Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2247 วิญญาณค่ายกลกับเฒ่าสารเลว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2247 วิญญาณค่ายกลกับเฒ่าสารเลว

เมื่ออยู่ในวัฏจักรดารานับหมื่นแสน เห็นได้ว่าตัวเล็กจ้อยและไร้กำลังเป็นพิเศษ

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่วิวัฒน์จากกระบวนค่ายกลต้องห้าม

“กระบวนค่ายกลนี้มีอานุภาพสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิ!”

เวลานี้สีหน้าของต้าหวงเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาแล้ว

“ไม่ธรรมดาจริงๆ บางทีนี่อาจเป็นรากฐานพลังที่แท้จริงของเผ่าเจินหลง หากไม่เป็นเช่นนี้ ด้วยนิสัยหยิ่งทะนงหาใดเปรียบของเผ่านี้เกรงว่าคงถูกกำจัดไปนานแล้ว”

ทั่วร่างซีมีละอองแสงโปรยปราย กฎเกณฑ์ตัดสลับ น้ำเสียงใสเย็นเจือความจริงจังเช่นกัน

สายตาซย่าจื้อกลับมองไปยังหลินสวิน ฝ่ายหลังแววตาล้ำลึก พรั่งไปด้วยแสงมรรคแปลกประหลาด สีหน้าราบเรียบดังเดิม ไม่เผยความตื่นตระหนกใดเพียงเสี้ยว

ตรงกันข้ามในดวงตาเขากลับเจือแววประหลาดอยู่รางๆ กระบวนค่ายกลต้องห้ามที่ถูกเผ่าเจินหลงมองเป็นแนวป้องกันชีวิตนี้… ทำไมถึงมีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างหนึ่ง…

ตูม…

ดาวหางที่เจิดจรัสราวกับลุกโชนแถบหนึ่งทะยานเข้ามา หนาแน่นดุจฝนห่าใหญ่ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิคนใดก็ตามขวัญหนีดีฝ่อ

ซีกับต้าหวงกำลังจะลงมือต้านก็ถูกหลินสวินขวางไว้ “ตามข้ามา”

เสียงเพิ่งดังขึ้น เงาร่างของเขาไหววูบ มุ่งไปยังส่วนลึกของฟ้าดารา ไม่สนใจดาวหางที่ดาหน้าเข้ามานั้น

ซย่าจื้อตามหลังเขาไปติดๆ ซีกับต้าหวงสบตากันวูบหนึ่ง ในที่สุดก็ข่มกลั้นความรู้สึกอยากลงมือไว้แล้วตามไป

จากนั้นเหตุการณ์ประหลาดก็ปรากฏขึ้น

กลุ่มดาวหางที่แน่นขนัดเหมือนสายฝนนั้นทะยานเข้ามาปกคลุมแล้วชัดๆ แต่เมื่อเงาร่างหลินสวินเดินตามวิถีโคจรน่าพิศวง ทั้งหมดกลับหายไปกลางอากาศ!

หืม?

ซีกับต้าหวงต่างอึ้งไป จากนั้นก็เผยสีหน้าประหลาด ล้วนตระหนักได้ว่าหลินสวินดูเหมือนจะรู้การเปลี่ยนแปลงและเคราะห์สังหารของกระบวนค่ายกลนี้เป็นอย่างดี!

ในเวลานั้นเองหลินสวินพลันสื่อจิต ‘ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ บางทีอาจทำลายกระบวนค่ายกลนี้ไม่ได้ แต่ถ้าคิดฝ่าออกไปกลับไม่ใช่เรื่องยาก อีกเดี๋ยวหากทุกคนสบโอกาสก็ลงมือ ใช้พลังดุจสายฟ้ากำราบอีกฝ่าย’

ยามเอ่ยวาจาเขาก้าวต่อไปข้างหน้า

ตูม…

กระบวนค่ายกลส่งเสียงกัมปนาท วัฏจักรดารานับหมื่นแสนวิวัฒน์เป็นเคราะห์สังหารนานัปการ พุ่งสังหารจากทั่วทิศมาทางพวกหลินสวิน มีดาวหางมากมายตกลงมา มีธารดาราคลั่งร่ายระบำ มีวังวนเมฆดาราที่แปลกประหลาดหาใดเปรียบ มี…

ทุกการโจมตีล้วนมีอานุภาพปลิดชีพเทพผี กำราบระดับจักรพรรดิ น่าหวาดกลัวไร้ขอบเขต!

ซีกับต้าหวงที่ตามหลังหลินสวินมาติดๆ ต่างกดดันและหวาดหวั่น โดยเฉพาะต้าหวงที่ขนชันและเหงื่อแตกพลั่กเป็นพักๆ

อานุภาพของกระบวนค่ายกลนี้น่าหวาดกลัวเกินไป พูดอย่างไม่เกินจริง หากไม่มีหลินสวินนำทาง มันคงอดห่วงไม่ได้ว่าตนจะต้านการสังหารนี้ได้กี่ครั้ง…

ตลอดทางแม้ว่าซีจะไม่พูดไม่จา แต่นางก็ตัดสินได้ว่าหากเป็นระดับจักรพรรดิคนอื่นติดอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงถูกสังหารกระจุยจนตายไปนานแล้ว!

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สายตาของซีกับต้าหวงที่มองหลินสวินซึ่งนำทางอยู่ข้างหน้านั้นเปลี่ยนไป ล้วนคิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถก้าวไปเหมือนเดินเล่นในสวนบ้าน ประหนึ่งเดินบนทางราบ ภายใต้การสังหารของกระบวนค่ายกลที่อันตรายหาใดเปรียบเช่นนี้ได้!

โลกภายนอก เงาร่างมากมายมารวมกันจากทั่วทิศนานแล้ว ยืนห่างอยู่นอกกระบวนค่ายกลต้องห้ามนั้น

คนพวกนี้ล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของแดนวังมังกร รวมถึงผู้ติดตามอาวุโสระดับจักรพรรดิที่ขายชีวิตให้เผ่าเจินหลงพวกนั้นด้วย

เมื่อเห็นกระบวนค่ายกลต้องห้ามวิวัฒน์เป็นวัฏจักรธารดารา สะท้อนไอสังหารร้ายกาจนั่นแล้ว สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนก็เต็มไปด้วยความสั่นสะท้าน ถึงขั้นเคารพยำเกรง!

เพราะแค่มองจากไกลๆ ยังทำให้พวกเขารู้สึกขนพองสยองเกล้า จิตใจโดนกดข่ม แค่คิดก็รู้แล้วว่าหากติดอยู่ในนั้น เคราะห์สังหารที่ต้องเผชิญจะน่ากลัวระดับใด

“รอสังหารพวกเขาแล้ว ค่อยรวบรวมซากทั้งหมดของพวกเขาออกมา ข้าอยากรู้ฐานะ ความเป็นมา รวมถึงจุดประสงค์ของพวกเขา”

หน้าตำหนักหลังหนึ่งที่สูงตระหง่านสง่างามของวังมหามรรคหมื่นมังกร จักรพรรดิมังกรมายาสีหน้าอำมหิต ในดวงตาเต็มไปด้วยความแค้น “ข้าไม่เพียงแต่จะให้พวกเขาจ่ายค่าตอบแทน ยังจะกำจัดขุมอำนาจเบื้องหลังพวกเขาให้สิ้นซากด้วย!”

“ใช่ ต้องเป็นเช่นนั้น!”

จักรพรรดิมังกรวาโยกลืนกินและจักรพรรดิมังกรมารดาราต่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พวกหลินสวินบุกเข้ามาในวังมังกร เปิดฉากลมฝนคาวเลือดตลอดทาง ทำให้จักรพรรดิมังกรปราบสมุทร จักรพรรดิมังกรหมอกโลหิตและเฒ่าดึกดำบรรพ์หลายคนถึงแก่ความตาย บีบบังคับจนพวกเขาได้แต่หลบอยู่ในวังมหามรรคหมื่นมังกร ต้องพึ่งพาพลังของกระบวนค่ายกลต้องห้ามจึงรักษาชีวิตไว้ได้

นี่คือความอัปยศอย่างไม่ต้องสงสัย!

หากแพร่งพรายออกไป หน้าตาและความน่าเกรงขามของเผ่าพวกเขาต้องอันตรธานหายไป กลายเป็นตัวตลกของหมื่นเผ่าพันธุ์ในใต้หล้าแน่

ถึงขั้นว่าหากให้ขุมอำนาจของเผ่าวิญญาณฟ้าประทานอย่างเต่าดำ เสือขาว หงส์เซียนรู้เข้า ย่อมมีโอกาสสูงที่จะนำพาภัยใหญ่มาด้วย!

“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เผ่าเราไม่เคยเจอการโจมตีและความสูญเสียเช่นนี้มาก่อน เรื่องในครั้งนี้แน่นอนว่าไม่อาจเลิกราเช่นนี้!”

“รอก่อนเถอะ พวกสารเลวนั่นน่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไม่นานแล้ว”

จักรพรรดิมังกรมายาและเฒ่าดึกดำบรรพ์แต่ละคนล้วนเผยสีหน้าอำมหิตเหมือนกระหายเลือด

“หืม?”

ทันใดนั้นจักรพรรดิมังกรมายาพลันพบความไม่ชอบมาพากลในพริบตา พวกหลินสวินที่ติดอยู่ในกระบวนค่ายกลนั้น ถึงกับหลบหายนะแห่งการทำลายล้างหลายครั้งได้อย่างไร้อันตราย!

ตลอดทางพวกเขาถึงขั้นไม่ต้านทานและโจมตีกลับใดๆ มุ่งไปข้างหน้าตลอดทางภายใต้การจู่โจมนานัปการเช่นนั้น

ทุกครั้งที่คิดว่าพวกเขาต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา ก็ล้วนหลบเลี่ยงอันตรายได้อย่างหวุดหวิด

ภาพนั้นทำให้จักรพรรดิมังกรมายามองจนลูกตาแทบหลุดออกมา กล่าวเสียงหลง “เป็นไปได้อย่างไร”

จักรพรรดิมังกรวาโยกลืนกินและจักรพรรดิมังกรมารดาราก็ตกตะลึงตาค้างไปชั่วขณะ สังเกตเห็นภาพต่างๆ ที่แปลกประหลาดถึงขั้นน่าเหลือเชื่อนี้

นี่มันเรื่องอะไรกัน!?

นั่นเป็นถึงกระบวนค่ายกลต้องห้าม คงอยู่เรื่อยมานับแต่อดีตจนปัจจุบัน มีพลังน่าพรั่นพรึงที่สามารถสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิ จนถึงปัจจุบันก็ไม่มีใครทำลายได้

แต่ตอนนี้…

กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน!

เพียงชั่วขณะพวกจักรพรรดิมังกรมายาทั้งตระหนกและขุ่นเคือง สภาวะจิตล้วนเปลี่ยนเป็นปั่นป่วน กระบวนค่ายกลที่ถูกพวกเขามองเป็นแนวป้องกันชีวิต ไม่อาจกักขังคู่ต่อสู้ได้อย่างไร!?

พวกเขาคิดไม่ออก ต่อให้มากด้วยประสบการณ์แค่ไหน ผ่านการเปลี่ยนแปลงของโลกมากเท่าไหร่ แต่เหตุการณ์คาดไม่ถึงตรงหน้านี้ต่อให้พวกเขาผ่าสมองออกมาก็คิดไม่ออก

“กระบวนค่ายกลต้องห้ามนี้เป็นสิ่งที่บรรพชนเผ่าเราวางไว้ ถูกมองเป็นกระบวนค่ายกลสังหารอันดับห้าของทั่วหล้า ตั้งแต่โบราณกาลมาไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน…”

จักรพรรดิมังกรมายาสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด

ส่วนผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ในพื้นที่อื่นนั้น เวลานี้ล้วนยังไม่รู้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในกระบวนค่ายกลนั่น ยังคงเฝ้ารอช่วงเวลาที่คู่ต่อสู้จะตายไปอย่างตื่นเต้น…

ตูม!

กระบวนค่ายกลพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ก็เห็นว่าในธารดารานับพันล้านกลางความว่างเปล่าโดยรอบ ปรากฏค่ายกลลายมรรคลึกลับนับไม่ถ้วน ค่ายกลลายมรรคพวกนี้ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นเงาร่างสายหนึ่ง

เขาเหมือนเด็กอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง สวมเสื้อขนนกดารา ศีรษะสวมเกี้ยวประดับรุ้งดารา เท้าใส่รองเท้าแสงดาว ใบหน้าเล็กใสซื่อไร้เดียงสา นัยน์ตาลุ่มลึกเงียบสงบ ใสกระจ่าง บริสุทธิ์เหมือนวังวนดารา

ทันทีที่เขาปรากฏตัว ทั้งกระบวนค่ายกลราวกับมีจังหวะชีวิต พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงนานัปการที่คาดไม่ถึง

ถ้ากล่าวว่ากระบวนค่ายกลก่อนหน้านี้วิวัฒน์และโคจรตามระเบียบและกฎเกณฑ์อย่างหนึ่ง เช่นนั้นกระบวนค่ายกลในตอนนี้ ล้วนไม่อาจนำระเบียบและกฎเกณฑ์มาบรรยายได้แล้ว!

ความรู้สึกนั้นเหมือนเผชิญหน้ากับกระบวนค่ายกลที่มีชีวิตแห่งหนึ่ง ครอบครองสติปัญญา สามารถสร้างเคราะห์สังหารน่าเหลือเชื่อนานัปการได้ตามสถานการณ์ ไม่หมุนเวียนตามกฎเกณฑ์อีก!

เกือบจะพริบตาแรกที่เด็กคนนี้ปรากฏตัว หลินสวินพลันหยุดเท้า ในดวงตาเผยแววจริงจังอย่างยากจะได้เห็น

วิญญาณค่ายกล!

ก่อนหน้านี้ยามอ่านใจความและบันทึกพวกนั้นที่ท่านลู่ทิ้งไว้ให้ หลินสวินก็เคยอ่านเจอบันทึกที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณค่ายกลมาก่อน

จากคำพูดของท่านลู่ เมื่อกระบวนค่ายกลลายมรรคสำแดงถึงขีดสุดเป็นประวัติการณ์ สามารถมีพลังเหนือล้ำศุภโชค ใช้พลังแห่งฟ้าดินเป็นแหล่งพลังงาน ใช้แก่นพลังแห่งสรรพสิ่งเป็นสื่อนำ ควบรวมออกมาเป็นร่างวิญญาณเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง เรียกว่าวิญญาณค่ายกล

โดยทั่วไปแล้วกระบวนค่ายกลที่มีวิญญาณค่ายกลก็เหมือนมีปัญญาและชีวิต การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดจะเปลี่ยนไปอย่างไร้ร่องรอยให้เสาะหา!

กระบวนค่ายกลเช่นนี้ล้วนเรียกว่ายอดกระบวนค่ายกล เป็นวิชาต้องห้ามที่น่ากลัวที่สุดในใต้หล้า

นี่ก็หมายความว่า ถ้าอยากทำลายกระบวนค่ายกลหรือรอดไปจากกระบวนค่ายกล ย่อมมีแค่วิธีเดียว นั่นก็คือเอาชนะวิญญาณค่ายกลด้วยความเชี่ยวชาญด้านลายมรรค!

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลินสวินเจอวิญญาณค่ายกล

“เจ้าเหมือนคุ้นเคยการเปลี่ยนแปลงนานัปการที่ข้าควบคุมมาก ดังนั้นจึงหลบการโจมตีและการสังหารทุกอย่างได้ และถึงขั้นทำให้ข้าตื่นจากความเงียบเช่นกัน”

วิญญาณค่ายกลที่เหมือนเด็กคนนั้นเอ่ยปากแล้ว เสียงใสกระจ่างและอ่อนเยาว์ นัยน์ตาที่เหมือนวังวนดาราคู่นั้นจ้องมองหลินสวินแค่คนเดียว เจือความอยากรู้อยากเห็น ประกายดาราหลากสายอบอวลอยู่รอบตัวเขา ทำให้เขาดูลึกลับหาใดเปรียบ

ราวกับบุตรแห่งดวงดาวคนหนึ่ง

ซีกับต้าหวงต่างเผยสีหน้าตื่นตะลึง เห็นชัดว่าพวกเขาก็คล้ายคิดไม่ถึง ว่าในกระบวนค่ายกลนี้ถึงกับก่อเกิดร่างวิญญาณที่มีปัญญาน่าอัศจรรย์อย่างวิญญาณค่ายกล

ส่วนโลกภายนอก เมื่อเห็นวิญญาณค่ายกลนั้นปรากฏตัว จักรพรรดิมังกรมายาและเฒ่าดึกดำบรรพ์คนอื่นที่เดิมยังตื่นตระหนกไม่หยุดไม่มีใครไม่เผยสีหน้ายินดีปรีดา

นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พวกเขาเจอวิญญาณค่ายกล!

ก่อนหน้านี้พวกเขาแค่เคยได้ยินว่ากระบวนค่ายกลต้องห้ามที่ปกป้องเผ่าพวกเขามาเป็นเวลานาน มีโอกาสสูงที่จะให้กำเนิดวิญญาณค่ายกลแล้ว

แต่ใครก็ไม่เคยเจอมาก่อน ถึงอย่างไรพวกที่สามารถบุกมาถึงหน้าวังมหามรรคหมื่นมังกรบนโลกนี้ จนถึงปัจจุบันยังมีไม่กี่คน ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสรู้เรื่องพวกนี้อย่างแท้จริงเช่นกัน

“คราวนี้พวกเจ้าจะยังดิ้นรนได้ถึงเมื่อไหร่” พวกจักรพรรดิมังกรมายาเหมือนยกภูเขาออกจากอก บนสีหน้าอำมหิตเผยรอยยิ้มหยัน

ในกระบวนค่ายกลหลินสวินสีหน้าราบเรียบ มองวิญญาณค่ายกลที่เหมือนเด็กคนนั้นพลางกล่าว “ข้าคุ้นเคยกระบวนค่ายกลนี้มากจริงๆ หลายปีนี้ก็หยั่งรู้นัยเร้นลับของกระบวนค่ายกลนี้มาตลอด สิ่งเดียวที่คิดไม่ถึงคือกระบวนค่ายกลนี้ควบรวมร่างวิญญาณอย่างเจ้าออกมาแล้ว”

วิญญาณค่ายกลขมวดคิ้วใคร่ครวญครู่หนึ่ง พลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง กล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้สืบทอดของเฒ่าสารเลวคนนั้นหรือ”

เฒ่าสารเลว…

คำบรรยายนี้ชวนลิ้นพันนัก แต่หลินสวินยังตอบสนองได้ในพริบตา คนที่วิญญาณค่ายกลนี่พูดถึงน่าจะเป็นท่านลู่!

ด้วยกระบวนค่ายกลต้องห้ามที่มีอานุภาพกำราบบรรพจารย์จักรพรรดินี้ ก็คือกระบวนค่ายกล ‘มรรคสิ้นฟ้าอาสัญ’ ที่ท่านลู่อนุมานออกมา!

มรดกของกระบวนค่ายกลนี้ชิงอิงมอบให้เขาตอนอยู่แดนอำพราง แม้จะเป็นกระบวนค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ แต่อานุภาพนั้นยังแข็งแกร่งกว่ากระบวนสังหารไร้ชีพที่จัดอยู่ในอันดับเก้าของทั่วหล้า

และตอนนี้กระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญที่สมบูรณ์ก็อยู่ต่อหน้าหลินสวิน ถูกมองเป็นแนวป้องกันชีวิตของเผ่าเจินหลง!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท