Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2204 งานบูชาวิทยราช

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2204 งานบูชาวิทยราช

ตอนที่ 2204 งานบูชาวิทยราช

เขตแดนดาราราชันแสง

โลกใหญ่แดนธรรม ส่วนลึกของภูเขาไร้รั้ว

ตามหลังเสียงกัมปนาท ห้วงอากาศปั่นป่วน ชายหนึ่งหญิงหนึ่งก้าวออกมา รวมถึงสุนัขตัวหนึ่งด้วย

เป็นหลินสวิน ซย่าจื้อ ต้าหวงนั่นเอง

“ในที่สุดก็กลับมาทางเดินโบราณฟ้าดาราแล้ว…”

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ กลางฟ้าดินทั่วสารทิศ ไอวิญญาณโหมกระหน่ำรวมตัวมุ่งมาทางหลินสวินราวกับกระแสน้ำหลาก

ไอวิญญาณที่บริสุทธิ์หาใดเปรียบนั้น เพียงพอทำให้ผู้ฝึกปราณที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิลุ่มหลง ในโลกมืดที่รกร้างว่างเปล่าและแห้งแล้ง นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสได้อย่างสิ้นเชิง

แต่สำหรับหลินสวินในปัจจุบัน ไอวิญญาณแค่นี้… ไม่อาจเติมเต็มความต้องการในการฝึกปราณของเขาได้อย่างสิ้นเชิง

เมื่อก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ ทรัพยากรที่ต้องการในยามฝึกปราณจะชวนตะลึงหาใดเปรียบ นอกเสียจากว่าจะเป็นภูเขาแดนมงคลชั้นเลิศบนโลก เหมือนอาณาเขตของขุมอำนาจอย่างหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่

ไม่อย่างนั้นสถานที่ทั่วไปก็ไม่เพียงพอให้ระดับจักรพรรดิฝึกปราณแต่แรก

เหมือนอย่างหมู่เขากว้างใหญ่แห่งนี้ที่ก็มีไอวิญญาณเข้มข้นหาใดเปรียบอบอวลอยู่ แต่หากหลินสวินฝึกปราณที่นี่ ไม่เกินสามวันก็จะสูบไอวิญญาณของที่นี่ไปจนหมด!

กล่าวสรุปโดยง่ายคือ สมบัติประเภทแกนวิญญาณ ศิลาวิญญาณ ผลึกมรรคล้วนไม่เหมาะจะฝึกปราณระดับจักรพรรดิทั้งสิ้น

มีเพียง ‘ผลึกแรกมหามรรค’ ที่กำเนิดในบ่อเกิดแรกกำเนิด ถึงจะเป็นทรัพยากรฝึกปราณที่ระดับจักรพรรดิต้องการ

ยังดีที่ในตัวหลินสวินตอนนี้ไม่ขาดทรัพยากรในการฝึกปราณนานัปการ

ฟุ่บ!

หลินสวินนำแผนที่หนึ่งออกมาทันที พินิจดูเล็กน้อยพลางกล่าว “ถ้าออกเดินทางจากโลกใหญ่แดนธรรม ต้องข้ามเขตแดนดาราสามแห่ง ผ่านโลกสามสิบเก้าใบจึงจะถึงท่าเรือที่มุ่งหน้าสู่ยอดเขาเร้นเทพ”

“ท่าเรือนี้ชื่อว่า ‘ชำนาญเร้น’ ตั้งอยู่ริม ‘ธารสวรรค์หมอกเมฆา’…”

ต้าหวงตัดบทอย่างหงุดหงิด “เจ้านำทางไปก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรือ หรือเจ้ายังจะให้ข้าชี้แนะว่าเจ้าควรนำทางอย่างไรอีก”

หลินสวินมองซย่าจื้อที่อยู่ด้านข้างเล็กน้อย ฝ่ายหลังก็ทำท่าเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาพลันจนปัญญาทันที เอาเถอะ ได้แต่พึ่งตัวเองแล้ว

“หลินสวิน ข้าหิวแล้ว” ซย่าจื้อพลันเอ่ยปาก

“ไป พวกเราขึ้นยานสำเภากัน จากนั้นข้าจะทำของอร่อยให้เจ้า”

หลินสวินเรียกยานขนส่งอวกาศออกมา ทะยานสู่ฟากฟ้า ท่องไปยังที่ห่างไกล

บนยานสำเภา หลินสวินเตรียมพร้อมนานแล้ว หยิบเนื้อของสัตว์ประหลาดฟ้าดาราบางส่วน ผักวิญญาณ เครื่องปรุงหลากชนิดออกมาแล้วเริ่มกุลีกุจอ

ต้าหวงสีหน้างงงวย อดกล่าวเยาะหยันไม่ได้ “มกุฎมหาจักรพรรดิที่น่าเกรงขาม กลับกลายเป็นพ่อครัวคนหนึ่งได้อย่างไร”

หลินสวินไม่สนใจเจ้าปากสุนัขนี่ จดจ่อกับการทำครัว ไม่ทันไรกลิ่นเนื้อเย้ายวนใจอบอวลออกมา เนื้อย่างเหลืองทองอาบมัน หม้อลวกที่ไอร้อนแผ่ซ่าน ผักผลไม้สดใหม่เลิศรส อาหารว่างและเครื่องปรุงมากมายหลายหลาก…

แต่ละอย่างล้วนเรียกได้ว่าผ่านการคัดสรรเลือกเฟ้น รวบรวมสิ่งล้ำค่าทั่วทิศ ประกอบด้วยอาหารเลิศรสจากทุกมุมโลก

ต้าหวงที่เดิมยังหัวเราะเยาะหลินสวินตกตะลึงตาค้างทันที น้ำลายไหลย้อยลงมา ฝีมือของเจ้าหมอนี่… ไม่เลวทีเดียว!

ซย่าจื้อกินอย่างจริงจัง มองข้ามแววตาเร่าร้อนของต้าหวงอย่างสิ้นเชิง

หลินสวินกลับไม่อาจฝืนทนอยู่บ้าง สะบัดมือลวกๆ กระดูกมหึมาท่อนหนึ่งตกลงตรงหน้าต้าหวง “กินเถอะ”

ใช่ กระดูก

ต้าหวงเลือดขึ้นหน้าทันที ในดวงตามีเพลิงโทสะลุกโชน ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายน่ากลัวเหมือนจะระเบิดออกมา จากนั้น…

เงาร่างมันขยับมาหน้าโต๊ะอาหาร คาบเนื้อย่างชิ้นหนึ่งขึ้นมากินอย่างตะกละตะกลาม “เจ้าหนู ข้าไม่อยากเอาความกับเจ้า เห็นแก่อาหารมื้อนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้า… สวรรค์ นี่คือเนื้ออะไร สดใหม่ขนาดนี้เชียวหรือ…”

มันกินอย่างเบิกบานยิ่ง หางสะบัดไปมาไม่หยุด

ซย่าจื้อเงยหน้ามองต้าหวงเล็กน้อย ความเร็วในการกินว่องไวขึ้นมาทันที ใช้สองมือสวาปาม

ต้าหวงไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย ท่าทางเหมือนหมาเหี้ยมพุ่งใส่เหยื่อ กินอย่างเอร็ดอร่อย

หลินสวินมองภาพนี้อยู่นานจนตาค้าง จากนั้นจึงนวดหว่างคิ้ว เจ้าต้าหวงนี่นอกจากยโสโอหังแล้วยังหน้าไม่อายด้วย!

เขายิ้มหันหลังก้าวออกจากห้องไป ยืนพิงราวกั้นแล้วยกน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่มลำพัง ชายเสื้อพลิ้วไหวท่ามกลางทะเลหมอกและสายลม

หลินสวินพลันนึกขึ้นมาได้ โลกใหญ่แดนธรรมนี้คืออาณาเขตของเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลข่ง!

จักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียน ข่งหลิน ข่งอวี้ ข่งเจา… ชื่อที่คุ้นเคยมากมายแล่นผ่านสมองหลินสวินเหมือนขี่ม้าอ้อยอิ่งชมสวน

ว่าไปแล้วความแค้นระหว่างเขากับเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง ล้วนเรียกได้ว่าไม่ตายไม่เลิกราแล้ว

เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ มีจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนเป็นผู้นำ

ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิสมัยบรรพกาล ศิษย์พี่เก่ออวี้ผูก็ถูกจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนนี่กับสัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นลงมือสกัดพร้อมกัน สุดท้ายจึงพบฉากจบที่กายสิ้นมรรคสลาย

หลินสวินยังจำได้ ตอนนั้นที่เจอศิษย์พี่เก่ออวี้ผูใต้ยอดเขากักเทพสวรรค์ของแหล่งสถานคุนหลุน ในใจฝ่ายหลังยังเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด บอกว่าในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิตอนนั้น ด้วยเขาไม่อาจช่วยเหลือได้ทันจึงทำให้ศิษย์น้องบางส่วนสิ้นชีพ…

นึกถึงตรงนี้หลินสวินเงยหน้าดื่มเหล้าอึกหนึ่ง ‘เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง… ต่อให้ไม่มีความแค้นส่วนตัวกับข้า ความแค้นนี้ก็ไม่อาจจบลงแค่นี้…’

“ต้าหวง เจ้าเคยกินเนื้อของนกยูงห้าสีไหม” เขาพลันเอ่ยปากถาม

ในห้องโดยสาร ต้าหวงที่กินจนปากมันแผลบส่ายหัว “หลายปีนี้ข้าอยู่ในโลกมืดมาตลอด สถานที่แร้นแค้นเช่นนั้นมีหรือจะได้กินของดีๆ… เอ๋ ไม่ถูกสิ”

มันพูดถึงตรงนี้แล้วหันกลับมามองหลินสวิน กล่าวอย่างเคลือบแคลงสงสัย “เจ้าหนู เจ้าคงไม่คิดล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งกระมัง”

หลินสวินชูนิ้วโป้งให้พลางกล่าวชื่นชม “ต้าหวง ตาสุนัขของเจ้า… สมเป็นสายตาที่เฉียบคม ว่าอย่างไร อยากไปเยือนเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งหรือไม่”

ต้าหวงไม่แยแสพลางสวาปามต่อ กระพุ้งแก้มป่องบวมกล่าวคลุมเครือ “นี่เป็นถึงอาณาเขตของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง ชั่วดีอย่างไรก็เป็นเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์เผ่าหนึ่ง ใช่สถานที่ที่ไปได้ตามใจเสียที่ไหน ข้าขอเตือนเจ้าให้เก็บงำตนหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา ข้าคงรายงานภารกิจกับนายท่านไม่ได้”

หลินสวินอึ้งไป เขาเพิ่งเคยได้ยินคำว่า ‘เก็บงำตนเอง’ จากปากต้าหวงเป็นครั้งแรก เจ้าหมอนี่ไม่ได้ยโสโอหังมาตลอดหรือ

“ไม่ไปจริงหรือ” หลินสวินถาม

“ไม่ไป”

“เช่นนั้นเจ้าอย่านึกเสียใจแล้วกัน”

“เหอะ ข้าใช่สุนัขที่ชอบนึกเสียใจที่ไหน”

หลินสวินกล่าวเรียบๆ “ได้ เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าอยากกินอะไรก็ทำเองเถอะ ซย่าจื้อ พวกเราไปกันเถอะ”

ซย่าจื้อพยักหน้า “ได้”

ต้าหวงอึ้งไปทันที กล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “เจ้าหนู เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าขี้ขลาด เพราะหวังดีกับเจ้าหรอก ด้วยนิสัยของข้า อย่าว่าแต่เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง ต่อให้บุกไปหกเรือนมรรคใหญ่ก็เป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว”

“หรือเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ในโลกมืดมีคำกล่าวว่ายอมล่วงเกินพญายม แต่อย่าล่วงเกินต้าหวง เจ้าลองดูเฒ่าชราของสำนักโบราณจรัสเทพและแดนกษิติครรภ์พวกนั้นสิ ใครกล้าไม่หวาดกลัวข้าบ้าง”

พูดถึงตอนท้ายต้าหวงนั่งตัวตรง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง

หลินสวินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ไปหรือไม่ไป”

สีหน้าต้าหวงพลันปรวนแปรไม่หยุด กล่าวว่า “เช่นนั้นต้องบอกไว้ก่อน ถ้าก่อเรื่องแล้วนายท่านกล่าวโทษ ข้าจะบอกว่าทั้งหมดนี้ล้วนถูกเจ้าข่มขู่”

หลินสวินหัวเราะขึ้นมา คราวนี้ถึงรู้ว่าต้าหวงห่วงว่าจะถูกศิษย์พี่รองตำหนิ เขากล่าวโดยไม่ลังเล “วางใจเถอะ ไม่มีทางทำให้เจ้าลำบากแน่”

ต้าหวงพาดขากระแทกโต๊ะ สองตาเปล่งประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้น “เช่นนั้นยังรออะไร ไป ไปเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งกัน! พูดอย่างไม่ปิดบังเจ้า เมื่อนานมาแล้วข้าก็อยากลองชิมเนื้อนกยูงห้าสี… ได้ยินว่า…”

“ข้าก็แค่ได้ยินมาเท่านั้น ปีนั้นนายท่านเคยใช้หมัดหนึ่งต่อยนกยูงเฒ่าตัวหนึ่งตาย เจ้าเมี่ยฉยงนั่นถอนขนนกยูงเฒ่าจนสะอาด ตุ๋นน้ำแกงเนื้อได้หม้อหนึ่งเต็มๆ คนที่หยิ่งทะนงหาใดเปรียบอย่างนายท่านยังโลภจนกินไปสองชามใหญ่อย่างอดไม่ได้!”

พูดถึงตอนท้ายน้ำลายของมันไหลออกมาอีกครั้ง “น่าเสียดาย ตอนนั้นข้าไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นก็ต้องได้ชิมแน่ ถึงตอนนี้เจ้าเมี่ยฉยงนั่นยังพูดว่าคิดถึงน้ำแกงเนื้อหม้อนั้นอยู่เลย”

“เจ้า… คงไม่ได้อยากกินเนื้อนกยูงห้าสีอยู่ก่อนแล้วกระมัง”

หลินสวินมองต้าหวงที่พูดน้ำไหลไฟดับ สีหน้าลิงโลดตื่นเต้นยินดีแล้วพลันตระหนักได้ ดูเหมือนว่าข้าจะถูกหลอกแล้ว

ต้าหวงยิงฟันหัวเราะพลางกล่าว “ไร้สาระ ใต้หล้านี้ใครไม่รู้บ้างว่าโลกใหญ่แดนธรรมเป็นอาณาเขตของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกเราถึงถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ เพราะปีนั้นหลังจากนายท่านต่อยนกยูงเฒ่าตัวนั้นจนตาย คิดว่าภายหน้าถ้าอยากชิมเนื้อนกยูงอีก อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องลำบากไปตามรอย แค่เคลื่อนย้ายมาก็พุ่งสังหารได้โดยตรง ดังนั้น…”

หลินสวินกล่าวอย่างอึ้งๆ “ดังนั้นจึงประทับพิกัดของอุโมงค์เคลื่อนผ่านฟ้าดาราไว้ที่นี่?”

“ใช่แล้ว!” ต้าหวงหัวเราะลั่นขึ้นมา

หลินสวินเอามือกุมหน้าผาก ศีรษะปรากฏเส้นเลือดดำ

คนที่หยิ่งทะนงอย่างศิษย์พี่รอง กลับกำหนดพิกัดเคลื่อนผ่านฟ้าดาราไว้ในโลกนี้เพื่อน้ำแกงเนื้อหม้อเดียว…

หรือว่าเป็นจอมตะกละจนเข้ากระดูกเหมือนกัน

พลันเห็นต้าหวงกล่าวทอดถอนใจด้วยสีหน้าลุ่มลึก “หลายปีแล้ว ในที่สุดข้าก็มาเยือนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้อีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าบนโลกนี้ยังมีใครจำ ‘จักรพรรดิสงครามคำรน’ ที่เคยกลืนกินจักรวาล กำราบใต้หล้าได้หรือไม่”

จักรพรรดิสงครามคำรน!

หลินสวินมุมปากกระตุก ฉายามรรคนี้นับว่า… เหมาะสมยิ่งแล้ว!

“รีบไปเร็วเข้า อย่าอืดอาดยืดยาดอีกเลย” ต้าหวงยิ่งพูดยิ่งทนไม่ไหว นัยน์ตาสุนัขคู่นั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ราวกับมีหลินสวินช่วยเขาแบกความรับผิดชอบ ท่าทางโอหังที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินนั้นฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง

หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม บนเวิ้งฟ้าที่ห่างไกลมีชายชราชุดนักพรตคนหนึ่งพาเด็กสาวอีกคนเหินอากาศล่องสัญจร

หนึ่งชราหนึ่งเยาว์วัย สวมใส่ชุดตระการตา เท้าเหยียบกระบี่บินที่แสงวิญญาณเจิดจรัส แขนเสื้อพลิ้วไหว แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่ผู้ฝึกปราณทั่วไปเทียบได้

“สหายยุทธ์โปรดหยุดก่อน”

หลินสวินเอ่ยปาก เคลื่อนยานขนส่งอวกาศไล่ตามไปทันที

ชายชราชุดนักพรตขมวดคิ้ว เดิมไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เมื่อสายตามองเห็นหลินสวินก็อึ้งไปเล็กน้อย เผยรอยยิ้มมีเมตตาออกมาทันที “สหายยุทธ์มีเรื่องใดชี้แนะ”

เด็กสาวที่อยู่ด้านข้างดวงตาโตเป็นประกาย ประเมินหลินสวินอย่างใคร่รู้

หลินสวินกล่าว “ไม่ถึงขั้นชี้แนะ แค่อยากถามทางไปเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งกับสหายยุทธ์สักหน่อย”

ชายชราชุดนักพรตยิ้มกล่าว “บังเอิญจริง สหายยุทธ์ก็จะไปร่วม ‘งานบูชาวิทยราช’ ที่เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งจัดขึ้นเหมือนกันหรือ”

หลินสวินชะงัก แต่ยังยิ้มพลางพยักหน้า “นับว่าใช่กระมัง”

“เช่นนั้นพวกเราก็เดินทางไปด้วยกัน ไม่ทราบว่าสหายยุทธ์รังเกียจหรือไม่” ในรอยยิ้มโอบอ้อมของชายชราชุดนักพรตเจือความกริ่งเกรงเสี้ยวหนึ่ง

“แน่นอนว่าย่อมได้” หลินสวินพูดพลางเชิญหนึ่งชราหนึ่งเด็กนี้ขึ้นยานขนส่งอวกาศ

……………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท