดเดียว

จะไป หรือจะอยู่

……

วิญญาณร้ายมากมายพุ่งกรูเข้ามาราวทะเลเดือดคลื่นคลั่ง ครอบคลุมฟ้าดินแถบนั้น กระแสปั่นป่วนไร้เทียมทานหอบม้วนแผ่กว้าง บดขยี้ห้วงอากาศจนแหลกสลาย

พลังกระบวนผนึกที่แผ่คลุมอยู่ทั่วบนล่างภูเขาใหญ่สีเลือดถูกโคจร ค่อยๆ สลายพลังทำลายล้างนั้นไป

คราวนี้ชายชุดเขียวที่ยืนเด่นอยู่บนยอดเขาเริ่มสงบใจลงน้อยๆ

เขาเอามือไพล่หลัง นัยน์ตาทอประกายวาววับแปลกประหลาด จ้องเขม็งไปยังสนามรบที่อยู่ไกลออกไป อาภรณ์สีเขียวทั้งชุดโบกพลิ้ว ดั่งจอมราชันที่ทอดมองดินแดนของตนจากเบื้องบน

“ดันยังไม่ตาย… เจ้านี่ร้ายกาจกว่าที่ข้าคาดไว้หน่อยจริงๆ…”

เขาพึมพำเบาๆ

เขามองออกแล้วว่าหลินสวินยังคงดิ้นรนอยู่ ต่อให้ถูกล้อมโจมตีก็ยังไม่มีวี่แววจะร่วงหล่นในทันทีทันใด

แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก

“ทะยาน!”

“ทะยาน!”

“ทะยาน!”

เงาร่างหลินสวินไหววูบ ประหนึ่งแสงพริบไหวสายหนึ่งกลางเงาเลือดนับไม่ถ้วน ไหววูบไม่หยุด

แม้ถูกปิดล้อมจนแทบไม่เหลือช่องโหว่ใดๆ ทว่าพร้อมกับการโคจรปราณของเขา ก็สามารถบดขยี้การขัดขวางของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย

ศัตรูมีมากเกินไปจริงๆ แออัดยัดเยียดราวกับไม่มีสิ้นสุด แต่ว่ากันถึงพลังต่อสู้ ไม่มีสักตนที่เข้าตาหลินสวินได้

กอปรกับวิญญาณร้ายพวกนี้อาศัยเพียงสัญชาตญาณในการต่อสู้ แต่ไร้สติปัญญาและความนึกคิด ลำพังแค่จุดนี้ก็ไม่สามารถเทียบกับระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิที่แท้จริงได้แล้ว

“ทะยาน!”

จนกระทั่งหลังจากทำมุทราสุดท้าย เงาร่างหลินสวินก็พริบไหวคราหนึ่ง ฝ่าวงล้อมลงมายังใต้เวิ้งฟ้า

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นัยน์ตาดำอดเจือแววตั้งตาคอยเสี้ยวหนึ่งไม่ได้

จากนั้นเขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

“โอม!”

เสียงมรรคคลุมเครือดั่งฟ้าคำรามสายหนึ่งดังขึ้นทั่วทั้งที่นั้น

“นี่คือ…”

ชายชุดเขียวที่อยู่บนยอดเขาสีเลือดไกลๆ ขมวดคิ้ว มองหลินสวินที่ยืนโอหังอยู่ใต้เวิ้งฟ้า จู่ๆ ในใจก็ผุดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

ครู่ถัดมาเขาก็อึ้งงันอยู่ตรงนั้น ดวงตาเบิกโพลงโดยพลัน

ก็เห็นในสนามรบจู่ๆ ก็ปรากฏดอกบัวใหญ่สีเขียวส่ายไหวไปมามากมาย มากกว่าร้อยเกินกว่าพัน แผ่ครอบฟ้าดิน ทำให้ภูผาธาราต่างก็ย้อมอยู่กลางสีเขียวมรกตชั้นหนึ่ง

เสมือนใบบัวเชื่อมฟ้า เขียวมรกตไร้ขอบเขต!

ครั้นมองอย่างละเอียด ดอกบัวสีเขียวแต่ละดอกล้วนขนาดใหญ่เท่าหินโม่ ไหวเอนกลางห้วงอากาศ ใบบัวทุกใบต่างก็ร่างขึ้นมาจากลายมรรคเนื่องแน่นนับไม่ถ้วน หลั่งรินละอองแสงงดงามขมุกขมัวออกมามหาศาล

และดอกบัวที่เบ่งบานอยู่กลางใบบัว แต่ละดอกมีสามสิบหกกลีบ เกสรวาวเจิดจ้าดุจหยกเขียว ท่ามกลางความเลือนรางราวมีเงามายาเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งประทับอยู่ในนั้น ปากท่องสวดธรรมคัมภีร์ กึกก้องไปทั่วหล้า!

พริบตาเดียวเท่านั้น สนามรบปั่นป่วนที่อึมครึมคาวเลือดนี้ ก็คล้ายแปรสภาพเป็นโลกทวยเทพอันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง เกิดความสงบ ประทับดอกบัวใหญ่!

ชายชุดเขียวอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น จิตใจสั่นสะท้าน เอ่อท้นไปด้วยความหนาวเหน็บที่ไม่อาจควบคุม ลำพังแค่มองอยู่ไกลๆ ก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายยิ่งยวดที่ปะทะเข้ามาแล้ว

“กระบวนแปลงจิตเทพ มรรคแปรอานุภาพไร้ชีพ!”

เสียงเรียบเรื่อยของหลินสวินดังก้องขึ้น ประหนึ่งสัทครรลองมหามรรค

ก็เห็นว่า…

ในบัวเขียวนับพันหมื่น เงามายาทวยเทพพรั่งพรู ประกายศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทานแผ่พุ่ง ฟ้าดินแถบนั้นก็ประหนึ่งลุกไหม้ สรรพสิ่งกลายเป็นเถ้าธุลี ห้วงอากาศดับสลาย

ทั้งยังมีเสียงมรรคไร้สิ้นสุดก้องกระหึ่ม หอบม้วนแผ่ขยาย สะเทือนทั้งบนล่างทั่วหล้า!

วิญญาณร้ายสีเลือดดุจกระแสน้ำเชี่ยวนั่นประหนึ่งกระดาษเปื่อย เงาร่างสลายกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวว่อนกลางแสงและเสียงมรรคไร้สิ้นสุด

ชั่วอึดใจฟ้าดินเสมือนถูกชำระล้าง ไม่มีเงาร่างของวิญญาณร้ายอีกสักตน ทั้งหมดเหมือนถูกกำจัด สลายหายเกลี้ยง

มีเพียงบัวเขียวดุจโลก ทวยเทพดั่งมายา ประกายเทพสีเขียวศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทานหลั่งริน ส่องสว่างภูผาธารา

ตูม!

ด้านบนของภูเขาใหญ่สีเลือดที่อยู่ไกลออกไป กระบวนผนึกลายมรรคเป็นชั้นๆ ที่ปิดครอบพังถล่ม ดับสลายประหนึ่งหิมะถล่ม ทั่วทั้งเขาสะเทือนรุนแรงและถล่มโครมคราม

ชายชุดเขียวที่แต่เดิมยืนอยู่บนยอดเขาก็ถูกลูกหลงเช่นกัน ร่างดั่งถูกพายุหมุนหอบม้วน ถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง สะบักสะบอมหาใดเปรียบ

“กระบวนค่ายกลใหญ่ร้ายกาจนัก! ฝีมือยอดเยี่ยมยิ่ง!” ริมฝีปากของเขากระอักเลือดไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยแววแตกใจและหวาดหวั่น

วิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนเหล่านั้นล้วนอยู่ใต้บัญชาของเขา แต่ละตนต่างมีอานุภาพระดับมุกุฎกึ่งจักรพรรดิ ทว่าภายใต้กระบวนค่ายกลใหญ่นั้นกลับย่อยยับจนหมด!

ทั้งหมดเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น!

นี่ทำให้จิตใจของชายชุดเขียวยังประสบแรงโจมตีที่ไม่เคยมีมาก่อน สะท้านสะเทือนเพราะเหตุนี้ ความเชื่อมั่นและภาคภูมิทั้งหมดเสมือนพังถล่มลงในบัดนี้

ใต้เวิ้งฟ้า ในใจหลินสวินก็สะท้านขวัญอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน

กระบวนค่ายกลนี้นามว่า ‘กระบวนสังหารไร้ชีพ’ เป็นอันดับเก้าทั่วหล้า สร้างขึ้นด้วยมือท่านลู่ เคยเฉิดฉายอยู่ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิสมัยโบราณ สังหารห้าจักรพรรดิ ทำร้ายแปดจักรพรรดิบาดเจ็บสาหัส!

ด้วยกระบวนค่ายกลนี้ ทำให้ท่านลู่ซึ่งมีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิได้รับการขนานนามว่า ‘จักรพรรดิกระบวนลู่’!

เพียงแต่ที่หลินสวินวางในตอนนี้ เป็นเพียงแค่กระบวนสังหารไร้ชีพแบบหยาบๆ อย่างหนึ่งเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงและอานุภาพที่สำแดงออกมาก็มีจำกัด ห่างไกลจนไม่อาจเทียบกับกระบวนสังหารไร้ชีพที่สมบูรณ์แบบของจริง

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ยามเมื่อโคจรกระบวนค่ายกลนี้ ยังคงกวาดสังหารวิญญาณร้ายในที่นั้นทั้งหมด ชะล้างไม่เหลือ!

‘หากวางกระบวนสังหารไร้ชีพที่สมบูรณ์แบบออกมา อานุภาพจะแข็งแกร่งอีกเท่าใดกัน’

หลินสวินอดตั้งตาคอยในใจไม่ได้

ชิงอิงมอบม้วนหยกที่ท่านลู่ทิ้งไว้ม้วนนั้นให้เขา ในม้วนหยกเป็นตำรามรรคที่ท่านลู่เขียนขึ้น และเกี่ยวข้องกับวิถีสลักวิญญาณทั้งสิ้น

ในนั้นไม่เพียงบันทึกกระบวนสังหารไร้ชีพเท่านั้น ยังมีนัยเร้นลับอื่นๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับรวิถีสลักวิญญาณ เรียกได้ว่ามากมายมหาศาล

เมื่อใช้ความเชี่ยวชาญด้านสลักวิญญาณในปัจจุบันของหลินสวินไปหยั่งรู้ ยังได้รับการชี้แนะอย่างลึกซึ้ง มักรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกอยู่เนืองนิจ

เหมือนอย่างกระบวนสังหารไร้ชีพที่สำแดงออกมาก่อนหน้านี้ ก็คือนัยเร้นลับบางส่วนที่หลินสวินได้หยั่งรู้ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันนี้ แม้เป็นเพียงการควบคุมผิวเผิน ทว่าอานุภาพก็ไม่อาจดูเบา

ฮูม…

ไม่นานดอกบัวสีเขียวเต็มฟ้านั่นก็แปรสภาพเป็นละอองแสงหายลับไป

ฟ้าดินเวิ้งว้าง หลินสวินมองชายชุดเขียวที่อยู่ไกลออกไปแล้วกล่าวขึ้น “ตอนนี้ยังรู้สึกเบื่ออยู่หรือไม่”

ชายชุดเขียวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เช็ดคราบเลือดตรงมุมปากแล้วถอนหายใจกล่าว “ฝีมือของสหายยุทธ์ยอดเยี่ยมยิ่งยวด กล่าวได้ว่าพลิกมือเรียกลมกลับมือเรียกฝนได้แล้ว ข้ามีหรือจะกล้าหุนหันอีก”

ขณะกล่าวเขายังคงเอ่ยถามคล้ายไม่ค่อยพอใจ “ข้าแปลกใจยิ่งนัก หากไร้พลังกระบวนค่ายกลใหญ่อย่างเมื่อครู่นั่น สหายยุทธ์จะทลายการล้อมโจมตีได้หรือไม่”

หลินสวินกล่าวเรียบๆ “ก่อนหน้านี้ข้าก็พูดไปแล้ว แค่เพราะเบื่อหน่ายเท่านั่นจึงคิดจะทดสอบอานุภาพของกระบวนค่ายกลใหญ่นั่น หากข้าลงมือจริงๆ เจ้าคงเป็นคนแรกที่ประสบเคราะห์”

ชายชุดเขียวตะลึงงัน อดหัวเราะร่วนไม่ได้ “ในสายตาสหายยุทธ์ ข้าย่ำแย่ขนาดนี้เชียวรึ”

สวบ!

หลินสวินย่างเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็มาถึงเบื้องหน้าชายชุดเขียว กดฝ่ามือหนึ่งลงไปอย่างง่ายดาย

ฝ่ายหลังนัยน์ตาวาบประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง สิ่งที่เขารอก็คือโอกาสนี้!

เพียงแต่ยามเมื่อเข้าต้องเผชิญหน้ากับฝ่ามือนี้ของหลินสวินจริงๆ จู่ๆ กลับพบว่าตนเหมือนตกเข้าไปอยู่ในกรงขัง สี่ทิศแปดทางถูกปกคลุมไปด้วยผนึก จะหนีก็ไม่ได้ จะหลบก็ไม่พ้น

ได้แต่เข้าปะทะจังๆ!

แทบจะเป็นไปตามสัญชาติญาณการต่อสู้อย่างหนึ่ง ทำให้ชายชุดเขียวรวบรวมพลังแห่งตนทั้งหมดปลดปล่อยออกมาสุดขีด

เขาไม่เชื่อว่าหากปะทะกันซึ่งหน้า ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าผู้หนึ่งจะเป็นคู่ต่อสู้ของตนได้

ตูม!

เลือดลมทั่วร่างเขาสะท้านสะเทือน ดุจภูเขาไฟนับแสนลูกระเบิดปะทุ กฎเกณฑ์บ้าคลั่งไร้ทัดเทียมพุ่งทะลัก ทั้งหมดล้วนถูกเขารวบเอาไว้ในประทับฝ่ามือสายหนึ่ง

นี่เป็นการโจมตีสุดกำลังครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เขาตื่นรู้ ประทับฝ่ามือเดียวนี้ สิ่งที่สั่งสมอยู่คือมรรควิถีตลอดชีวิตของเขา!

ห้วงอากาศปั่นป่วน ประกายศักดิ์สิทธิ์แผ่พุ่ง เมื่อเสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้น ประทับฝ่ามือของชายชุดเขียวก็ระเบิดออก เห็นได้ชัดว่ารับการโจมตีนั้นไม่ไหว

ส่วนทั้งตัวเขาก็ถูกฟาดกระเด็นออกไปตรงๆ ร่วงกระแทกลงพื้นดินที่ห่างออกไปหลายร้อยจั้งอย่างแรง ฝุ่นควันคลุ้งตลบเต็มฟ้า

——————————

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท