Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2129 แดนผนึกมรรค

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2129 แดนผนึกมรรค

ตอนที่ 2129 แดนผนึกมรรค

โลกลึกลับ

จ้งชิวกำลังอ่านข่าวบางส่วนที่เพิ่งส่งมา

‘งานชุมนุมบัวเลิศที่เมืองหมื่นดาราปิดฉาก หกเรือนมรรคใหญ่และสิบเผ่านักรบใหญ่ล้วนตัดสินใจประจำการที่โลกมืด เฝ้ารอแดนปรินิพพานมาเยือน’

‘จักรพรรดิธรรมฟ่านขู่เจ้าสำนักแดนกษิติครรภ์และอวี้คุนจื่อเจ้าสำนักสำนักโบราณจรัสเทพ ประกาศตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับหอวิหคทองแดงในวันเดียวกัน!’

เมื่อเห็นข่าวนี้ มุมปากจ้งชิวเผยแววถากถางโดยไม่อำพรางแม้แต่น้อย สถานการณ์เช่นนี้เดิมทีก็อยู่ในการคาดเดาของเขา

‘ต่างคนต่างความคิด มีคนยอมเป็นสุนัข ใครจะทำอะไรได้’

จ้งชิวอ่านต่อไป

เนิ่นนานหลังจากอ่านข่าวที่ได้รับทีละเรื่องจนจบ จ้งชิวจมสู่ห้วงคิด

งานชุมนุมบัวเลิศที่เมืองหมื่นดาราปิดฉากแล้ว สิ่งที่หารือในงานชุมนุมนี้ล้วนเป็นข่าวภายในที่เกี่ยวข้องกับ ‘แดนปรินิพพาน’ คนนอกไม่อาจรับรู้

แต่สำหรับจ้งชิว คิดจะสืบข่าวบางส่วนนั้นกลับเป็นเรื่องง่าย

น่าเสียดายที่ข่าวภายในพวกนั้นไม่ต่างจากที่จ้งชิวรู้เท่าไรนัก

‘ก็ถูก ข่าวของแดนปรินิพพาน เดิมทีก็เป็นสิ่งที่อาจารย์จ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักเพื่ออนุมานออกมา บนโลกนี้ยังมีใครรู้มากกว่าข้าอีกหรือ’

ยามจ้งชิวกำลังใคร่ครวญ ข่าวใหม่ล่าสุดหนึ่งก็ส่งกลับมา

“นายท่าน ด้านแดนอำพรางส่งข่าวมาแล้ว” เสียงนอบน้อมหนึ่งดังขึ้น

ไม่นานม้วนหยกหนึ่งก็ตกสู่มือจ้งชิว

จ้งชิวดูคร่าวๆ แล้วอึ้งไป ส่วนลึกของนัยน์ตาเผยแววประหลาดใจอย่างยากสังเกตเห็น จากนั้นก็กลับสู่ความราบเรียบ

ในม้วนหยกบันทึกผลงานบางส่วนหลังจากหลินสวินเข้าไปในนรกอำพราง

จ้งชิวทำการวิเคราะห์ในใจ

‘ผลงานในห้าชั้นแรกดาษดื่นธรรมดา ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง’

‘ผลงานยามเข้าไปในชั้นที่นับว่าน่าชื่นชม’

‘ชั้นที่เจ็ด… จักรพรรดิผีค้างคาวเงินนั่นถึงกับมีพลังระดับจักรพรรดิขั้นสามแล้วหรือ’

จุดนี้คือสิ่งที่ทำให้จ้งชิวรู้สึกประหลาดใจ นานมาแล้วยามเขาเข้าไปในชั้นที่เจ็ดก็เคยเจอค้างคาวเงินตัวนั้น ยามนั้นฝ่ายหลังเพิ่งเป็นแค่ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งเท่านั้น

แต่ตอนนี้หลินสวินกลับสังหารจักรพรรดิผีค้างคาวเงินที่เปลี่ยนเป็นระดับจักรพรรดิขั้นสามได้ นี่ทำให้จ้งชิวอดรู้สึกผิดคาดไม่ได้

ในที่สุดจ้งชิวก็พยักหน้าอย่างยากสังเกตเห็น ‘ก้าวข้ามปราการสวรรค์ระดับจักรพรรดิ ล้มล้างความเข้าใจแห่งหมื่นกาล… ถือว่าไม่เลว’

ใช่ว่าข้อเรียกร้องของเขาสูงเกินไป แต่จากมุมมองของเขา ศิษย์น้องเล็กคนนี้ของตนเป็น ‘หนึ่งรอดพ้น’ คนนั้นของคีรีดวงกมล ทั้งยึดกุมมรดกชั้นยอดนานัปการ และศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนหลายชิ้น แน่นอนว่าควรมีพลังต่อสู้ที่แตกต่างจากผู้อื่น!

ในระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดินี้ หากเขายังเทียบกับเหล่าศิษย์พี่ของคีรีดวงกมลไม่ได้ นั่นคงพาให้คนผิดหวัง!

นี่ก็คือมุมมองของจ้งชิว

หลินสวินสามารถประสบความสำเร็จเหนือกว่าผลงานที่เหล่าศิษย์พี่อย่างพวกเขาสร้างไว้ในปีนั้นที่ระดับปราณนี้ได้ เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนั้น!

“ตอนนี้ใครดูแลชั้นแปดของนรกอำพราง”

จ้งชิวพลันเอ่ยถาม

เสียงนอบน้อมหนึ่งดังขึ้น “เรียนนายท่าน ช่วงแปดพันปีมานี้ ชั้นที่แปดดูแลโดยจักรพรรดิสงครามหลิงอู่มาตลอด”

“หลิงอู่หรือ”

จ้งชิวคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าว “แจ้งข่าวจากข้าลงไป ห้ามหลิงอู่ขวางการเคลื่อนไหวของเจ้าหนุ่มนี่ และห้ามช่วยเขาแม้เพียงเสี้ยว ไปเถอะ”

“ขอรับ”

เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น จ้งชิวหยัดร่างขึ้น ก้าวไปยังที่ห่างไกล

ช่วงนี้ถ้าเขามีเวลาว่างก็จะไปคุยกับซี

จากมุมมองเขา ซีเป็นประเภทเดียวกับเขา เย่อหยิ่ง แข็งแกร่ง มั่นใจ ทะนงตน!

แต่เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง จ้งชิวก็หยุดเท้า ขมวดคิ้วไม่หยุด

เขาพลันตระหนักได้ว่า ช่วงนี้ตนเหมือนจะเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกเกินไปแล้ว…

นี่ไม่ใช่วิสัยของตนอย่างสิ้นเชิง!

หลังเงียบไปครู่ใหญ่จ้งชิวถึงตัดสินใจได้ ‘ช่างเถอะ ถือว่าไปคุยเรื่องศิษย์น้องเล็กกับนาง อืม เชื่อว่าในใจนางก็ต้องร้อนรน อยากฟังเรื่องของศิษย์น้องเล็กแน่…’

หากหลินสวินรู้ว่า ‘ศิษย์น้องเล็ก’ อย่างตน กลับกลายเป็นข้ออ้างให้ศิษย์พี่รองไปหาซีเพื่อพูดคุย ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร…

บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่า ยิ่งเป็นคนหยิ่งทะนงยิ่งอ่อนไหวกระมัง

ทางเข้านรกอำพราง

เมื่อเห็นผีสุราและต้าหวงมาพร้อมกัน ชิงอิงก็ไม่แปลกใจสักนิด

หากใครได้ยินว่ามีคนบุกไปถึงชั้นเจ็ดของนรกอำพรางได้ในเวลาสั้นๆ แค่ห้าวัน คนผู้นั้นจะนั่งติดได้อย่างไร

รวมถึงตัวชิงอิงเอง หลังจากรู้ผลงานชวนตะลึงของหลินสวินในนรกอำพราง นัยน์ตากระจ่างที่งดงามคู่นั้นก็เบิกกว้างอย่างอดไม่ได้ แววตาไหววูบ

นี่ทำให้คนยากจะเชื่อได้จริงๆ

“ชิงอิง เจ้าหนุ่มนั่นบุกไปถึงชั้นเจ็ดได้ในห้าวันจริงหรือ” ทันทีที่ต้าหวงมาถึงก็ถามอย่างร้อนรน

“ไม่ผิด” ชิงอิงพยักหน้ากล่าวเสริม “ทั้งเขายังฆ่าจักรพรรดิผีค้างคาวเงินของชั้นเจ็ด เข้าไปในชั้นแปดได้อย่างราบรื่นแล้ว”

ต้าหวงตกตะลึงตาค้างอีกครั้ง บุกเข้าไปในชั้นแปดแล้วหรือ

“ชั้นแปด…”

แววตาของผีสุราก็เหม่อลอยไปพักหนึ่ง “นั่นเป็นถึง ‘สถานที่ผนึกมรรค’ ข้าจำได้ว่าหลายปีมานี้ ด้วยจักรพรรดิสงครามหลิงอู่ดูแลอยู่ในนั้น จึงกำราบพลังชั่วร้ายที่แข็งแกร่งบางส่วนไม่ให้ควบรวมเป็นวิญญาณร้ายได้…”

“เจ้าหมอนี่ต้องหยุดอยู่ที่ชั้นแปดแน่!”

ทันใดนั้นต้าหวงพลันกล่าวอย่างเหี้ยมเกรียม “แดนผีสิงนั่นแม้จะไม่มีวิญญาณร้าย แต่กลับมี ‘แดนผนึกมรรค’ กระจายอยู่ ต่อให้ระดับจักรพรรดิเข้าไปก็จะถูกบีบกดจนจิตสิ้นวิญญาณสลาย!”

“ข้าจำได้ว่าปีนั้นตอนที่นายท่านบุกเข้าไปในชั้นแปด ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งปีจึงก้าวออกมาจากแดนผนึกมรรคนั้นได้ ระหว่างนั้นยังมีหลายครั้งที่เกือบยืนหยัดไม่อยู่…”

ผีสุรากล่าว “จากคำพูดของนายท่าน การเข้าไปในแดนผนึกมรรคนั้น สิ่งที่ทดสอบไม่ใช่ความสูงต่ำของระดับปราณ หากแต่เป็นเจตจำนงและสภาวะจิต!”

“นายท่านคือนายท่าน ใช่คนที่เจ้าหมอนี่เทียบได้หรือ”

ต้าหวงแสดงสีหน้าดูหมิ่น

ในตอนนี้เองชิงอิงพลันกล่าวอย่างราบเรียบ “แต่เมื่อครู่ยามคุณชายหลินบุกไปถึงชั้นเจ็ด ก็ทำลายสถิติในปีนั้นของเจ้าหอวิหคทองแดงแล้ว”

ต้าหวงพลันถลึงตาจ้อง คิดจะโต้เถียง แต่กลับไม่มีคำใดจะพูด

ช่วยไม่ได้ ความจริงย่อมชนะคำพูด!

“เช่นนั้นข้ากลับอยากดูนัก ว่าเขาจะหยุดอยู่ที่ชั้นแปดหรือไม่”

ต้าหวงกล่าวพึมพำ

“ข้าก็เฝ้ารอนัก”

ผีสุราเผยสีหน้าเฝ้ารอ

เวลาเคลื่อนคล้อย ผ่านไปเจ็ดวัน

นรกอำพรางชั้นที่เจ็ด หลินสวินตื่นจากการทำสมาธิ พริบตานี้อานุภาพกดดันที่น่าสะพรึงไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกมาจากตัวเขา ทำให้ฟ้าดินแถบนี้จมสู่ความเศร้าสลด ห้วงอากาศสั่นสะเทือนไร้ระเบียบ

อานุภาพกดดันเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับอานุภาพของจักรพรรดิแท้แล้ว ถึงขั้นทำให้ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งหวาดหวั่นได้!

ในเวลาสั้นๆ แค่เจ็ดวัน หลินสวินหลอมรวมใจความการต่อสู้ที่บุกตะลุยตั้งแต่ชั้นหกถึงชั้นเจ็ดทั้งหมดให้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแล้ว ทำให้พลังต่อสู้ของตนเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง!

แต่ในด้านพลังปราณ หลินสวินยังอยู่ในระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์เหมือนเดิม

สาเหตุอยู่ที่การหยั่งรู้ที่มีต่อมหามรรค รวมถึงความเข้าใจในวิถียุทธ์ของเขาก้าวขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ปรากฏสัญญาณว่าจะสมบูรณ์ถึงขีดสุดอยู่รางๆ!

แม้ว่าพลังปราณยังไม่ทะลวงระดับ แต่การควบคุมกฎเกณฑ์มหามรรค การยกระดับของความเชี่ยวชาญในวิชายุทธ์ สามารถยกระดับพลังต่อสู้ของตนได้เช่นกัน

‘หากเจอคู่ต่อสู้อย่างจักรพรรดิผีค้างคาวเงินอีก ในสถานการณ์ที่ไม่ใช้อภินิหารหยุดเวลา บางทีอาจแพ้มากกว่าชนะเหมือนเดิม แต่ก็พอจะต้านได้อยู่บ้าง คิดจะปลีกตัวหนีเอาชีวิตรอดน่าจะไม่ยากแล้ว…’

หลินสวินสงบใจสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของพลังแห่งตน

มรรคและวิชาของเขาล้วนหลอมอยู่ใน ‘เขตแดนแรกกำเนิด’ สิ่งที่เสาะหาคือมรรคาแห่งการ ‘บรรจุหมื่นมรรคทั่วหล้า วิวัฒน์หมื่นวิชาในใต้หล้า’

นี่ก็แน่นอนว่าหากเขาคิดจะบรรลุมกุฎจักรพรรดิ อันตรายและเคราะห์สังหารที่ต้องเผชิญก็ใช่ว่าคนในระดับเดียวกันจะเทียบได้

เหมือนที่หลินสวินทำอยู่ตอนนี้ ก็คือการหลอมมรรคทั้งหมดที่ตนครอบครอง หลอมวิชามรรคทั้งหมดให้เป็นของตัวเอง

เช่นนี้จึงจะทำให้มรรควิถีของเขาบรรลุถึงขั้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในระดับนี้ได้

นั่นต่างหากที่เรียกว่า ‘บริบูรณ์’ อย่างแท้จริง

‘ได้เวลาไปเยือนชั้นแปดแล้ว’

หลินสวินลุกขึ้น ทะยานตัวจากไป

นรกอำพรางชั้นแปด

โครมครืน!

พอเข้ามาในฟ้าดินแถบนี้ แรงกดดันพลันยกระดับอย่างรวดเร็ว แรงต้านที่ดุดันปะทะร่างของหลินสวิน ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทระลอกแล้วระลอกเล่า

ก่อนหน้านี้ถ้าบอกว่าในชั้นเจ็ดเป็นแค่แรงกดดันของภูเขาเทพหนึ่งลูก เช่นนั้นตอนนี้ก็เป็นภูเขาเทพสิบลูกร้อยลูกบีบกดเข้ามาพร้อมกัน!

‘เกรงว่าระดับจักรพรรดิทั่วไปมาที่นี่ก็คงเดินเหินลำบาก…’

หลินสวินพลิกฝ่ามือ กระบี่มรรคเล่มหนึ่งฟันอากาศอย่างสบายๆ ตัดผ่านแรงกดดันที่น่าหวาดกลัวตรงหน้าดังสนั่น

‘ยังดีที่ใช้แรงต้านแรงได้โดยง่าย’

หลินสวินเดินไปข้างหน้าพลางใช้กระบี่ผ่าแหวกแรงกดดันที่มองไม่เห็นนั้น

แรงกดดันที่น่าหวาดกลัวนี้เป็นสิ่งที่วิวัฒน์มาจากระเบียบของฟ้าดินแห่งนี้ สามารถบีบกดเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์ที่แท้จริง

หลินสวินในตอนนี้เหมือนเดินไปข้างหน้ากลางคลื่่นคลั่งพิโรธ

ตูม โครม!

มองจากไกลๆ ทุกจุดที่หลินสวินเคลื่อนผ่านจะเห็นปราณกระบี่หลากสายกวาดขวางฟาดฟัน กรีดทึ้งห้วงอากาศกลางฟ้าดินออกเป็นรอยแยกสายแล้วสายเล่า ถล่มแรงกดดันชวนสะพรึงมากมายให้สลายไป

เดินไปครู่ใหญ่ แรงกดดันแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ…

หลินสวินรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อแรงกดดันแข็งแกร่งขึ้น การผลาญพลังกายของตนก็เริ่มเร็วขึ้น ไม่อาจไม่ลงมือเต็มกำลังเพื่อสลายแรงกดดันที่ดำรงอยู่ทุกแห่งหนนั้น

สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินวางใจคือ ตลอดทางมาจนถึงตอนนี้ยังไม่เจอวิญญาณร้ายสักตน ทำให้เขาจดจ่อกับการสลายพลังกดดันที่ได้รับระหว่างทางก็พอแล้ว

ไม่เช่นนั้นทันทีที่มีวิญญาณร้ายโจมตีเข้ามา เขาไม่เพียงต้องต้านพลังกดดันนั้น ยังต้องไปต่อสู้ด้วย แน่นอนว่าอันตรายหาใดเปรียบ

ต่อมาภายหลัง ยามหลินสวินใช้มรรควิถีแห่งตนต้านทานพลังกดดัน ก็เริ่มมีความคิดจะดึงดูดพลังกดดันบางส่วนมากระทบตนเอง

หรือกล่าวได้ว่าเขากำลังลองใช้พลังกดดันนั้นมาขัดเกลาตนเอง!

ทว่าแรงกดดันของชั้นแปดนี้น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ระดับจักรพรรดิก้าวย่างอย่างยากลำบาก หลินสวินก็ได้แต่ต้านทานและสลายแรงกดดันบางส่วนก่อน จากนั้นค่อยไปหล่อหลอมตนเอง

ไม่เช่นนั้นแรงกดดันพวกนี้จะกรูเข้ามาพร้อมกัน ร่างกายเขาอาจระเบิดกระจุย ต่อให้หลั่งโลหิตคืนชีวาได้ ก็จะถูกบดขยี้จนแตกระเบิดอีกครั้ง หากหมุนเวียนไปเช่นนี้แน่นอนว่ามีแต่ตายไร้ชีพ

โครมครืน!

เวลาต่อมา กลางฟ้าดินแถบนี้ปราณกระบี่คำรามก้อง ตวัดตัดกรีดทึ้งแรงกดดันน่าพรั่นพรึงมากมายนั้น พลังกดดันที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวถูกหลินสวินดึงเข้าไปหาตัวเอง หล่อหลอมและโจมตีอย่างต่อเนื่อง ส่งเสียงกัมปนาทเป็นระลอก

‘น่าสนใจ ยามแรงกดดันของพลังระเบียบฟ้าดินนี้กดทับเข้าใส่ ไม่ใช่แค่พลังกาย แม้แต่จิตวิญญาณก็ได้รับการขัดเกลาเช่นกัน…’

หลินสวินค่อยๆ สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงบางส่วนที่เกิดขึ้น หลังจากร่างกายถูกซัดจากแรงกดดันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้จะเล็กน้อยหาใดเปรียบ แต่สำหรับเขาในตอนนี้ กลับเป็นการพัฒนาที่หาได้ยากยิ่งอย่างหนึ่ง!

……………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท