เงาร่างที่เหมือนเด็กหนุ่มดูโกรธจัด เมื่อกระทืบเท้า ฟ้าดาราใกล้เคียงพังทลายดังสนั่นทั้งแถบราวกับหลังคาที่ถูกเหยียบแตก
แต่ร่างของเขากลับซวนเซวูบหนึ่ง คล้ายทรงตัวไม่อยู่ บันดาลโทสะขึ้นมาทันที “สถานที่นี้ช่างบอบบางเหมือนหัวไชเท้า!”
เขาพูดพลางไปมองหลินสวิน เผยรอยยิ้มสดใสออกมา “เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดว่าพลังต่อสู้ของข้าเป็นอย่างไร”
“แข็งแกร่งมาก” หลินสวินนิ่งสงบมาก
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างภาคภูมิทันที “เช่นนั้นเจ้าจะพิจารณาไปกับข้าไหม ไม่ว่าจะอยู่มิติเวลาไหน คนที่สามารถสอนเจ้าให้เหยียบจุดสูงสุดแห่งอมตะ เปลี่ยนเป็นคนที่อยู่เหนือสุดได้ย่อมมีเพียงบางตาไม่กี่คน”
เขายกมือชี้ตนเอง “และข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโอหัง
หลินสวินอึ้งไปสักพัก แววตาดูแปลกไป
เด็กหนุ่มนี่เห็นได้ชัดว่าเป็นเฒ่าชราที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้กี่กาลเวลาคนหนึ่ง แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับมีจิตใจเหมือนเด็กหนุ่ม ดูอิสระเสรี ไม่มีความน่าเกรงขามและการวางตัวสักนิด
พาให้คนรู้สึก… ผิดธรรมดาอย่างยิ่ง
กลับเห็นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลพลันกล่าวขึ้น “สภาวะจิตของเจ้าย้อนกลับไปตอนเป็นเด็กหนุ่ม คิดว่าคงเจอมหาเคราะห์บนมรรคา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าสภาวะจิตทั้งตัวคงถอยหลังไม่หยุด หากเจ้ายินดี ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์ ถ่ายทอดวิชาฟื้นฟูสภาวะจิตให้เจ้า”
“เจ้าน่ะหรือ” เด็กหนุ่มอึ้งไป โกรธจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “เจ้าจะรับข้าเป็นศิษย์รึ ด้วยสายตาของเจ้า ยังไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร”
เขาเหมือนรู้สึกว่าไร้สาระหาใดเปรียบ
ไม่รอให้เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเอ่ยปาก เขาตบน้ำเต้าที่เอวพลางกล่าวด้วยเสียงกังวาน “เอวห้อยน้ำเต้ากลืนกิน ก้าวเดินบนมหามรรค ชีวิตก่อนหน้าข้ามด่านเคราะห์มาสิบแปดครั้ง ชีวิตในภายหลังก็แจ้งอมตะ!”
“ข้าเดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ ฉายามรรค ‘คงเจวี๋ย’”
“เป็นหนึ่งในประวัติการณ์ มีข้าเพียงคนเดียว!”
พูดจบเขาหยิบน้ำเต้าตรงเอวขึ้นมา คลายเชือกแดงที่พันรอบปากน้ำเต้าออก เงยหน้าดื่มด่ำ อิ่มเอมเปรมปรีดิ์ ราศีจับเปล่งประกาย
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าว “แต่สภาวะจิตของเจ้าไม่มั่นคงแล้วจริงๆ หากไม่ฟื้นฟูอีก ภายหน้าจะไร้เดียงสาไม่รู้ความเหมือนเด็กคนหนึ่ง ถึงตอนนั้นเจ้ายังรับได้ไหม”
เด็กหนุ่มอึ้งงัน เก็บน้ำเต้าสุราลงไปแล้วกล่าวอย่างเดือดดาล “พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย ข้าจะพาเด็กนี่ไป เจ้าจะยอมหรือไม่”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลยิ้มพลางส่ายหัว
เด็กหนุ่มสูดหายใจลึกแล้วกล่าว “ข้าจะคุยด้วยหมัด”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลมุ่นคิ้ว “เหตุใดต้องทำเช่นนี้”
“ยอมรับหรือไม่” เด็กหนุ่มตวาดลั่น
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าว “หากเจ้ายอมกราบข้าเป็นอาจารย์ อย่าว่าแต่รับหมัดนี้เลย ต่อให้ต่อยเจ้าหนึ่งหมัดก็ย่อมได้”
ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มพลันแดงก่ำ คล้ายเดือดดาลหาใดเปรียบ ซัดหมัดหนึ่งออกไป
หมัดเดียว!
ฟ้าดาราที่กว้างใหญ่นั้นราวกับสระน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ถูกหมัดนี้ทำให้ปั่นป่วน บดขยี้ ยุบทลาย เสียงกัมปนาทดุจเขาถล่มสมุทรคำราม ดังกระหึ่มไม่เสื่อมสูญ
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลสูดหายใจลึก ซัดหมัดหนึ่งออกไปเช่นกัน เมื่อหมัดนี้ซัดออกไป ในฟ้าดาราอบอวลด้วยกลิ่นอายกลมกลืนและสงบ ดุจลมวสันต์ผันแปรเป็นหยาดฝน ตกลงมายามจำเป็น
ปึง!
พลังหมัดของเด็กหนุ่มรุกเข้าไปเหมือนผ่าลำไผ่ ราวกับควบรวมจากมหามรรค ซัดไปที่ตัวของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล ฝ่ายหลังเงาร่างซวนเซ กลิ่่นอายรอบกายมีท่าทีว่าจะกระสานซ่านเซ็น
“อาจารย์!” นัยน์ตาหลินสวินหดรัด
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลโบกมือ “ไม่สาหัสนัก”
ไม่สาหัสที่ไหน เงาร่างเขามีท่าทีว่าจะพังทลาย กลิ่นอายปั่นป่วน มีโอกาสแตกสลายได้ตลอดเวลา เหมือนเครื่องกระเบื้องเคลือบที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวใบหนึ่ง
ห่างออกไปเด็กหนุ่มก็อึ้งงันพลางกล่าว “หมัดนี้ของเจ้าไร้สาระสิ้นดี!”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลยิ้มเล็กน้อย “ฟ้าดาราแถบนี้ไม่อาจถูกซัดทลายเช่นนี้”
เมื่อเสียงของเขาดังขึ้น ฟ้าดาราที่เดิมถูกทำให้ปั่นป่วน บดขยี้ ยุบทลาย พลันกลับสู่ความสงบและมั่นคงเหมือนที่ผ่านมา ในห้วงอากาศเปี่ยมบรรยากาศกลมกลืนสงบสุข
เด็กหนุ่มมีหรือจะไม่เข้าใจ หมัดนั้นของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลไม่ใช่เพื่อประลองฝีมือกับเขา หากแต่ต้องการคงสภาพฟ้าดาราแถบนี้ไม่ให้ถูกทำลาย
แต่เขายังคงโมโห “คนอย่างเจ้าช่างน่าขัน! ฟ้าดาราทรุดทลายเกี่ยวอะไรกับเจ้า ห่วงว่ามิติโลกนี้จะประสบเคราะห์พัวพันไปด้วยหรือ ให้ตาย เจ้านี่ใจกว้างมีเมตตาจริงเชียว”
น้ำเสียงเจือแววเหน็บแนมและเย้ยหยัน
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าว “ข้าต่อยเจ้าหมัดหนึ่งแล้ว ตอนนี้เจ้ายอมกราบข้าเป็นอาจารย์หรือยัง”
เด็กหนุ่มกรุ่นโกรธ ชี้เจ้าแห่งคีรีดวงกมล “เฒ่าชราสารเลวนี่ร้ายจริงๆ!”
พูดจบเขาพลันหันหลังจากไป
หลินสวินรู้สึกผิดคาดโดยพลัน ยอมแพ้ทั้งอย่างนี้หรือ
กลับเห็นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลอมยิ้มกล่าว “คงเจวี๋ย รอเจ้าหายดื้อดึงและรู้แจ้งถ่องแท้เมื่อไหร่ ข้าจะรอเจ้ากลับมา”
“กลับมาหรือ ข้าไม่คิดกลับมาแดนผีสิงที่ไม่ได้เรื่องนี้อีกแล้ว เจ้าก็เตรียมใจไว้เถอะ! วันหน้าเด็กนั่นก็ต้องจากไปแน่”
เด็กหนุ่มไม่แม้แต่หันกลับ ร่างสูงโปร่งและผอมบางเหยียบย่ำฟ้าดาราเดินห่างออกไปเรื่อยๆ
สุดท้ายเมื่อเสียงกัมปนาทดังขึ้น ทั้งตัวเขาก็หายไปอย่างสมบูรณ์
มองส่งเขาจากไป เจ้าแห่งคีรีดวงกมลถอนใจยาว เงียบงันไม่เอ่ยวาจา
เวลานี้หลินสวินรับรู้ได้อย่างชัดเจน อาจารย์ดูอาวรณ์ที่เด็กหนุ่มคนนั้นจากไป รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
นี่ทำให้เขาผิดคาด
ในตอนนี้เองเจ้าแห่งคีรีดวงกมลพลันเอ่ยปาก “เขามีฉายามรรคว่าคงเจวี๋ย ช่วงต้นสมัยดึกดำบรรพ์เป็นคนแรกที่มุ่งหน้าไปฟากฝั่งฟ้าดารา ถูกคนรุ่นเดียวกันในยามนั้นมองเป็น ‘ผู้นำ’ พรสวรรค์โดดเด่น ไม่มีใครเหนือกว่า”
หลินสวินเพิ่งรู้ว่าเฒ่าชราที่ท่าทางเหมือนเด็กหนุ่มเมื่อครู่นั้น ถึงกับเป็นบุคคลแห่งยุคที่ก้าวออกจากทางเดินโบราณฟ้าดารา!
“คงเจวี๋ยนั้นสมชื่อตัว เสาะหามรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ แต่เขาไร้เหตุผลเกินไป หลังจากข้ามด่านเคราะห์อมตะก็คิดเอาเองว่าเหนือกว่ามหามรรค ไม่เสื่อมสูญ มีอิสระไร้ผูกมัดอย่างแท้จริง…”
เสียงของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลเจือแววซับซ้อน “และด้วยเขาไร้เหตุผลเกินไป ทำให้สภาวะจิตของเขาประสบเคราะห์ที่ไม่อาจคาดเดา”
“เคราะห์จิตใจนี้หากไม่ขจัด สภาวะจิตของเขาจะถดถอยไม่หยุด แม้จะมีมรรควิถีทั้งตัวอยู่ แต่นิสัย ประสบการณ์ ความทรงจำของเขาจะหายไปอย่างต่อเนื่อง กลับไปเหมือนแรกเริ่ม”
“ก็เหมือนชายชราที่ฉลาดเฉลียวคนหนึ่ง มีสภาวะจิตและประสบการณ์ที่ย้อนกลับไปตอนหนุ่มภายในเวลาข้ามคืน”
“แต่มรรควิถีของเขาไม่ถูกขจัด นี่เป็นเรื่องอันตรายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าลองคิดดู เด็กที่ประสบการณ์ไม่ถึง จิตใจเหมือนกระดาษขาวคนหนึ่ง กลับยึดกุมพลังที่แข็งแกร่งกว่าบรรพจารย์จักรพรรดิ นั่น… จะอันตรายเพียงใด”
ฟังถึงตรงนี้ หลินสวินตื่นตระหนกขึ้นโดยพลัน
น่าเหลือเชื่อจริงๆ เคราะห์จิตใจหนึ่งกลับทำให้สภาวะจิต ประสบการณ์และสติปัญญาของยอดบุคคลคนหนึ่งถอยกลับไปยังจุดแรกเริ่ม เช่นนั้นเขาจะควบคุมมรรควิถีที่มีอยู่เดิมได้อย่างไร
หากเขากลายเป็นคนชั่ว ทั่วหล้าต้องประสบเคราะห์แน่!
ที่น่ากลัวที่สุดคือ การถดถอยของความทรงจำและสติปัญญาจะทำให้เขา ‘ไม่ไว้หน้าใคร’ !
เวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจ เหตุใดคงเจวี๋ยนั่นถึงมีจิตใจเหมือนเด็กหนุ่ม นั่นไม่ใช่การเสแสร้ง หากแต่สภาวะจิตของเขาประสบเคราะห์!
“แต่ยังดีที่เขาจำทางกลับมาได้…” เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเอ่ยเสียงเบา
พูดถึงตรงนี้ เขายิ้มแล้วมองหลินสวินพลางกล่าว “เจ้าคงแปลกใจว่าทำไมข้าถึงเข้าใจคนผู้นี้เช่นนี้ ทั้งเหตุใดต้องต่อยเขาหนึ่งหมัด”
หลินสวินพยักหน้า เขาสงสัยมากจริงๆ
“เมื่อนานมาแล้ว คงเจวี๋ยเคยเข้าถึงมรรคพร้อมข้า เรียกได้ว่ารู้จักกันบนมรรคา”
เสียงเจ้าแห่งคีรีดวงกมลต่ำลึก “หรือกล่าวได้ว่าเจ้ากับศิษย์พี่คนอื่น ล้วนเรียกเขาเป็นอาจารย์อาได้”
อาจารย์อา!
หลินสวินเพียงรู้สึกว่าใจสะท้านแทบไม่กล้าเชื่อ
คงเจวี๋ย!
เด็กหนุ่มท่าทางวิปลาสเมื่อครู่นั้น ตามศักดิ์แล้วถึงกับเป็นอาจารย์อาของพวกเขาผู้สืบทอดแห่งคีรีดวงกมล?
คำตอบนี้ทำให้หลินสวินไม่ทันตั้งตัวอยู่บ้าง
“เดิมข้าคิดว่าครั้งนี้คนที่มาขวางการแจ้งมรรคของเจ้าจะเป็นคนอื่น คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นคงเจวี๋ย”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลสูดหายใจลึก นัยน์ตาอบอวลด้วยแสงลึกลับ “ยังดี แม้ว่าคงเจวี๋ยจะจำไม่ได้ว่าข้าเป็นใคร แต่นิสัยใจคอของเขายังเหมือนเดิมเสี้ยวหนึ่ง ดังนั้นจึงยอมแพ้ไปเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นด่านเคราะห์ในวันนี้… คงคลี่คลายได้ยากแล้ว”
หลินสวินอดกล่าวไม่ได้ “อาจารย์ ทำไมท่านถึงทำเป็นไม่รู้จักเขา”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าว “คงเจวี๋ยในวัยหนุ่ม ไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร…”
หลินสวินเข้าใจทันที ในใจตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม ยอดบุคคลคนหนึ่งประสบเคราะห์จิตใจประหลาด ความทรงจำและสภาวะจิตหวนกลับไปตอนหนุ่ม คิดดูแล้วก็ชวนรู้สึกหนาวสะท้าน
ทันใดนั้นหลินสวินพลันตระหนักบางอย่างขึ้นได้ “ความทรงจำ การรับรู้และจิตใจของเขาล้วนย้อนกลับไปตอนหนุ่ม เขามาที่นี่ครานี้จะถูกคนหลอกใช้หรือไม่”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลพยักหน้า “ไม่ถึงขั้นหลอกใช้ แต่ต้องถูกล่อลวงแน่ คงเจวี๋ยเป็นพวกพะวงอยู่กับยอดหนทางสู่อมตะ หากมีคนบอกเขาว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้จะมีมรรคาเส้นนี้ปรากฏ เขาต้องมาโดยไม่สนใจอะไรแน่”
หลินสวินสีหน้าวูบไหวไม่หยุด เรื่องพวกนี้อยู่เหนือความเข้าใจของเขาอย่างสิ้นเชิง
เขาได้แต่แน่ใจ ไม่ว่าจะเป็นคงเจวี๋ยหรือชายสามหญิงหนึ่งที่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้ ล้วนมาจากฟากฝั่งฟ้าดารา!
ครึ่ก! ครึ่ก!
เสียงแตกหักระลอกหนึ่งดังมาจากตัวเจ้าแห่งคีรีดวงกมล หลินสวินเงยหน้ามองออกไปแล้วพลันตระหนก
เห็นเพียงเงาร่างสูงใหญ่ของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล ถึงกับแตกละเอียดเป็นเศษเสี้ยว กลายเป็นฝนแสงร่วงหล่นและลอยล่องอย่างต่อเนื่อง หายไปในสายน้ำแห่งกาลเวลานั่น
“อาจารย์ หมัดนั้นของคงเจวี๋ยทำให้ท่านบาดเจ็บหรือ” หลินสวินใจสะท้าน ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายระดับจักรพรรดิที่ไร้ใดเปรียบ
“ไม่จำเป็นต้องกังวล เดิมทีนี่ก็เป็นกายมรรคเจตจำนงของข้า ผ่านการกัดกร่อนในสายน้ำแห่งกาลเวลานี้มาชั่วกาล ใกล้จะยืนหยัดไม่อยู่นานแล้ว”
เสียงของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลราบเรียบ “ต่อให้ไม่ขวางหมัดนั้นของคงเจวี๋ย ผ่านเรื่องในวันนี้ไป กายมรรคเจตจำนงนี้ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้อีก ส่วนเจ้า…”
เขาพูดพลางจ้องมองหลินสวิน “ตั้งแต่วันนี้ไปก็เป็นระดับมกุฎจักรพรรดิแล้ว ทั้งครองรากฐานพลังยอดอมตะที่ไม่เคยมีมาก่อน ในการฝึกปราณภายหน้า อย่าได้ย่ามใจด้วยเรื่องนี้”
หัวใจหลินสวินสั่นไหวพลางกล่าว “วันนี้หากไม่มีอาจารย์คุ้มกัน ศิษย์ย่อมไม่อาจประสบความสำเร็จเช่นตอนนี้ ภายหน้าแน่นอนว่าไม่กล้าละเมิดคำสอนของอาจารย์”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลยิ้มขึ้นมา “คีรีดวงกมลของพวกเราให้การศึกษาโดยไม่แบ่งชนชั้น ขอแค่ทำเรื่องที่ไม่ละอายต่อใจก็เพียงพอแล้ว”
เขาเว้นช่วงไปก่อนชี้ไปทางส่วนลึกของฟ้าดารา “ถ้าสักวันหนึ่งเจ้ามุ่งหน้าไปยังฟากฝั่งฟ้าดารานั่น รับปากอาจารย์เรื่องหนึ่งได้หรือไม่”
หลินสวินตกปากรับคำโดยไม่ลังเล “ได้!”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเงียบไป “ไม่ถามว่าเรื่องอะไรก็รับปากทันที เด็กอย่างเจ้านี่… เชื่อฟังเกินไปหน่อยแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีนัก ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองของเจ้า… ล้วนไม่ใช่คนหัวอ่อน”
น้ำเสียงเจือความเมตตาและชื่นใจ คล้ายกำลังนึกถึงผู้สืบทอดแห่งคีรีดวงกมลพวกนั้น