Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2167 คนชั้นต่ำ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2167 คนชั้นต่ำ

โอวหยางชิงสั่นไปทั้งตัว

เขาสูดหายใจลึก ขมวดคิ้วจ้องมองอวิ๋นฉางคง “เจ้า… เป็นใครกันแน่”

อวิ๋นฉางคงเอ่ยราบเรียบ “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้ากับคนที่ชื่อว่าหลันอิงเสวี่ยนั่น ล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เรื่องนี้”

ชิ้ง!

โอวหยางชิงชักกระบี่ยาวที่เอวออกมา ธารดาราที่บาดตาสายหนึ่งพุ่งขึ้นไป สาดส่องป่าลึกผืนนี้

“จ่ายค่าตอบแทน? อย่างเจ้าก็คู่ควรด้วยหรือ” เขาฟันกระบี่หนึ่งออกมาโดยไม่ลังเล เจตกระบี่ราวกระแสน้ำ ผสานด้วยนัยเร้นลับของมหามรรค พร่างพรายละลานตา

แต่กระบี่นี้กลับถูกอวิ๋นฉางคงแย่งไปอย่างสบายๆ เหมือนหัตถ์สวรรค์จับไส้เดือนตัวหนึ่ง ดูผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

“มีความสามารถแค่นี้ก็กล้ามองสรรพชีวิตราวมดปลวกรึ” อวิ๋นฉางคงเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วออกแรงที่มือ

เปรี๊ยะ!

กระบี่วิญญาณที่เลื่องชื่อหาใดเปรียบเล่มนี้ปริแตกทุกกระเบียด

โอวหยางชิงใจหล่นวูบราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง เขาตระหนักได้อย่างสมบูรณ์ว่าครั้งนี้น่าจะเตะใส่แผ่นเหล็กแล้ว!

“ไปเดินเล่นกับข้าหน่อย”

อวิ๋นฉางคงพูดพลางยื่นมือไปกดบ่าของโอวหยางชิง ฝ่ายหลังไม่ทันได้หลีกหลบ เพียงรู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้าน พลังรอบตัวถูกพันธนาการอย่างสมบูรณ์

จากนั้นเขาก็ถูกหิ้วปีก เดินไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้

โอวหยางชิงทั้งตกใจทั้งโกรธแค้น กล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นนายน้อยตระกูลโอวหยาง บิดาของข้าก็คือโอวหยางเจิ้นหย่วน มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่จัดอยู่ในอันดับเก้าของแคว้นสันติ…”

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการข่มขู่อย่างหนึ่ง

แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่อวิ๋นฉางคงแล้ว

คนที่ตื่นรู้ขึ้นมาในร่างของอวิ๋นฉางคง แน่นอนว่าเป็นหลินสวิน

“ต่อให้พ่อของเจ้าเป็นราชันสวรรค์ ตอนนี้ก็ช่วยเจ้าไม่ได้” หลินสวินเอ่ยราบเรียบ ชีวิตนี้เขาก้าวเดินมาทั่วฟ้าดารา เจอภัยคุกคามมาไม่รู้เท่าไหร่

การข่มขู่เช่นนี้ของโอวหยางชิง ไม่อาจใช้คำว่าข่มขวัญมาบรรยายได้แม้แต่น้อย

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” โอวหยางชิงหน้าคล้ำเขียว ตื่นตระหนกกระสับกระส่าย

“วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก”

หลินสวินกล่าวง่ายๆ “เจ้าดูถูกปุถุชนคนธรรมดาไม่ใช่หรือ ข้าก็อยากลองดูว่าเจ้าที่ถูกทำลายพลังปราณทั้งตัวจะได้รับการปฏิบัติอย่างไร”

โอวหยางชิงเพียงรู้สึกว่าในสมองมีเสียงดังตูมราวกับถูกฟ้าผ่า หวาดกลัวอย่างสมบูรณ์แล้ว

ถูกทำลายพลังปราณหรือ

เขาไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้ว่า ถึงตอนนั้นจวนกระบี่หมอกตะวันรอนต้องทอดทิ้งตนอย่างไร้เยื่อใยแน่ ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เคยมีปมกับตนพวกนั้น เป็นไปได้สูงว่าจะฉวยโอกาสโจมตีและหยามหน้าตน

ต่อให้เอาตัวรอดได้ เมื่อกลับไปที่ตระกูลก็จะถูกตระกูลทอดทิ้ง

อย่าว่าแต่ตำแหน่งนายน้อยเลย แค่คิดจะรักษาศักดิ์ศรีไว้ล้วนยากนัก!

ด้วยเติบโตในตระกูลใหญ่ เขารู้ดีว่าการต่อสู้ภายในตระกูลเหี้ยมโหดเพียงใด ขอแค่ฉวยโอกาสได้ คนในตระกูลที่เคยเคารพนับถือตนในอดีตพวกนั้นจะเปลี่ยนเป็นเทพดุอสูรร้ายที่อำมหิตที่สุด หมายจะเหยียบตนให้จมดิน!

ถึงตอนนั้นความหยิ่งทะนง ความสำเร็จ เกียรติยศ ชื่อเสียง สถานะอะไร… ต้องถูกซัดไปตามลมฝนจนหมดแน่!

สำหรับคนไร้ประโยชน์ที่ตกสู่เหวลึกจากที่สูงอย่างเขา สิ่งที่รอเขาอยู่แน่นอนว่าเป็นการหยามหน้า ลบหลู่ เยาะหยัน และการโจมตีไร้สิ้นสุด

สภาพเช่นนั้นเกรงว่าคงสู้ไม่ได้แม้แต่ปุถุชนคนธรรมดา!

“ไม่ เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้ ทำแบบนี้ไม่ได้…” โอวหยางชิงตะโกนลั่น หวาดกลัวถึงที่สุด ราวกับคนใกล้จมน้ำตาย

ก่อนหน้านี้เขาเย่อหยิ่งอวดดี มองอวิ๋นฉางคงเป็นมดปลวก สามารถเข่นฆ่าได้ตามใจ คำพูดและการกระทำเต็มไปด้วยความอำมหิตและเย็นชาราวสูงส่งเหนือผู้อื่น

แต่ตอนนี้กลับลุกลี้ลุกลนเหมือนหมาจรจัด!

หลินสวินไม่สนใจ ออกแรงที่ฝ่ามือ ครู่ต่อมาปากของโอวหยางชิงก็ถูกผนึก ไม่อาจส่งเสียงได้อีก มีเพียงดวงตาเบิกโพลงเต็มไปด้วยความหมดหนทาง ตื่นตระหนกและวิงวอน

แต่หลินสวินกลับทำเหมือนมองไม่เห็น

จวนกระบี่หมอกตะวันรอน

รัตติกาลใกล้มาเยือน แสงอัสดงดุจอัคคีแผ่สีเทาหม่นชั้นหนึ่ง อาบไล้สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่แน่นขนัดของจวนกระบี่หมอกตะวันรอนไว้ภายใน

หน้าบานประตูสูงตระหง่านของจวนกระบี่หมอกตะวันรอนนั้น หลันอิงเสวี่ยที่สวมชุดคลุมน้ำเงิน ร่างทรงสง่าขมวดคิ้ว บนหน้าขาวกระจ่างที่ประณีตโดดเด่นเจือความหงุดหงิดเสี้ยวหนึ่ง

ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมศิษย์พี่โอวหยางยังไม่กลับมาอีก

“ศิษย์พี่หลัน”

“ศิษย์พี่หลันกำลังรอใครอยู่หรือ”

“ศิษย์พี่หลัน ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”

ศิษย์บางคนของจวนกระบี่หมอกตะวันรอนเดินผ่านมา เมื่อเห็นหลันอิงเสวี่ยในดวงตาต่างเจือแววตกตะลึง เลื่อมใส และเร่าร้อนอย่างอดไม่ได้

ศิษย์หญิงบางคนกลับลอบปวดใจ รู้สึกสับสนขึ้นมา หลันอิงเสวี่ยคือความภาคภูมิใจของจวนกระบี่หมอกตะวันรอน เป็นศิษย์เบื้องท้ายคนเดียวของเจ้าจวน พรสวรรค์โดดเด่น ต่อให้พวกนางคิดอิจฉาก็อิจฉาไม่ลง

ดวงหน้างามของหลันอิงเสวี่ยนิ่งสงบ ผงกศีรษะอย่างสงวนท่าที

ความจริงแล้วในใจนางเพลิดเพลินกับความรู้สึกที่ถูกจับจ้อง ได้รับความเลื่อมใสและถูกอิจฉาเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง นี่คือรสชาติที่นางไม่เคยสัมผัสเมื่อสามปีก่อน

เพื่อรักษาประกายที่หมื่นสายตาจับจ้องนี้ไว้ สามปีนี้นางทำทุกทางเพื่อฝึกปราณ ทุ่มเทเต็มกำลังอย่างสุดความสามารถ

ไม่มีใครรู้ว่าฐานะที่นางชิงมาได้ทุกวันนี้ เบื้องหลังต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปเท่าไหร่

ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งไม่อาจทนเห็นตนกลับไปใช้ชีวิตเหมือนสามปีก่อนได้อีก ชีวิตที่ยากจน ธรรมดา และสามัญเช่นนั้น…

เปรียบเทียบกับชีวิตที่นางได้ครอบครองตอนนี้แล้ว นั่นก็เหมือนปลักตมเหม็นเน่า!

ส่วนอวิ๋นฉางคง…

ก็เป็นคางคกเรื้อนในโคลนเหม็นเน่านั้น ยังคิดจะดึงตนกลับไปแต่งเป็นภรรยาอีก… ไม่อ่อนต่อโลกเกินไปหน่อยหรือ!

‘อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจเลย แต่คนธรรมดาอย่างเจ้า เดิมทีก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ข้าต้องการคืออะไร…’

หลันอิงเสวี่ยพึมพำในใจ

นางหยิบกล่องไม้ที่อวิ๋นฉางคงมอบให้นางออกมา ในกล่องไม้หยกประดับสีเขียวเข้มชิ้นหนึ่งวางอยู่นิ่งๆ รูปร่างคล้ายกุญแจดอกหนึ่ง ในความรางเลือนเหมือนมีแสงมรรคอัศจรรย์พวยพุ่งออกมาจากภายใน

นี่คือของตกทอดของตระกูลอวิ๋น เท่าที่นางรู้คือเมื่อนานมาแล้วตระกูลอวิ๋นก็เป็นตระกูลฝึกปราณหนึ่ง ทั้งมีรากฐานเก่าแก่เป็นอย่างยิ่ง

แต่ด้วยหยกประดับชิ้นนี้ทำให้ตระกูลอวิ๋นเจอมหันตภัยครั้งใหญ่ สุดท้ายก็หายไปในสายน้ำแห่งกาลเวลา

ปัจจุบันตระกูลอวิ๋นเหลือแค่อวิ๋นฉางคงอยู่กับมารดาของเขา ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ ผ่านวันเวลาไปอย่างยากแค้นขัดสน

‘คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหาของสิ่งนี้เจอจริงๆ ไม่เสียแรงที่ข้าข่มกลั้นความรังเกียจในใจมาตั้งแต่เด็กเพื่อเอาใจเจ้า…’

หลันอิงเสวี่ยเก็บกล่องไม้ลงไปอีกครั้ง

ตอนเด็กนางก็รังเกียจอวิ๋นฉางคง เกลียดชีวิตยากจนที่ซอมซ่อเช่นนั้น ที่น่าขันคืออวิ๋นฉางคงนั่นคิดว่าตนกับเขามีใจให้กันตั้งแต่เด็ก ใกล้ชิดสนิทสนมกันจริงๆ…

นึกถึงตรงนี้หลันอิงเสวี่ยสูดหายใจลึก บอกตัวเองว่าภายหน้า… บนโลกนี้ไม่มีอวิ๋นฉางคงอีกแล้ว และไม่มีชีวิตที่เหมือนโคลนเหม็นเน่านั้นอีก

เส้นทางของข้าจะมีแต่ก้าวไกลไปเรื่อยๆ!

หืม?

เมื่อหลันอิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็เห็นโอวหยางชิงเดินมาพร้อมกับคนที่เดิมไม่ควรปรากฏตัว!

“ศิษย์พี่โอวหยาง ทำไมท่าน…”

นางหลุดปาก พอกล่าวได้ครึ่งทางถึงตระหนักได้ว่าไม่ชอบมาพากลและปิดปากทันใด เพียงแต่ดวงหน้างามนั้นกลับปรากฏแววอึมครึม

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้

“เห็นว่าข้ายังรอดชีวิต ผิดคาดมากใช่ไหม”

หลินสวินเอ่ยปาก แววตาราบเรียบไม่ไหวติง

“พวกเจ้า…”

สายตาหลันอิงเสวี่ยมองไปยังโอวหยางชิง กลับเห็นฝ่ายหลังหน้าคล้ำเขียว แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและทำอะไรไม่ถูก ส่งสายตาให้นางไม่หยุด

นี่ทำให้นางมึนงงไปพักหนึ่ง

“เจ้าชอบศิษย์พี่โอวหยางคนนี้มากหรือ” หลินสวินถาม

หลันอิงเสวี่ยสีหน้าเยียบเย็น “เกี่ยวอะไรกับเจ้า อวิ๋นฉางคง เห็นแก่ความสัมพันธ์บางส่วนในอดีต ข้าขอเตือนเจ้าว่าทางที่ดีจงหายไปจากเบื้องหน้าข้าเสียตอนนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไร้ปรานี!”

ในใจนางเต็มไปด้วยความรังเกียจและไอสังหารที่ควบคุมไม่อยู่

หลินสวินทำหูทวนลม เพียงตบบ่าของโอวหยางชิงเบาๆ

ปึง!

โอวหยางชิงคุกเข่าลงกับพื้น ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากลิ่นอายบนตัวเขาราวกับกระแสน้ำที่ถดถอย อ่อนกำลังอย่างต่อเนื่อง กระทั่งหายไปโดยสิ้นเชิง

ความสิ้นหวังไร้ขอบเขตผุดขึ้นในใจของโอวหยางชิง ทำให้เขาแผดเสียงคำรามอย่างเสียการควบคุม “เจ้า… เจ้าถึงกับกล้าทำให้ข้าพิการจริงๆ… ข้าจบเห่แล้ว เจ้าก็ไม่รอด!”

เสียงดังจนก่อให้เกิดความแตกตื่นในบริเวณใกล้เคียง

เดิมที่นี่ก็เป็นหน้าประตูใหญ่ของจวนกระบี่หมอกตะวันรอน คนที่ผ่านไปมาล้วนเป็นผู้สืบทอดของจวนกระบี่หมอกตะวันรอน

เมื่อเห็นโอวหยางชิงที่ถูกมองเป็นอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ของจวนกระบี่หมอกตะวันรอน หนึ่งในห้าจ้าวกระบี่รุ่นเยาว์แห่งแคว้นสันติคุกเข่ากับพื้น ไม่อยากให้เกิดความโกลาหลยังยากนัก

ส่วนหลันอิงเสวี่ยก็อึ้งงันไปทั้งตัว เกือบจะสงสัยว่าตนตาลาย

โอวหยางชิง ผู้ฝึกกระบี่ระดับหยั่งสัจจะขั้นสัมบูรณ์ ถึงกับถูกคนที่เหมือนมดปลวกทำลายปราณ?

เป็นไปได้อย่างไร

“ตอนนี้เจ้ายังชอบเขาไหม”

ความโกลาหลโดยรอบไม่มีผลกระทบต่อหลินสวินสักนิด เขามองหลันอิงเสวี่ยพลางกล่าวเรียบๆ “ข้าเดาว่าเจ้าต้องเปลี่ยนไปรักคนอื่นแน่นอน คนไร้ประโยชน์ที่สู้ไม่ได้แม้แต่คนธรรมดา จะเข้าตาผู้กล้าหญิงแห่งยุคอย่างเจ้าได้อย่างไร”

ร่างอรชรของหลันอิงเสวี่ยสั่นสะท้าน ดวงหน้างามปรวนแปร นัยน์ตาแผ่แสงเยียบเย็นน่าพรั่นพรึงพลางกล่าว “เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าก่อหายนะครั้งใหญ่แล้ว!”

“หายนะ? อาศัย… คนชั้นต่ำอย่างเจ้าเนี่ยนะ” หลินสวินยิ้มน้อยๆ

คนชั้นต่ำ!

คำนี้ทำให้ในใจหลันอิงเสวี่ยรู้สึกเดือดดาลอย่างบอกไม่ถูก คนชั้นต่ำที่ใช้ชีวิตอยู่ในโคลนเหม็นเน่ามาตลอด ถึงกับกล้าด่าข้าเช่นนี้

นางไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีก สะบัดมือฟันกระบี่หนึ่งออกไป “ตาย!”

ปึง!

ปราณกระบี่ดุดันเจิดจรัสหาใดเปรียบ แต่ยังไม่ทันเข้าประชิดก็ระเบิดออกกลางอากาศ กลายเป็นละอองแสงโปรยปราย

ขณะเดียวกันหลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง พลังน่าหวาดกลัวไร้รูปแผ่กระจาย ราวกับภูเขาแสนลูกกำราบลงมา

ในสายตาของทุกคน หลันอิงเสวี่ยที่ประหนึ่งเทพธิดาในสายตาของคนนับไม่ถ้วนนั้นคุกเข่าลงกับพื้น ร่างอรชรกระตุกไปพักหนึ่ง

บรรยากาศเงียบสงัดไปชั่วขณะ

อันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ของจวนกระบี่หมอกตะวันรอน ศิษย์เบื้องท้ายของเจ้าจวนกระบี่หมอกตะวันรอน เวลานี้กลับคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กหนุ่มที่แต่งกายเรียบง่ายคนหนึ่งด้วยกัน!

ดวงหน้างามของหลันอิงเสวี่ยเต็มไปด้วยความยากจะเชื่อ รวมถึงอับอายอย่างบอกไม่ถูก ดิ้นรนสุดชีวิต แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจลุกขึ้นได้

นี่ทำให้นางตระหนักได้ในที่สุด ว่าเหตุใดเมื่อครู่โอวหยางชิงถึงส่งสายตาให้ตนไม่หยุด

อวิ๋นฉางคงตรงหน้านี้ ไม่ใช่เด็กหนุ่มชนบทที่ต้อยต่ำไม่เอาไหนคนนั้นที่นางรู้จักนานแล้ว

“บังอาจ ถึงกับกล้ากระทำการชั่วร้ายที่หน้าประตูจวนกระบี่หมอกตะวันรอนของข้ารึ!”

“เข้าไปพร้อมกัน จับตัวโจรชั่วนี้ไว้!”

หนุ่มสาวที่อยู่ใกล้เคียงพวกนั้นในที่สุดก็ได้สติกลับมาจากความตระหนก พุ่งเข้าไปสังหารหลินสวินจากต่างทิศทาง

หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

ห้วงอากาศใกล้เคียงม้วนซัด ปราณกระบี่แน่นขนัดแผ่กระจายออกมา

ตูม!

เสียงดังสนั่น ผู้สืบทอดของจวนกระบี่หมอกตะวันรอนที่พุ่งเข้ามาเหล่านั้นถูกโจมตีอย่างหนักทันที กระเด็นลอยออกไปล้มระเนระนาดเต็มพื้น ร้องทุรนทุรายไม่หยุด

ที่นี่สับสนอลหม่านไปทั้งแถบ

และเมื่อเห็นภาพนี้หลันอิงเสวี่ยก็หนาวเยือกไปทั้งใจ เจ้าหมอนี่… ไม่ใช่อวิ๋นฉางคงแน่นอน

คนไร้ประโยชน์อย่างอวิ๋นฉางคงก็ไม่มีทางแข็งแกร่งเช่นนี้แน่!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท