Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2132 ด่านสุดท้าย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2132 ด่านสุดท้าย

ตอนที่ 2132 ด่านสุดท้าย

ลายยอดเอกอุแบ่งมืดแบ่งสว่าง ขุ่นใสโคจรร่วมกัน ขาวดำแยกชัด

พร้อมกับชายชุดนักพรตปรากฏตัว ยามลายยอดเอกอุหมุนเคลื่อน เผยท่วงทำนองบริบูรณ์เป็นหนึ่งเดียว คล้ายไม่เสื่อมไม่ดับ

หลินสวินนัยน์ตาหดรัด

คู่ต่อสู้คนนี้เห็นชัดว่าแข็งแกร่งกว่าพวกก่อนหน้านี้ยิ่งนัก!

แต่หลินสวินไม่ได้ถอยหนี เวลานี้ในสภาวะจิตของเขา ขอเพียงเผยแววล่าถอยแม้เพียงเสี้ยวก็จะเหมือนจุดบอดใหญ่ ถูกคู่ต่อสู้จับจ้อง

เพราะการต่อสู้ผิดธรรมดาเช่นนี้ สิ่งที่วัดกันเดิมก็เป็นความแข็งแกร่งของสภาวะจิตและพลังเจตจำนง!

“ฆ่า!”

หลินสวินเป็นฝ่ายออกโจมตี

ตูม ครืน!

ลายยอดเอกอุเหมือนหินโม่ขาวดำ บดขยี้หลินสวิน ทุบทำลายการโจมตีทั้งหมดของเขา ไม่อาจปัดป้องใดๆ สักนิด

พริบตาเดียวหลินสวินก็รู้สึกเหมือนสภาวะจิตและจิตวิญญาณของตนถูกจองจำ ถูกหินโม่ขาวดำที่วิวัฒน์จากลายมรรคเอกอุนั่นขยี้แหลกลาญ

ความเจ็บปวดรุนแรงไร้สิ้นสุด ทำเอาผิวหนังทั่วตัวหลินสวินเริ่มเกร็งกระตุกขึ้นมา

ความเจ็บปวดเช่นนี้มาจากจิตวิญญาณ มาจากซอกลึกดวงจิต ไม่อาจควบคุมสักนิด หมื่นกระบี่เสียบหัวใจ มดนับหมื่นกัดกินวิญญาณก็ไม่พ้นเป็นเช่นนี้

มีอยู่วูบหนึ่งที่หลินสวินถึงขั้นรู้สึก ว่าทุกความคิดของตนประหนึ่งพบเจอการทรมานและทุบทำลายไม่สิ้นสุด!

ควรรู้ว่าในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ทุกการสังหารเอาชนะคู่ต่อสู้ พลังเจตจำนงที่ดูดซับทั้งหมดทำให้สภาวะจิตและเจตจำนงของหลินสวินแข็งแกร่งขึ้นช่วงใหญ่

จนกระทั่งตอนนี้เขาเอาชนะคู่ต่อสู้มาสามคนแล้ว สภาวะจิตและเจตจำนงของเขาก็ยกระดับเปลี่ยนแปลงสามครั้ง!

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ขณะที่กำลังจัดการกับคู่ต่อสู้คนที่สี่นี้ กลับยังเห็นชัดว่าคลอนแคลนสุดขั้ว

พร้อมกับเวลาที่เคลื่อนคล้อย สภาวะจิตและจิตวิญญาณของหลินสวินล้วนสะเทือนรุนแรง เจตจำนงดั่งขุนเขากลับส่อแววจะพังครืนรางๆ

‘จะยืนหยัดไม่ไหวแล้วหรือ’

ชายชุดเทาที่อยู่ไกลๆ ในใจเริ่มเครียด เขาเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของหลินสวินตลอด เมื่อเห็นภาพนี้สีหน้าก็อดเปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่ได้

ตูม!

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อ หรือก็คือทั้งตัวหลินสวินถูกลายยอดเอกอุฟ้าประทานกำราบไว้ ขัดขืนไม่หยุด ต่อต้านไม่ขาด

เพียงแต่ภายใต้ลายยอดเอกอุที่มั่นคงปานหินแกร่งนั่น การต่อต้านทั้งหมดเห็นชัดว่าไร้เรี่ยวแรงปานนั้น

พร้อมๆ กับเวลาที่ผ่านไป

การต่อต้านของหลินสวินเริ่มผ่อนลง หากไม่ใช่เพราะทุกระยะหนึ่งเขาจะทำการต่อต้านคราหนึ่ง ชายชุดเทายังสงสัยว่าสภาวะจิตและเจตจำนงของเขาถูกขยี้แหลกไปนานแล้วใช่หรือไม่!

‘หากเจ้าหมอนี่ตายไปเช่นนี้ ก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว…’ ในใจชายชุดเทาร้อนรน เขาอยากยื่นมือเข้าช่วยอย่างอดไม่ได้

แต่พอนึกถึงคำสั่งนั้นของนายท่าน ก็ไม่กล้าลงมือโดยพลการ นี่ทำให้เขาปั่นป่วนเป็นที่สุด สีหน้าล้วนวูบไหวไปมา

ขณะที่เขาใคร่ครวญ ในแดนผนึกมรรคจู่ๆ ก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น…

ก็เห็นหลินสวินที่ถูกกำราบแน่นใต้ลายยอดเอกอุ ถูกบดขยี้โจมตีไม่หยุดมาตลอด บนร่างพลันปลดปล่อยอานุภาพน่าสะพรึงที่ดุกร้าวดุจดาบสวรรค์ออกมา

ตูม!

จากนั้นลายยอดเอกอุที่กดทับบนตัวเขาก็ถูกหมัดเดียวซัดกระจุย กลายเป็นละอองแสงเต็มฟ้าปลิวกระเซ็น

“ฆ่า!”

เมื่อมองดูหลินสวินอีกครั้ง กลิ่นอายดุจสายฟ้าฟาดกลางอากาศ จู่ๆ ก็มาหยุดตรงหน้าชายชุดนักพรตคนนั้น เงื้อหมัดกระหน่ำโจมตี

มองจากไกลๆ เหมือนดาบสวรรค์เล่มหนึ่งฟันผ่าลงมา!

พริบตาเดียวร่างชายชุดนักพรตก็ถูกระเบิดกระจุย

หลินสวินยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หอบหายใจหนัก สีหน้าซีดขาว แต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยจิตต่อสู้ที่ล้นหลามไร้ทัดเทียม

นั่นคือจิตต่อสู้ที่ไม่ยอมอ่อนข้ออย่างหนึ่ง!

เวลานี้ร่างกายเขาชาหนึบ สภาวะจิตและเจตจำนงเหมือนเครื่องลายครามที่ร้าวจวนแตกหัก แต่ในใจกลับเกิดการรู้แจ้งใหม่เอี่ยมอย่างหนึ่ง

ที่แท้นัยเร้นลับแท้จริงของการต่อสู้ คือการใช้สภาวะจิตและพลังเจตจำนง ในใจรักษาจิตแห่งการต่อสู้ ส่วนเจตจำนงมีอานุภาพโจมตีไร้ศัตรู!

นิ่งเงียบครู่หนึ่ง หลินสวินนั่งขัดสมาธิ กลืนกินพลังเจตจำนงเต็มฟ้านั่นไปพลาง ฟื้นฟูพลางกายที่ผลาญไปมากของตนไปพลาง

เขาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าไกลออกไปชายชุดเทาสายตาอึ้งงัน สีหน้ามีแววตกตะลึงอย่างคุมไม่อยู่แผ่ลามเงียบๆ

ไม่กี่วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในไม่กี่วันนี้หลินสวินเหมือนดั่งถั่วเหล็กที่นึ่งไม่เละ ต้มไม่สุก ทุบไม่แหลก คั่วไม่กะเทาะ การต่อสู้แต่ละครั้งล้วนแทบจะทุ่มศักยภาพทั้งหมดที่มี สภาวะจิตและเจตจำนงถูกทำลายจวนจะพังทลาย

แต่ตอนสุดท้ายของการต่อสู้ทุกครั้ง เขามักจะพลิกสถานการณ์ เอาชนะคู่ต่อสู้ได้เสมอ

ท่าทางไร้ทัดเทียมที่แน่วแน่ กร้าวแกร่งนั่น ประดุจภูเขาเทพที่ไม่เสื่อมไม่ดับตั้งแต่อดีตกาลจวบจนตอนนี้!

และหลังจากปิดฉากการต่อสู้แต่ละครั้ง สภาวะจิตและเจตจำนงของเขาก็จะเปลี่ยนแปลงและยกระดับอย่างสุดขั้ว

กำเนิดใหม่ในความพินาศ เปลี่ยนแปลงท่ามกลางความเป็นความตาย!

ครึ่งเดือนต่อมา

หลินสวินเอาชนะคู่ต่อสู้ตนที่สิบ

ร่างกายเหมือนโคลนปวกเปียก สติพร่าเลือนสับสน

หนึ่งเดือนต่อมา

หลินสวินเอาชนะคู่ต่อสู้คนที่สิบแปด

จนบัดนี้ ในแดนผนึกมรรคนี่มีพลังเจตจำนงถูกจำกัดไปแล้วครึ่งหนึ่ง!

ชายชุดเทามองภาพนี้อึ้งๆ สภาวะจิตกลับเริ่มมึนชาบ้างแล้ว หนึ่งเดือนมานี้เขาแทบจะเป็นประจักษ์พยานเห็นการต่อสู้ทุกครั้งของหลินสวิน

แต่ละครั้งล้วนเหมือนการต่อสู้ชิงเป็นชิงตาย อกสั่นขวัญแขวน!

แต่ละครั้งขณะที่ชายชุดเทาคิดว่าหลินสวินใกล้จะร่วงหล่น ฝีมือของหลินสวินก็ลบล้างการคาดเดาล่วงหน้าของเขา กร้าวแกร่งพลิกสถานการณ์ที่มีแต่แพ้ได้

ตกตะลึง กังขา งุนงง ยากจะเชื่อ… หนึ่งเดือนมานี้ สภาวะจิตของชายชุดเทาแบกรับการเปลี่ยนแปลงและสั่นไหวอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน

กระทั่งตอนนี้ชักเริ่มมึนชาขึ้นมาจริงๆ แล้ว…

ชายชุดเทาสูดหายใจลึก หยิบม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมาบันทึกสถานการณ์ที่นี่โดยละเอียดแล้วส่งออกไป

ทุกๆ สิบวันเขาจะทำเช่นนี้หนึ่งครั้ง

เพราะด้านนอกนรกอำพราง ก็มีคนกำลังเกาะติดให้ความสนใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในนี้เช่นกัน

“ในแดนผนึกมรรค มีพลังเจตจำนงที่ยอดบุคคลดึกดำบรรพ์ทิ้งไว้กระจายตัวอยู่สามสิบหกสาย เวลาครึ่งเดือน คุณชายหลินเอาชนะพลังเจตจำนงไปแล้วสิบสาย”

นอกนรกอำพราง ชิงอิงกล่าว “ตอนนี้ตั้งแต่เขาเข้าสู่แดนผนึกมรรคก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ก็ไม่รู้ว่า… สถานการณ์ของเขาตอนนี้จะเป็นอย่างไร”

“ไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนัง!” ต้าหวงพูดไม่คิด

สถานที่เฮงซวยนั่นใช่ที่ที่ใครอยากบุกเข้าไปตามสะดวกที่ไหน

ต้าหวงยังจำได้ ก่อนนี้นานมาแล้วตนก็เคยบุกเข้าไปในนั้น กลับถูกทรมานปางตาย ร้องหาบุพการี เรียกฟ้าฟ้าไม่ตอบ เรียกดินดินไม่ขาน

ต่อมาขณะที่มันคิดว่าตัวเองคงจบสิ้นแน่แล้ว ก็ถูกเจ้าหอวิหคทองแดงหิ้วตัวออกมา

และตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าใครเอ่ยถึง ‘นรกอำพราง’ สี่คำนี้ ต้าหวงก็จะเกร็งหางโดยสัญชาตญาณ

และเมื่อใดก็ตามที่เอ่ยถึง ‘แดนผนึกมรรค’ ต้าหวงจะหวนระลึกถึงโศกนาฏกรรมที่ทำใจย้อนคิดถึงไม่ได้นั้นขึ้นมา…

“ข่าวมาแล้ว!”

จู่ๆ ชายผีสุราที่อยู่ข้างกันก็ยื่นมือคว้าม้วนหยกอันหนึ่งไว้ เป็นข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ในแดนผนึกมรรคของหลินสวินที่ชายชุดเทาส่งมา

“รีบดูเร็ว”

ชิงอิงและต้าหวงต่างให้ความสนใจ

เมื่ออ่านเนื้อหาในม้วนหยกจบ ดวงหน้าขาวเนียนที่ถูกบดบังใต้ร่มสีเลือดของชิงอิงก็เผยแววเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ไม่ตายก็เป็นข่าวดีที่สุดแล้ว!

ส่วนผลงานการต่อสู้กลับเป็นเรื่องรองลงมา

แต่ต้าหวงกลับสนใจสุดจะเปรียบ หลังจากเห็นว่าหลินสวินโจมตีสังหารพลังเจตจำนงไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตาสุนัขก็เกือบหลุดออกมา

สำแดงแก่นแท้ของอาการ ‘ปากอ้าตาค้าง’ ได้อย่างชัดแจ้งอีกครั้ง

“หนึ่งเดือนก็เอาชนะคู่ต่อสู้ครึ่งหนึ่งได้ แต่ปีนั้นหลังจากนายท่านเข้าสู่แดนผนึกมรรค กลับกินเวลาเกือบหนึ่งปีกว่าจะออกมาจากตรงนั้นได้”

ชายผีสุราพึมพำ “นี่จะไม่ได้หมายความว่า หากเจ้าหมอนี่ยืนหยัดจนถึงตอนสุดท้ายได้จริงๆ เป็นไปได้ยิ่งว่าอาจทำลายสถิติของนายท่านอย่างนั้นหรือ”

ชิงอิงที่อยู่ข้างๆ จิตใจก็ไหวสั่นเช่นกัน นางเหมือนกับหลินสวิน เติบโตมาโดยการเลี้ยงดูของท่านลู่ แม้ทั้งคู่จะอายุต่างกันโข แต่สำหรับชิงอิง หลินสวินก็เหมือนน้องชายคนหนึ่ง

นี่คือความรู้สึกที่รักทั้งตัวและทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเขา เป็นเพราะนางเคารพเลื่อมใสท่านลู่มากเหลือเกิน มองเขาเป็นบิดา ถึงได้มีความรู้สึกที่ต่างออกไปต่อหลินสวิน

ตอนนี้หลินสวินเผยความสามารถอย่างเฉียบคมโดดเด่นเช่นนี้ ทำให้นางเองก็อดรู้สึกภูมิใจไม่ได้

“รอดูเถอะ นี่เพิ่งดำเนินไปแค่ครึ่ง!”

ต้าหวงอัดอั้นอยู่เนิ่นนานกว่าจะเค้นประโยคนี้ออกมาได้ สุนัขหยิ่งทระนงอย่างมัน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี

เพราะปีนั้นตอนที่มันเข้าสู่แดนผนึกมรรค ไม่เพียงผลงานการต่อสู้ห่างชั้นเทียบหลินสวินไม่ติด ยังถูกทุบตีจนเกือบสิ้นชีพสุนัขอีกด้วย…

สองเดือนต่อมา

หลินสวินเอาชนะคู่ต่อสู้ตนที่ยี่สิบแปด

และก็เริ่มตั้งแต่วันนี้ เขาที่ผ่านการเคี่ยวกรำมานาน ดูประหนึ่งกระบี่เทพที่ผ่านการหลอมตีมาพันหมื่นครั้งเล่มหนึ่ง ระเบิดศักยภาพอย่างไม่เคยมีมาก่อนออกมา!

ควรรู้ว่าก่อนหน้านี้ยามเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งยี่สิบแปดตน หลินสวินได้กลืนกินและดูดซับพลังเจตจำนงยี่สิบแปดสาย สภาวะจิตและเจตจำนงก็พลอยเกิดการเปลี่ยนแปลงยี่สิบแปดครั้ง!

เขาในตอนนี้สภาวะจิตและเจตจำนงจมอยู่ในสัญชาตญาณต่อสู้อย่างถึงที่สุดนานแล้ว ไม่มีความคิดฟุ้งซ่านและความคิดใดอีก

นอกจากต่อสู้ก็มีแต่ฟื้นฟูพลังกาย เหมือนหุ่นที่วิญญาณออกจากร่าง ลืมเลือนทุกสิ่งรอบกายไปแล้ว

เขาถึงขั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าอานุภาพที่สำแดงออกจากมือตนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจอย่างไรอยู่!

และก็เพราะการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจเช่นนี้ ทำให้เขาเปลี่ยนสถานการณ์ต่อสู้ก่อนหน้านี้ บดขยี้คู่ต่อสู้ประดุจมีดคม อานุภาพประหนึ่งผ่าลำไผ่

สามเดือนต่อมา

หลินสวินเอาชนะคู่ต่อสู้ตนที่สามสิบห้า!

สภาวะจิตและเจตจำนงของเขาเวลานี้เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สามสิบห้า

ทั่วทั้งร่างเริ่มเผยอานุภาพ ‘ฟ้าถล่มดินทลาย ใจข้าไม่ดับ ทั่วหล้าวอดวาย จิตข้าคงนิรันดร์’ รางๆ

ชายชุดเทาที่อยู่ไกลๆ ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนก็ไม่อาจนั่งติดอีก ยืนตัวตรงเหมือนรูปปั้นดินเผาไม่มีผิด

คำพูดใดๆ ล้วนไม่อาจบรรยายสภาพจิตใจในเวลานี้ของเขาได้ จากวิตก คลางแคลง ไม่เข้าใจในช่วงต้น ค่อยๆ รู้สึกตกใจ แปลกใจ เหนือคาด…

จนเริ่มชาหนึบเพราะความตกตะลึง เริ่มสติหลุดเพราะยากจะเชื่อ

จนบัดนี้ สภาวะจิตของชายชุดเทาถูกทุกการเคลื่อนไหวของหลินสวินดึงดูดไปหมดนานแล้ว!

เขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่ามกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งจะยืนหยัดในแดนผนึกมรรคได้นานขนาดนี้

ยิ่งไม่เคยคิดมาก่อน ว่าชายหนุ่มคนหนึ่งเช่นนี้จะเหลือแค่ด่านสุดท้าย ก็บุกทะลวงแดนผนึกมรรคไปได้…

เวลานี้สภาพอารมณ์และความคิดทั้งหมดในใจเขา ล้วนกลายเป็นความตึงเครียดและตั้งตาคอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

คู่ต่อสู้ตนสุดท้ายนี้ เป็นพลังเจตจำนงน่าสะพรึงที่เหมือนกระถางใหญ่ ขณะเดียวกันก็เป็นพลังเจตจำนงแข็งแกร่งที่สุดในแดนผนึกมรรคแห่งนี้!

หลินสวินเขา…

จะข้ามด่านนี้ได้หรือไม่

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท