Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2237 สี่สิบเก้าศิลาค้ำสมุทร

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2237 สี่สิบเก้าศิลาค้ำสมุทร

สามวันต่อมา

เต่าดำหนวดมังกรก้าวผ่านเขตแดนห้วงอากาศหลายสิบแห่ง ก้าวข้ามหนทางหมื่นลี้นับไม่ถ้วน สุดท้ายก็มาถึงน่านน้ำที่ใสสะอาดดุจชะล้าง กลมกลืนและเงียบสงบแถบหนึ่ง

บนมหาสมุทรกว้างใหญ่ กลิ่นอายที่เหมือนแดนแรกกำเนิดพวยพุ่งออกมาสายแล้วสายเล่า บนผิวทะเลล้วนมีละอองแสงมงคลดั่งหมอกควันลอยล่อง

ที่นี่ไม่เหมือนน่านสมุทรอื่นในทะเลตะวันออกอย่างสิ้นเชิง เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์

ห่างออกไปมีป้ายหินเก่าแก่ที่สูงประมาณพันจั้งป้ายหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่บนผิวสมุทร ส่วนฐานฝังกลบอยู่ใต้น้ำทะเล ไม่อาจมองเห็นได้

ป้ายหินโบราณอบอวลด้วยกลิ่นอายของกาลเวลาเก่าแก่ บนนั้นสลักอักขระดั้งเดิมของเผ่ามังกรว่า ‘ค้ำสมุทร’ ไว้สองคำ

เต่าดำหนวดมังกรหยุดนิ่ง ในตำหนักหลินสวินมองเห็นภาพนี้แต่ไกลแล้วลอบพยักหน้า

เขาเคยได้ยินอันเจิงบอกมาก่อนแล้วว่าทางเข้าวังมังกร ตั้งอยู่บนผิวทะเลแถบหนึ่งที่มีศิลาค้ำสมุทรตั้งตระหง่าน

“ควรเข้าไปอย่างไร” หลินสวินถาม

จักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรที่อยู่ด้านข้างสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด “แน่นอนว่าต้องให้ข้าพาไป มิฉะนั้นไม่ว่าใครที่ไม่ใช่คนในเผ่าเจินหลงของข้าก็ไม่มีทางเข้าไปในนั้นได้แน่”

“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป”

นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็น “ขอแค่ข้ารออยู่ที่นี่ ไม่ช้าก็เร็วต้องจับตัวคนในเผ่าเจินหลงที่ก้าวออกมาจากวังมังกรได้แน่”

จักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “เจ้าคิดจะทำอะไร”

ปึง!

ต้าหวงลงมือตะปบ จักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรถูกทำร้ายจนสลบเหมือด ทรุดคว่ำกับพื้นอย่างปวกเปียก

“ไม่ฆ่าจริงหรือ” ต้าหวงกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“คนใหญ่คนโตเช่นนี้ย่อมมีสมบัติอย่างโคมวิญญาณเก็บไว้ในตระกูล เมื่อตายไปต้องทำให้อีกฝ่ายแตกตื่นแน่”

หลินสวินพูดลอยๆ “ครั้งนี้หากพวกเรากลับไปได้อย่างปลอดภัย ถึงตอนนั้นค่อยตุ๋นเนื้อมังกรดีๆ กินสักหม้อก็ย่อมได้”

ต้าหวงพยักหน้ารัว “คำพูดนี้มีเหตุผล”

หลังจากนั้นหลินสวินเริ่มเคลื่อนไหว เพียงชั่วขณะก็กำราบผนึกจักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรรวมถึงผู้ติดตามทั้งหมดของเขาลงไปในเจดีย์ไร้สิ้นสุด

สุดท้ายแม้แต่เต่าดำหนวดมังกรตัวมหึมาที่พามานั้นก็ถูกหลินสวินเก็บลงไปด้วย

“ต้าหวง เจ้าก็ไปซ่อนอยู่ในเจดีย์ไร้สิ้นสุดชั่วคราว รอข้าแฝงตัวเข้าไปในวังมังกรแล้ว ถ้าเห็นว่าสถานการณ์ไม่เข้าที เจ้าค่อยลงมือ”

หลินสวินเอ่ยกำชับ

แน่นอนว่าต้าหวงไม่คัดค้าน

ไม่นานน่านน้ำที่เงียบสงบแถบนี้ก็เหลือแค่หลินสวิน

เขารออยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง

จากข่าวที่หลินสวินได้มา ทางเข้าวังมังกรมีทั้งหมดสี่สิบเก้าแห่ง ใกล้ทางเข้าแต่ละแห่งล้วนมี ‘ศิลาค้ำสมุทร’ สยบอยู่

เล่าลือว่าศิลาค้ำสมุทรสี่สิบเก้าแห่งนี้เป็นยอดสมบัติของเผ่าเจินหลง กำราบ ‘เขตต้องห้ามไร้ชีพ’ ที่อยู่ใต้ทะเลตะวันออกมาตลอด ทำให้หลายปีนี้สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนสามารถก้าวขึ้นมาบนทะเลตะวันออกที่กว้างใหญ่ได้อย่างปลอดภัย

ส่วน ‘วังมังกร’ ที่ลึกลับที่สุดในใจหมื่นเผ่าพันธุ์ทั่วหล้า ก็ตั้งอยู่ในสถานที่ใจกลางซึ่งปกคลุมด้วยศิลาค้ำสมุทรสี่สิบเก้าแห่ง นั่นคือโลกลึกลับที่อัศจรรย์หาใดเปรียบแห่งหนึ่ง

น่านน้ำที่หลินสวินอยู่ตอนนี้ก็คือหนึ่งในสี่สิบเก้าทางเข้าวังมังกร เป็นเส้นทางที่คนใหญ่คนโตของวังมังกรใช้เข้าออกโดยเฉพาะ

ขณะเดียวกันหลินสวินก็รู้ดีว่ารากฐานของเผ่าเจินหลงแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เผ่าวิญญาณฟ้าประทานนี้เดิมทีก็อยู่เหนือสรรพวิญญาณ มีพรสวรรค์น่าหวาดกลัวที่อยู่เหนือความคาดหมาย

หากเปรียบเทียบกันอย่างจริงจัง อานุภาพของเผ่าเจินหลงย่อมพอฟัดพอเหวี่ยงกับขุมอำนาจหกเรือนมรรคใหญ่แห่งแดนวิภูหงเหมิง รวมถึงสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืดได้!

และในแดนเจินหลงนี้ เผ่าเจินหลงก็เป็นนายเหนือหัวเพียงคนเดียว!

ไม่ต้องคิดเลยว่าการเข้าไปในที่ตั้งของวังมังกรนั้น ต้องอันตรายหาใดเปรียบแน่

แต่หลินสวินไม่คิดจะบุกเข้าไป ทั้งระหว่างทางที่มาก็เตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว

‘งานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่… ทำไมเหตุไม่คาดฝันนั้นถึงเกิดขึ้นเพราะจิ่งเซวียน…’

‘เผ่าเจินหลงเคียดแค้นข้าเช่นนี้ ถึงขั้นกังวลว่าข้าจะมาหาถึงที่ ทำลายเส้นทางมุ่งสู่ทางเดินโบราณฟ้าดาราโดยไม่คำนึงถึงอะไร เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะความสัมพันธ์ของข้ากับจิ่งเซวียนเท่านั้นจริงหรือ’

หลินสวินคิดในใจเงียบๆ

ซ่า…

ผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ เมื่อเสียงกระแสคลื่นม้วนซัดหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นว่าบนผิวทะเลใกล้ศิลาค้ำสมุทรที่ห่างไกลนั้นม้วนซัดระลอกหนึ่ง บานประตูมหึมาหนึ่งปรากฏ มีเงาร่างกลุ่มหนึ่งเดินออกมา

ผู้นำคือชายในชุดคลุมมังกรสี่เล็บ ศีรษะประดับเกี้ยวขนนกคนหนึ่ง ทั่วร่างแผ่ความหยิ่งทะนงของเผ่าเจินหลงโดยเฉพาะ

พวกที่อยู่ข้างกายชายชุดคลุมมังกรคือผู้ติดตามกลุ่มหนึ่ง มีทั้งชายและหญิง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทายาทของเผ่าเจินหลง แต่กลิ่นอายของแต่ละคนล้วนชวนตะลึง

“หืม? เจ้าคือ… คนของเผ่าเจินโห่วหรือ”

ชายชุดคลุมมังกรเห็นหลินสวินแต่ไกลแล้วชะงักไปก่อน ด้วยแยกแยะกลิ่นอายของเผ่าเจินโห่วจากตัวเขาได้

แน่นอนว่านี่คือการพรางตัวของหลินสวิน เขาประสานมืออย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “คุณชายสายตาเฉียบแหลม ข้าโหวเทียนสิงแห่งเผ่าเจินโห่ว ครั้งนี้มีเรื่องมาขอเข้าพบ”

ชายชุดคลุมมังกรพยักหน้าอย่างสงวนท่าทีพลางกล่าว “ผู้อาวุโสคนไหนของเผ่าข้าส่งเจ้ามา”

น่านน้ำแถบนี้มีแค่คนใหญ่คนโตของเผ่าเจินหลงที่เข้ามาได้ นี่ทำให้เขาคิดไปตามจิตใต้สำนึกว่าหลินสวินได้กระชับความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสบางคน

หลินสวินล้วงป้ายคำสั่งสีม่วงที่สลักสัญลักษณ์รูปมังกรออกมาแล้วกล่าว “ข้ามาตามคำสั่งของใต้เท้าจักรพรรดิมังกรพลิกสมุทร นี่เป็นป้ายคำสั่ง”

เขาพูดพลางส่งป้ายคำสั่งผ่านอากาศไป

ชายชุดคลุมมังกรตรวจสอบคร่าวๆ แล้วพยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด เป็นป้ายคำสั่งติดตัวของท่านอาหก ครั้งนี้เจ้ามาด้วยเรื่องใด”

หลินสวินพูดโดยไม่ต้องคิด “ข้าอยากพบองค์ชายเจ็ดอ๋าวเจิ้นเทียนสักหน่อย”

หัวคิ้วของชายชุดคลุมมังกรขมวดขึ้นทันที “เจ้าอยากพบน้องเจ็ดของข้ารึ”

หลินสวินประสานมือกล่าว “ขอคุณชายช่วยให้สมปรารถนา”

ชายชุดคลุมมังกรไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ท่านอาหกไม่ได้บอกเจ้าหรือ ตอนนี้น้องเจ็ดของข้านั้นถูกกักบริเวณนานแล้ว อย่าว่าแต่พบแขก แม้แต่ประตูบ้านยังไม่อาจก้าวออกไปได้”

หลินสวินผงะในใจวูบหนึ่ง แต่ปากกลับกล่าวว่า “ใต้เท้าจักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรบอกแค่นำป้ายคำสั่งของเขามา ก็จะไปวังมังกรเพื่อเข้าพบองค์ชายเจ็ดได้ เรื่องอื่น… ข้าไม่รู้เลยจริงๆ”

ชายชุดคลุมมังกรกล่าวเสียงขรึม “ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าถือป้ายคำสั่งของท่านอาหกมา ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากให้เจ้า จะพาเจ้าไปพบน้องเจ็ดดูแล้วกัน”

หลินสวินแอบเป่าปากโล่งอกทันที ขอแค่แฝงตัวเข้าไปในวังมังกรและติดต่อกับอ๋าวเจิ้นเทียนได้ เช่นนั้นความจริงมากมายก็จะกระจ่างแล้ว

ผู้ติดตามคนหนึ่งอดกล่าวเตือนไม่ได้ “องค์ชายสี่ พวกเราออกมาครั้งนี้ไม่ได้จะไป…”

ไม่รอให้พูดจบ ชายชุดคลุมมังกรก็ตัดบท “ไม่ต้องรีบร้อน รอข้าพาสหายเผ่าเจินโห่วคนนี้ไปส่งยังที่พักของน้องเจ็ดแล้วค่อยออกเดินทางก็ไม่สาย”

เขาพูดพลางหันหลังกลับ ในมือถือป้ายหยกแดงเพลิงดั่งแสงสายัณห์ ส่องสะท้อนไปทางศิลาค้ำสมุทรแห่งหนึ่ง

วู้ม!

ผิวทะเลม้วนซัด บานประตูน้ำวนหนึ่งปรากฏออกมา

“ไปเถอะ”

ชายชุดคลุมมังกรนำทางไปเบื้องหน้า

หลินสวินมองเงาหลังเขาเล็กน้อยแล้วตามไป ในใจกลับแอบกล่าวว่า องค์ชายสี่? ดูท่าว่าเจ้าหมอนี่คงไม่ใช่อ๋าวเสวียนเฟิงที่ขับไล่อิ๋นฮวนไปจากวังมังกรนั่นกระมัง

หลินสวินไม่ได้ส่งเสียง ตามพวกอ๋าวเสวียนเฟิงเข้าไปในบานประตูน้ำวนนั้นอย่างสงบเสงี่ยม

เมื่อทัศนวิสัยของหลินสวินแจ่มชัดก็เข้ามาในโลกลึกลับแห่งหนึ่ง กว้างใหญ่ราวกับไร้ขอบเขต กลางฟ้าดินอบอวลด้วยกลิ่่นอายบ่อเกิดแรกกำเนิดเข้มข้น

ขณะเดียวกันยังมีปราณมังกรที่ทรงพลังหลากรูปแบบแปลงเป็นเมฆมงคล ปกคลุมอยู่เหนือเวิ้งฟ้า งามตระการรุ่งโรจน์

บนแผ่นดินภูผาธาราต้นไม้ใบหญ้าล้วนมหึมาหาใดเปรียบ ในพื้นดินอบอวลด้วยพลังชีวิตยิ่งใหญ่เข้มข้น

เมื่อหายใจเข้าระหว่างจมูกปากล้วนเต็มไปด้วยพลังต้นกำเนิดฟ้าดินที่บริสุทธิ์พลุ่งพล่าน พาให้จิตใจปลอดโปร่งเหมือนอยู่บนแดนเซียนในตำนาน

หลินสวินสังเกตเห็นอย่างชัดเจน สายตาของอ๋าวเสวียนเฟิงประเมินตนเหมือนตั้งใจและไม่ตั้งใจ เขากล่าวอย่างทอดถอนใจทันที “ที่นี่คือแดนวังมังกรหรือ เป็นสถานที่มงคลชั้นเลิศของฟ้าดินดังคาด”

อ๋าวเสวียนเฟิงยิ้มโดยไม่อำพรางแววหยิ่งทะนงแม้แต่น้อย “พูดอย่างไม่เกินจริง ต่อให้กวาดสายตามองทั่วหล้าหมื่นพิภพ แดนมงคลที่ทัดเทียมวังมังกรของเผ่าข้าได้ บางทีอาจมีแค่ที่พำนักซึ่งเผ่าจักรพรรดิอมตะในฟากฝั่งฟ้าดาราอาศัยอยู่”

เขาพูดพลางนำหน้าไปก่อน

ระหว่างทางก็เห็นภูผาธารากว้างใหญ่ เขียวชอุ่มไปทั่วทิศ บนเวิ้งฟ้ามีหงส์วิญญาณเกาะกลุ่มเริงระบำเป็นระยะ ร้องขับขานด้วยเสียงกระจ่างใส

บนพื้นดินก็เห็นสัตว์วิญญาณมงคลปรากฏตัวเป็นระยะทุกแห่งหน ทำให้หลินสวินไม่อาจไม่ยอมรับว่าแดนวังมังกรนี้อัศจรรย์มากจริงๆ ไม่เหมือนที่ตนจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง

ตลอดทางมานี้ในจิตรับรู้ของเขาสัมผัสกลิ่นอายน่าหวาดกลัวได้นับไม่ถ้วน กระจายอยู่ในอาณาเขตต่างๆ บ้างหลบอยู่ในเหวลึก บ้างอาศัยอยู่บนชะง่อนผา บ้างหมอบนิ่งอยู่ใต้ทะเลสาบ…

ไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย กลิ่นอายน่าหวาดกลัวพวกนั้นต้องเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าเจินหลงที่อยู่ในอาณาเขตต่างๆ แน่นอน

ขณะเดียวกันหลินสวินก็สังเกตเห็นว่าในแดนวังมังกรนี้ มีสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าอยู่มากมาย แต่ละคนหากรูปร่างหน้าตาไม่สวยสดงดงาม ก็มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งเพียงพอ

หลินสวินถึงขั้นได้เจอสิ่งมีชีวิตของเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่อย่างปี้อั้น ชือน้ำแข็ง ผูเหลา หยาจื้อ เฉาเฟิงด้วย!

แต่สิ่งมีชีวิตที่มาจากหมื่นเผ่าพันธุ์พวกนี้ ล้วนเป็นพวกที่ทำเรื่องจุกจิกอย่างสาวใช้ ทหารยาม ผู้ดูแล ผู้ติดตามทั้งสิ้น

“หมื่นเผ่าพันธุ์ในใต้หล้านี้ล้วนมีเผ่าเจินหลงของข้าเป็นผู้นำ ขอเพียงถูกเลือกก็ถวายชีวิตเข้ามาอยู่ในแดนวังมังกรของข้าได้ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้มีหน้ามีตาในแต่ละเผ่า คนธรรมดาไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาที่นี่”

อ๋าวเสวียนเฟิงเอ่ยปากเนิบช้า นั่นเป็นท่าทางที่เหมือนองค์ราชันมองหมื่นวิญญาณในใต้หล้าเป็นขุนนางของตน

หลินสวินฉวยโอกาสถาม “คุณชาย คนที่ขายชีวิตมาแดนวังมังกรนี้ มีระดับจักรพรรดิหรือไม่”

“แน่นอน!”

อ๋าวเสวียนเฟิงกล่าวยิ้มเล็กน้อยอย่างสงวนท่าที “อย่างระดับจักรพรรดิบางส่วนของเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่ ก็จะถูกจ้างวานมาเป็นผู้อาวุโสที่ทำคุณประโยชน์ให้เผ่าข้า”

ผู้ติดตามคนหนึ่งกล่าวประจบสอพลอ “สหายท่านนี้อาจไม่รู้ว่าข้างกายองค์ชายสี่ แค่ผู้อาวุโสที่ติดตามรับใช้สามคนก็มีพลังปราณระดับจักรพรรดิแล้ว ล้วนซื่อสัตย์ภักดีต่อองค์ชายสี่ ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดเหมือนพวกข้า”

หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ เผยสีหน้าตกใจ

แน่นอนว่าครึ่งหนึ่งเป็นการแสดง อีกครึ่งกลับมาจากใจ

เท่าที่เขารู้ในหมู่ทายาทสายตรงของเผ่าเจินหลงตอนนี้ มีองค์ชายเก้าคนและองค์หญิงสี่คน

แค่ข้างกายองค์ชายสี่คนเดียว ก็มีผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิสามคนมาเป็นผู้ติดตามแล้ว ทั้งเผ่าเจินหลงนั้นจะมีผู้ติดตามระดับจักรพรรดิเท่าไหร่กัน

นอกจากนี้ในเหล่าบุคคลสำคัญของเผ่าเจินหลงพวกนั้น ย่อมไม่ขาดตัวตนที่น่ากลัวถึงขีดสุดแน่

เปรียบเทียบเช่นนี้ ความน่าพรั่นพรึงแห่งรากฐานของเผ่าเจินหลงก็พอเห็นเป็นรูปธรรมแล้ว!

………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท