ตอนที่ 2119 ค่ายกลสังหารไร้ชีพ ขยับมีดเชือดวัว
ครืนโครม!
ฟ้าดินปั่นป่วน สายฟ้าแผ่พุ่ง
วิญญาณร้ายสีเลือดนับร้อยพันกรูออกมาประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยว แต่ละตัวล้วนมีพลังระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ ที่แข็งแกร่งที่สุดอานุภาพถึงขั้นเทียบได้กับระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า!
ครั้นเห็นภาพนี้ เมิ่งซิงจื่อก็หวาดผวาจนหน้าเขียว ขนพองสยองเกล้า ตีจนหัวแตกก็คิดไม่ถึง ว่าแค่พริบตาเคราะห์สังหารขนาดใหญ่ห่าหนึ่งก็สาดโครมมาถึงตรงหน้าแล้ว
“ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง ข้าไม่ได้เกรงกลัวจริงๆ หากแต่เบื่อหน่ายต่างหาก” เสียงหัวเราะของชายชุดเขียวดังก้องสะท้อนไปมากลางฟ้าดิน
“พูดตามตรงข้าเองก็ค่อนข้างเบื่อเช่นกัน เช่นนั้นพวกเราถือโอกาสนี้มาเล่นสนุกกันสักหน่อย”
หลินสวินเองก็หัวเราะ
ขณะพูดเขาสะบัดแขนเสื้อ ฝ่ามือทำมุทรา
“ทะยาน!”
เขาก้าวย่างดารา ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือไกลๆ
พร้อมกับเสียงดังสะเทือนจนหูจะหนวก สัญลักษณ์ลายมรรคที่แน่นขนัดนับไม่ถ้วนล้นทะลักอยู่ตรงพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ เจิดจรัสคุโชน ดุจรุ้งเทพพร่างพรายที่พุ่งทะยานเมฆ
“ฆ่า!”
วิญญาณร้ายสีเลือดทั้งกลุ่มโถมเข้ามา ดุดันเกี้ยวกราด กลิ่นอายน่าสยดสยอง
หลินสวินไม่ได้เข้าปะทะกับพวกมัน เงาร่างขยับไหววูบหนึ่งก็หายไปจากจุดเดิมแล้วปรากฏขึ้นอีกด้านหนึ่ง
“ทะยาน!”
มือเขาทำมุทรา ทันทีที่ใต้ฝ่าเหยียบย่าง เสียงตูมดังคราหนึ่ง แผนภาพลายมรรคราวกระแสน้ำเชี่ยวไหลหลั่ง โคจรร่ายระบำ ทอแสงประกายโชติช่วง
บนยอดเขาภูเขาใหญ่สีเลือดที่อยู่ไกลออกไป รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าของชายชุดเขียวหุบไป หัวคิ้วค่อยๆ ขมวด เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าหลินสวินกำลังทำอะไรอยู่
ทั้งไม่บุกโจมตีและไม่หลบหนี ตรงข้ามกลับคล้ายกำลังวางกระบวนค่ายกล
แต่จุดสำคัญคือ กระบวนผนึกลายมรรคบนโลกนี้มีหรือจะวางได้ตามสะดวก นอกจากต้องมีธงกระบวน จานกระบวน ฐานค่ายกล หินกระบวนแล้ว… ยังต้องมีแหล่งกำเนิดพลังที่สามารถรักษาการโคจรกระบวนค่ายกลใหญ่ด้วย!
ชายชุดเขียวไม่เข้าใจจริงๆ ว่าการวางกระบวนค่ายกลในเวลานี้ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
แต่แม้ว่าจะมองความลับในนี้ไม่ออก ชายชุดเขียวก็ยังคงตัดสินใจรุกโจมตีและทำลายล้างอยู่ดี
เขาถ่ายทอดความคิดพิสดารน่าสะพรึงออกมา หอบม้วนทั้งที่นั้นราวกับลมพายุคลั่ง
“โจมตีเต็มกำลัง ทำลายการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขา!”
วิญญาณร้ายสีเลือดมากมายราวกระแสน้ำเชี่ยวประหนึ่งได้รับบัญชาจากสวรรค์ ทั้งหมดล้วนพุ่งเข้าใส่หลินสวินอย่างบ้าคลั่ง
ตูมโครม!
ฟ้าดินแถบนี้ล้วนปั่นป่วน ถูกถมด้วยเงาร่างสีเลือดนับไม่ถ้วน พลังประหนึ่งทำลายล้างหอบม้วนเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน จนแทบจะท่วมทับเงาร่างของหลินสวิน
ภาพนี้น่าสยดสยองเกินไป เมื่อคิดดูว่ามกุฎกึ่งจักรพรรดิเป็นร้อยพันลงมือพร้อมกัน ขบวนทัพและอานุภาพระดับนั้นจะน่ากลัวปานใด
และการโจมตีทั้งหมดนี้ล้วนชี้ไปทางหลินสวินคนเดียว!
เมิ่งซิงจื่อเผ่นหนีไปไกลลิ่วก่อนที่การต่อสู้จะปะทุขึ้นนานแล้ว ไม่กล้าลังเลใดๆ สักนิด
เดิมเขาคิดว่าหลินสวินเองก็ต้องเลือกถอยหนีเหมือนกับเขา ทว่าใครเลยจะคาดคิด หลินสวินไม่ได้มีความคิดจะหลบหลีกใดๆ สักนิด!
ขณะที่เมิ่งซิงจื่อมองไปในที่นั้น เงาร่างของหลินสวินก็ถูกท่วมมิดไปนานแล้ว ฟ้าดินปั่นปวน แสงโลหิตม้วนตลบ มองเห็นไม่ชัดเลยสักนิด
นี่ทำให้ในใจเมิ่งซิงจื่อเย็นวาบ ในใจเหลือเพียงความคิดเดียว
จะไป หรือจะอยู่
……
วิญญาณร้ายมากมายพุ่งกรูเข้ามาราวทะเลเดือดคลื่นคลั่ง ครอบคลุมฟ้าดินแถบนั้น กระแสปั่นป่วนไร้เทียมทานหอบม้วนแผ่กว้าง บดขยี้ห้วงอากาศจนแหลกสลาย
พลังกระบวนผนึกที่แผ่คลุมอยู่ทั่วบนล่างภูเขาใหญ่สีเลือดถูกโคจร ค่อยๆ สลายพลังทำลายล้างนั้นไป
คราวนี้ชายชุดเขียวที่ยืนเด่นอยู่บนยอดเขาเริ่มสงบใจลงน้อยๆ
เขาเอามือไพล่หลัง นัยน์ตาทอประกายวาววับแปลกประหลาด จ้องเขม็งไปยังสนามรบที่อยู่ไกลออกไป อาภรณ์สีเขียวทั้งชุดโบกพลิ้ว ดั่งจอมราชันที่ทอดมองดินแดนของตนจากเบื้องบน
“ดันยังไม่ตาย… เจ้านี่ร้ายกาจกว่าที่ข้าคาดไว้หน่อยจริงๆ…”
เขาพึมพำเบาๆ
เขามองออกแล้วว่าหลินสวินยังคงดิ้นรนอยู่ ต่อให้ถูกล้อมโจมตีก็ยังไม่มีวี่แววจะร่วงหล่นในทันทีทันใด
แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก
…
“ทะยาน!”
“ทะยาน!”
“ทะยาน!”
เงาร่างหลินสวินไหววูบ ประหนึ่งแสงพริบไหวสายหนึ่งกลางเงาเลือดนับไม่ถ้วน ไหววูบไม่หยุด
แม้ถูกปิดล้อมจนแทบไม่เหลือช่องโหว่ใดๆ ทว่าพร้อมกับการโคจรปราณของเขา ก็สามารถบดขยี้การขัดขวางของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
ศัตรูมีมากเกินไปจริงๆ แออัดยัดเยียดราวกับไม่มีสิ้นสุด แต่ว่ากันถึงพลังต่อสู้ ไม่มีสักตนที่เข้าตาหลินสวินได้
กอปรกับวิญญาณร้ายพวกนี้อาศัยเพียงสัญชาตญาณในการต่อสู้ แต่ไร้สติปัญญาและความนึกคิด ลำพังแค่จุดนี้ก็ไม่สามารถเทียบกับระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิที่แท้จริงได้แล้ว
“ทะยาน!”
จนกระทั่งหลังจากทำมุทราสุดท้าย เงาร่างหลินสวินก็พริบไหวคราหนึ่ง ฝ่าวงล้อมลงมายังใต้เวิ้งฟ้า
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นัยน์ตาดำอดเจือแววตั้งตาคอยเสี้ยวหนึ่งไม่ได้
จากนั้นเขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
“โอม!”
เสียงมรรคคลุมเครือดั่งฟ้าคำรามสายหนึ่งดังขึ้นทั่วทั้งที่นั้น
“นี่คือ…”
ชายชุดเขียวที่อยู่บนยอดเขาสีเลือดไกลๆ ขมวดคิ้ว มองหลินสวินที่ยืนโอหังอยู่ใต้เวิ้งฟ้า จู่ๆ ในใจก็ผุดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
ครู่ถัดมาเขาก็อึ้งงันอยู่ตรงนั้น ดวงตาเบิกโพลงโดยพลัน
ก็เห็นในสนามรบจู่ๆ ก็ปรากฏดอกบัวใหญ่สีเขียวส่ายไหวไปมามากมาย มากกว่าร้อยเกินกว่าพัน แผ่ครอบฟ้าดิน ทำให้ภูผาธาราต่างก็ย้อมอยู่กลางสีเขียวมรกตชั้นหนึ่ง
เสมือนใบบัวเชื่อมฟ้า เขียวมรกตไร้ขอบเขต!
ครั้นมองอย่างละเอียด ดอกบัวสีเขียวแต่ละดอกล้วนขนาดใหญ่เท่าหินโม่ ไหวเอนกลางห้วงอากาศ ใบบัวทุกใบต่างก็ร่างขึ้นมาจากลายมรรคเนื่องแน่นนับไม่ถ้วน หลั่งรินละอองแสงงดงามขมุกขมัวออกมามหาศาล
และดอกบัวที่เบ่งบานอยู่กลางใบบัว แต่ละดอกมีสามสิบหกกลีบ เกสรวาวเจิดจ้าดุจหยกเขียว ท่ามกลางความเลือนรางราวมีเงามายาเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งประทับอยู่ในนั้น ปากท่องสวดธรรมคัมภีร์ กึกก้องไปทั่วหล้า!
พริบตาเดียวเท่านั้น สนามรบปั่นป่วนที่อึมครึมคาวเลือดนี้ ก็คล้ายแปรสภาพเป็นโลกทวยเทพอันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง เกิดความสงบ ประทับดอกบัวใหญ่!
ชายชุดเขียวอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น จิตใจสั่นสะท้าน เอ่อท้นไปด้วยความหนาวเหน็บที่ไม่อาจควบคุม ลำพังแค่มองอยู่ไกลๆ ก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายยิ่งยวดที่ปะทะเข้ามาแล้ว
“กระบวนแปลงจิตเทพ มรรคแปรอานุภาพไร้ชีพ!”
เสียงเรียบเรื่อยของหลินสวินดังก้องขึ้น ประหนึ่งสัทครรลองมหามรรค
ก็เห็นว่า…
ในบัวเขียวนับพันหมื่น เงามายาทวยเทพพรั่งพรู ประกายศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทานแผ่พุ่ง ฟ้าดินแถบนั้นก็ประหนึ่งลุกไหม้ สรรพสิ่งกลายเป็นเถ้าธุลี ห้วงอากาศดับสลาย
ทั้งยังมีเสียงมรรคไร้สิ้นสุดก้องกระหึ่ม หอบม้วนแผ่ขยาย สะเทือนทั้งบนล่างทั่วหล้า!
วิญญาณร้ายสีเลือดดุจกระแสน้ำเชี่ยวนั่นประหนึ่งกระดาษเปื่อย เงาร่างสลายกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวว่อนกลางแสงและเสียงมรรคไร้สิ้นสุด
ชั่วอึดใจฟ้าดินเสมือนถูกชำระล้าง ไม่มีเงาร่างของวิญญาณร้ายอีกสักตน ทั้งหมดเหมือนถูกกำจัด สลายหายเกลี้ยง
มีเพียงบัวเขียวดุจโลก ทวยเทพดั่งมายา ประกายเทพสีเขียวศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทานหลั่งริน ส่องสว่างภูผาธารา
ตูม!
ด้านบนของภูเขาใหญ่สีเลือดที่อยู่ไกลออกไป กระบวนผนึกลายมรรคเป็นชั้นๆ ที่ปิดครอบพังถล่ม ดับสลายประหนึ่งหิมะถล่ม ทั่วทั้งเขาสะเทือนรุนแรงและถล่มโครมคราม
ชายชุดเขียวที่แต่เดิมยืนอยู่บนยอดเขาก็ถูกลูกหลงเช่นกัน ร่างดั่งถูกพายุหมุนหอบม้วน ถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง สะบักสะบอมหาใดเปรียบ
“กระบวนค่ายกลใหญ่ร้ายกาจนัก! ฝีมือยอดเยี่ยมยิ่ง!” ริมฝีปากของเขากระอักเลือดไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยแววแตกใจและหวาดหวั่น
วิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนเหล่านั้นล้วนอยู่ใต้บัญชาของเขา แต่ละตนต่างมีอานุภาพระดับมุกุฎกึ่งจักรพรรดิ ทว่าภายใต้กระบวนค่ายกลใหญ่นั้นกลับย่อยยับจนหมด!
ทั้งหมดเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น!
นี่ทำให้จิตใจของชายชุดเขียวยังประสบแรงโจมตีที่ไม่เคยมีมาก่อน สะท้านสะเทือนเพราะเหตุนี้ ความเชื่อมั่นและภาคภูมิทั้งหมดเสมือนพังถล่มลงในบัดนี้
ใต้เวิ้งฟ้า ในใจหลินสวินก็สะท้านขวัญอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
กระบวนค่ายกลนี้นามว่า ‘กระบวนสังหารไร้ชีพ’ เป็นอันดับเก้าทั่วหล้า สร้างขึ้นด้วยมือท่านลู่ เคยเฉิดฉายอยู่ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิสมัยโบราณ สังหารห้าจักรพรรดิ ทำร้ายแปดจักรพรรดิบาดเจ็บสาหัส!
ด้วยกระบวนค่ายกลนี้ ทำให้ท่านลู่ซึ่งมีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิได้รับการขนานนามว่า ‘จักรพรรดิกระบวนลู่’!
เพียงแต่ที่หลินสวินวางในตอนนี้ เป็นเพียงแค่กระบวนสังหารไร้ชีพแบบหยาบๆ อย่างหนึ่งเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงและอานุภาพที่สำแดงออกมาก็มีจำกัด ห่างไกลจนไม่อาจเทียบกับกระบวนสังหารไร้ชีพที่สมบูรณ์แบบของจริง
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ยามเมื่อโคจรกระบวนค่ายกลนี้ ยังคงกวาดสังหารวิญญาณร้ายในที่นั้นทั้งหมด ชะล้างไม่เหลือ!
‘หากวางกระบวนสังหารไร้ชีพที่สมบูรณ์แบบออกมา อานุภาพจะแข็งแกร่งอีกเท่าใดกัน’
หลินสวินอดตั้งตาคอยในใจไม่ได้
ชิงอิงมอบม้วนหยกที่ท่านลู่ทิ้งไว้ม้วนนั้นให้เขา ในม้วนหยกเป็นตำรามรรคที่ท่านลู่เขียนขึ้น และเกี่ยวข้องกับวิถีสลักวิญญาณทั้งสิ้น
ในนั้นไม่เพียงบันทึกกระบวนสังหารไร้ชีพเท่านั้น ยังมีนัยเร้นลับอื่นๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับรวิถีสลักวิญญาณ เรียกได้ว่ามากมายมหาศาล
เมื่อใช้ความเชี่ยวชาญด้านสลักวิญญาณในปัจจุบันของหลินสวินไปหยั่งรู้ ยังได้รับการชี้แนะอย่างลึกซึ้ง มักรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกอยู่เนืองนิจ
เหมือนอย่างกระบวนสังหารไร้ชีพที่สำแดงออกมาก่อนหน้านี้ ก็คือนัยเร้นลับบางส่วนที่หลินสวินได้หยั่งรู้ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันนี้ แม้เป็นเพียงการควบคุมผิวเผิน ทว่าอานุภาพก็ไม่อาจดูเบา
ฮูม…
ไม่นานดอกบัวสีเขียวเต็มฟ้านั่นก็แปรสภาพเป็นละอองแสงหายลับไป
ฟ้าดินเวิ้งว้าง หลินสวินมองชายชุดเขียวที่อยู่ไกลออกไปแล้วกล่าวขึ้น “ตอนนี้ยังรู้สึกเบื่ออยู่หรือไม่”
ชายชุดเขียวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เช็ดคราบเลือดตรงมุมปากแล้วถอนหายใจกล่าว “ฝีมือของสหายยุทธ์ยอดเยี่ยมยิ่งยวด กล่าวได้ว่าพลิกมือเรียกลมกลับมือเรียกฝนได้แล้ว ข้ามีหรือจะกล้าหุนหันอีก”
ขณะกล่าวเขายังคงเอ่ยถามคล้ายไม่ค่อยพอใจ “ข้าแปลกใจยิ่งนัก หากไร้พลังกระบวนค่ายกลใหญ่อย่างเมื่อครู่นั่น สหายยุทธ์จะทลายการล้อมโจมตีได้หรือไม่”
หลินสวินกล่าวเรียบๆ “ก่อนหน้านี้ข้าก็พูดไปแล้ว แค่เพราะเบื่อหน่ายเท่านั่นจึงคิดจะทดสอบอานุภาพของกระบวนค่ายกลใหญ่นั่น หากข้าลงมือจริงๆ เจ้าคงเป็นคนแรกที่ประสบเคราะห์”
ชายชุดเขียวตะลึงงัน อดหัวเราะร่วนไม่ได้ “ในสายตาสหายยุทธ์ ข้าย่ำแย่ขนาดนี้เชียวรึ”
สวบ!
หลินสวินย่างเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็มาถึงเบื้องหน้าชายชุดเขียว กดฝ่ามือหนึ่งลงไปอย่างง่ายดาย
ฝ่ายหลังนัยน์ตาวาบประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง สิ่งที่เขารอก็คือโอกาสนี้!
เพียงแต่ยามเมื่อเข้าต้องเผชิญหน้ากับฝ่ามือนี้ของหลินสวินจริงๆ จู่ๆ กลับพบว่าตนเหมือนตกเข้าไปอยู่ในกรงขัง สี่ทิศแปดทางถูกปกคลุมไปด้วยผนึก จะหนีก็ไม่ได้ จะหลบก็ไม่พ้น
ได้แต่เข้าปะทะจังๆ!
แทบจะเป็นไปตามสัญชาติญาณการต่อสู้อย่างหนึ่ง ทำให้ชายชุดเขียวรวบรวมพลังแห่งตนทั้งหมดปลดปล่อยออกมาสุดขีด
เขาไม่เชื่อว่าหากปะทะกันซึ่งหน้า ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าผู้หนึ่งจะเป็นคู่ต่อสู้ของตนได้
ตูม!
เลือดลมทั่วร่างเขาสะท้านสะเทือน ดุจภูเขาไฟนับแสนลูกระเบิดปะทุ กฎเกณฑ์บ้าคลั่งไร้ทัดเทียมพุ่งทะลัก ทั้งหมดล้วนถูกเขารวบเอาไว้ในประทับฝ่ามือสายหนึ่ง
นี่เป็นการโจมตีสุดกำลังครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เขาตื่นรู้ ประทับฝ่ามือเดียวนี้ สิ่งที่สั่งสมอยู่คือมรรควิถีตลอดชีวิตของเขา!
ห้วงอากาศปั่นป่วน ประกายศักดิ์สิทธิ์แผ่พุ่ง เมื่อเสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้น ประทับฝ่ามือของชายชุดเขียวก็ระเบิดออก เห็นได้ชัดว่ารับการโจมตีนั้นไม่ไหว
ส่วนทั้งตัวเขาก็ถูกฟาดกระเด็นออกไปตรงๆ ร่วงกระแทกลงพื้นดินที่ห่างออกไปหลายร้อยจั้งอย่างแรง ฝุ่นควันคลุ้งตลบเต็มฟ้า
——————————