จ้าวหยวนจี๋คิดๆ แล้วพูดว่า “ท่านป้าของเจ้าไม่ได้บอก แต่ตามที่ข้าคาดเดา บุคคลน่าสะพรึงนั่นคงจะเป็นคนเก่าแก่คนหนึ่งของเผ่าเจินหลง”
หลินสวินพูดอึ้งๆ “เผ่าเจินหลงหรือ”
นี่ดูเหลวไหลมาก หากคนที่ถูกกำราบอยู่ใต้เก้าพันจั้งของทะเลปีศาจเป็นคนเก่าแก่คนหนึ่งของเผ่าเจินหลง ถ้าอย่างนั้นเหตุใดหลายปีมานี้ผู้แข็งแกร่งของเผ่าเจินหลงจึงไม่เคยมาช่วย
จ้าวหยวนจี๋เองก็ไม่รู้เรื่องนี้แน่ชัด บอกเพียงว่าให้หลินสวินใจเย็น รอหลังจากอ๋าวซิงถังกลับมาก็จะรู้เอง
จากนั้นทั้งสองก็คุยกันถึงเรื่องในหลายสิบปีมานี้ ต่างอดทอดถอนใจไม่ได้
ที่แท้ปีนั้นในป่าต้นหม่อนที่สมรภูมิกระหายเลือด หลังจากพวกจ้าวหยวนจี๋สองสามีภรรยากับชายหนุ่มจักจั่นทองจากไป ก็ไปยัง ‘เขตแดนดาราปั่นป่วน’ ในทางเดินโบราณฟ้าดารา
ตอนนั้นพวน่ากลัวของพันธมิตรสงครามรกร้างโบราณอย่างพวกชายหนุ่มจักจั่นทอง เฉินหลินคง จักจั่นขาว ล้วนจำศีลอยู่ในนั้น
จนกระทั่งหลังจากนั้น หลังจากได้ยินว่างานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรกำลังจะเริ่มขึ้น สองสามีภรรยาจึงเคลื่อนไหว มุ่งหน้าสู่แดนเจินหลงแห่งนี้
และหลังจากได้รู้สิ่งที่หลินสวินประสบในหลายสิบปีมานี้ จ้าวหยวนจี๋เองยังอดอึ้งไม่ได้ สายตาเหม่อลอย
ก่อกวนแหล่งสถานคุนหลุน บุกทางเดินโบราณฟ้าดารา เปิดฉากคลื่นลมในโลกใหญ่หงเหมิง สังหารเหล่าผู้กล้าในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ สำแดงความสามารถในโลกมืด บรรลุมกุฎจักรพรรดิในแดนปรินิพพาน…
คำพูดของหลินสวินสั้นกระชับ จ้าวหยวนจี๋ฟังแล้วกลับหัวใจกระเพื่อมไหว ประหนึ่งฟังตำนานเรื่องหนึ่ง!
จนกระทั่งหลังจากได้ยินเป้าหมายที่หลินสวินเดินทางมายังแดนเจินหลง นัยน์ตาของจ้าวหยวนจี๋เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดขึ้นมาทันที แววตาซับซ้อน จ้องหลินสวินไม่คลาดสายตา มองจนอีกฝ่ายอึดอัดไปทั้งตัว
“ท่านลุง มีอะไรผิดปกติหรือ” หลินสวินพูดอย่างรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย
จ้าวหยวนจี๋หัวเราะหึๆ ชี้หลินสวิน “ข้ากลับดูไม่ออก ว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าจะทำลูกสาวข้าท้องโตโดยไม่บอกกล่าว!”
เหมือนขึ้งโกรธและเหมือนชื่นชม ทั้งเหมือนไม่พอใจ นี่คงเป็นอารมณ์ของคนเป็นบิดา เหมือนเห็นผักกาดขาวอวบๆ ของตนถูกชิงไปตอนที่ตนไม่รู้ตัว…
หลินสวินอักอ่วน ต่อให้เขาจะหน้าหนาแค่ไหน ตอนที่เผชิญหน้ากับ ‘พ่อตา’ คนนี้ ก็ยังรู้สึก… เกรงใจอยู่บ้าง
“เอาล่ะ ข้าไม่ได้ไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าสองคนจะอยู่ด้วยกัน ตรงกันข้าม พวกเจ้ารู้จักกันตั้งแต่เด็ก ระหว่างทางผ่านร้อนผ่านหนาว สามารถเดินมาถึงวันนี้ได้ก็ไม่ง่ายเลย”
จ้าวหยวนจี๋ตบไหล่หลินสวิน “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำให้จิ่งเซวียนผิดหวัง เพียงแต่…”
หลินสวินรีบพูดว่า “ท่านลุง เพียงแต่อะไรหรือ”
จ้าวหยวนจี๋ถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “ข้าเป็นห่วงเพียงแค่ว่า ต่อไปบนมรรคา พวกเจ้าจะยิ่งเดินยิ่งห่าง ระยะห่างของกันและกันจะยิ่งมาก ถึงตอนนั้นพวกเจ้า… ยังจะสามารถเคียงคู่กันได้หรือไม่”
มรรคายาวไกล บุคคลและสิ่งของในอดีตเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับระดับมรรควิถี ไม่ใช่คนบนโลกเดียวกันนานแล้ว
อย่างเช่นสหายในอดีตอย่างพวกหนิงเหมิง สืออวี่ เย่เสี่ยวชี ตั้งแต่ออกจากโลกชั้นล่างจนตอนนี้ น้อยมากที่หลินสวินจะได้เจออีกฝ่าย
หรืออย่างสหายอย่างพวกเจ้าคางคก อาหลู่ เจ้านกดำ ตอนนี้ก็ไม่รู้ร่องรอย
นี่ก็คือหนทางแห่งมหามรรค ระดับยิ่งสูง เดินไปยิ่งไกล ระยะห่างจากสหายเก่าในอดีตก็จะไกลขึ้นเรื่อยๆ…
สิ่งที่จ้าวหยวนจี๋กังวลก็คือปัญหานี้
ด้วยรากฐานพลังและมรรควิถีของหลินสวิน ต่อไปมีแต่ต้องเดินไกลไปเรื่อยๆ บนหนทางแห่งมหามรรค ถึงตอนนั้นจ้าวจิ่งเซวียนจะตามฝีเท้าของเขาทันหรือ!
ยากมาก!
ถึงขั้นแทบไม่มีความหวังอะไรเลย!
หลินสวินใคร่ครวญคร่าวๆ แล้วพูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ทิ้งจิ่งเซวียนไว้คนเดียว ไม่เช่นนั้นข้าแสวงมหามรรคนี้ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
จ้าวหยวนจี๋มองหลินสวินอย่างลึกล้ำคราหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าเชื่อเจ้า”
หลินสวินสีหน้านิ่งสงบ ไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้สาบานว่ารับรองอะไร เพราะส่วนลึกในใจเขาไม่เคยมีความคิดว่าชาตินี้จะทำให้จ้าวจิ่งเซวียนผิดหวัง!
ยามทั้งสองคุยกัน หลินสวินก็แบ่งสมาธิสื่อสารกับซี ต้าหวง และซย่าจื้อในเจดีย์ไร้สิ้นสุด ทั้งเตรียมโอสถเทพและสมบัติล้ำค่าไว้ให้พวกเขารักษาแผล
ซย่าจื้อไม่ได้บาดเจ็บ มีเพียงบาดแผลของซีและต้าหวงที่รุนแรงอยู่บ้าง ไม่สามารถฟื้นฟูได้ในระยะเวลาสั้นๆ
นี่ทำให้สภาวะจิตของหลินสวินอดหนักอึ้งขึ้นมาบ้างไม่ได้
เจ้าคนน่ากลัวที่เหมือนเด็กหนุ่มคนนั้น สามารถควบคุมพลังระเบียบต้นกำเนิดของแดนวังมังกรได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับจักรพรรดิสวรรค์ดำรง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะสังหารเพื่อบุกเข้าแดนวังมังกรช่วยจิ่งเซวียนออกมาอย่างไร
เห็นหลินสวินขมวดคิ้วแน่น จ้าวหยวนจี๋อดถามออกมาไม่ได้ หลังจากได้รู้เรื่องศึกที่แดนวังมังกรของหลินสวิน คิ้วของเขาก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
“ผู้อาวุโสประหัตวิญญาณที่เจ้าพูดถึง คงจะเป็นบรรพชนรุ่นแรกลำดับที่ห้าของเผ่าข้า อ๋าวจิ่วอี๋ ฉายาจักรพรรดิมังกรประหัตวิญญาณ เป็นบุคคลรุ่นบรรพชนแรกเริ่มคนเดียวที่ยังดูแลอยู่ในเผ่าจนถึงปัจจุบัน”
ทันใดนั้นเสียงที่ไพเราะเสนาะหูดังขึ้น ก็เห็นว่าส่วนลึกของทะเลที่ราวกับน้ำหมึกมีแสงสว่างจุดหนึ่ง จากนั้นเมื่อเงาแสงเข้าใกล้ เงาร่างที่เพรียวยาวสง่างามก็สะท้อนอยู่ในนั้น
นางสวมชุดชาววังสีม่วงอ่อนแขนกว้างเรียบๆ ผมยาวเกล้าขึ้น คอระหงขาวราวหิมะ ใบหน้าหยกเคร่งขรึมนิ่งสงบแต่ไม่สูญเสียความงดงาม ทุกอิริยาบถล้วนมีกลิ่นอายสูงส่งสง่างาม
ใบหน้างดงามนั่นคล้ายกับจ้าวจิ่งเซวียนเจ็ดส่วน เป็นอ๋าวซิงถังนั่นเอง!
นี่น่าจะเป็นครั้งที่สองที่หลินสวินเจออีกฝ่าย ครั้งแรกคือยามร่วมงานเฉลิมพระชนมพรรษาของจักรพรรดินีอ๋าวซิงถังตอนเขายังเด็ก
และเป็นในงานครั้งนั้นที่หลิ่วชิงเยียนได้บรรเลงลำนำผู้กล้า
ตอนนี้หลังจากผ่านไปหลายปี พวกเขาเจอกันอีกครั้ง เพียงแต่หลินสวินในตอนนี้ไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนนั้นแล้ว แต่เป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่ง ชื่อเสียงก้องฟ้าดารา!
“คารวะท่านป้า” หลินสวินคาวระ
ไม่ว่าพลังปราณจะสูงแค่ไหน ต่อหน้าจ้าวหยวนจี๋และอ๋าวซิงถัง เขาก็ถูกกำหนดให้เป็นคนรุ่นหลัง
“ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องเกรงใจ”
สายตาของอ๋าวซิงถังพินิจหลินสวินขึ้นลง เหมือนแม่ยายกำลังพิจารณาลูกเขยอย่างไรอย่างนั้น ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าอย่างพอใจ “สายตาของจิ่งเซวียนไม่เลวเลยจริงๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าข้าในตอนนั้น”
จ้าวหยวนจี๋ที่อยู่ข้างๆ กระแอมทันที “ซิงถัง พูดเช่นนี้ไม่ได้นะ หรือตอนนั้นที่เจ้าต้องตาข้าเป็นเพราะดูผิด”
อ๋าวซิงถังหัวเราะหยันออกมา “หรือยังมีเหตุผลอื่นอีก”
จ้าวหยวนจี๋จะท้วงทันที ทว่าอ๋าวซิงถังชิงพูดขึ้นก่อน “เรื่องระหว่างเรายังไม่ต้องพูดถึง จะได้ไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ของท่านในสายตาเด็กคนนี้”
ได้ยินสามีภรรยาคู่นี้เถียงกัน หลินสวินเองก็ทำได้เพียงแสร้งเลอะเลือน ท่าทางเหมือนไม่ได้ยินอะไร แต่ความจริงในใจประหลาดใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าคนระดับจ้าวหยวนจี๋กลับเหมือน… กลัวภรรยา…
ตอนที่อ๋าวซิงถังเดินมา ในมือกำไข่มุกที่ขาวเป็นประกายเม็ดหนึ่ง สาดละอองแสงสลายความมืดมนและเย็นยะเยือกของทะเลผืนนี้
จ้าวหยวนจี๋เล่าเรื่องที่ช่วยหลินสวินเอาไว้ก่อน จากนั้นถึงพูดว่า “หลินสวินยังคงสงสัยไม่น้อย ก็มีแค่เจ้าที่สามารถสลายข้อสงสัยให้เขาได้”
อ๋าวซิงถังพยักหน้าน้อยๆ สายตามองไปยังหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามาได้จังหวะพอดี บางทีอาจช่วยข้าขจัดปัญหายุ่งยากตรงหน้าได้ ก่อนหน้านี้เจ้าอยากรู้อะไร ขอเพียงแค่ข้ารู้ย่อมจะบอกทุกอย่าง”
หลินสวินคึกคักทันที ครุ่นคิดคร่าวๆ ก็ถามถึงสิ่งที่ตนสงสัยออกไป
คำถามแรกคือ ใต้ทะเลตะวันออกที่ถูกมองว่าเป็นเขตต้องห้ามไร้ชีพนี้ กำราบคนน่ากลัวแบบไหนไว้กันแน่
นี่ก็คือสิ่งที่จ้าวหยวนจี๋ไม่รู้
อ๋าวซิงถังไม่ได้ปกปิด เล่าเบื้องหลังของเรื่องนี้ออกมา
ช่วงต้นยุคดึกดำบรรพ์ สี่เผ่าวิญญาณฟ้าประทานอย่างเจินหลง เสือขาว เต่าดำ หงส์เซียน ย้ายเผ่าจากทางเดินโบราณฟ้าดารามาพร้อมกัน ผ่านการสำรวจและเสาะหามากมาย สุดท้ายเผ่าเจินหลงมาถึงโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลหาที่เปรียบไม่ได้แห่งนี้ และกลายเป็นนายเหนือหัวของดินแดนนี้อย่างรวดเร็ว!
และตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ดินแดนแห่งนี้ก็ถูกเรียกว่า ‘แดนเจินหลง’
ทว่าภายหลังกลับมีมหันตภัยมาเยือนเผ่าเจินหลง มหันตภัยครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลลั่วอีกฟากฝั่ง!
ฟังถึงตรงนี้ในใจหลินสวินอดเกร็งไม่ได้ ตอนนี้เขารู้ชัดแล้ว ว่าตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งก็คือตระกูลที่มารดาลั่วชิงสวินอยู่
“ตระกูลลั่วของอีกฟากฝั่งมีบรรพชนที่สุดยอดคนหนึ่ง ฉายาเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ เคยข้ามฟ้าดารา ต่อสู้ฟ้าดาราทั่วหล้า เคยเข้าสู่สี่แดนวิภูอย่างแดนเจินหลง เขาเสือขาว ทวีปเต่าดำ รังหงส์เซียนตามลำดับ และใช้พลังของตน สังหารบรรพชนของสี่เผ่าวิญญาณฟ้าประทานอย่างเจินหลง เสือขาว เต่าดำ หงส์เซียนจนพ่ายแพ้ ทำให้พวกเขาเลื่อมใส”
เสียงของอ๋าวซิงถังอ่อนโยนและทุ้มต่ำ “เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ทำอะไรเปิดเผยโปร่งใส มีความองอาจไร้ที่เปรียบ อกซ่อนทั่วหล้า หลังจากชนะ ยังเคยให้คำชี้แนะบรรพชนของสี่มหาเผ่าวิญญาณ ทำให้ระดับบรรพชนทั้งสี่ล้วนอดชื่นชมไม่ได้”
“ดังนั้นการกำราบครั้งนี้ กลับไม่ได้ถูกบีบ แต่เป็นความชื่นชมยินดีด้วยใจจริง ยอมเคารพนับถือตระกูลลั่วอีกฟากฝั่ง และตั้งกฎว่า ต่อไปคนรุ่นหลังสี่มหาเผ่าวิญญาณ ล้วนจะจงรักภักดีต่อทายาทเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์”
หลินสวินฟังแล้วยังหวั่นไหวและตะลึง จะต้องมีความองอาจและจิตใจอย่างไร จึงสามารถทำให้บรรพชนแห่งสี่มหาเผ่าวิญญาณเลื่อมใสได้ถึงเพียงนี้
“ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เพราะความสัมพันธ์กับเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ สี่มหาเผ่าวิญญาณเองก็มีหนทางและโอกาสที่สามารถเชื่อมสู่ฟากฝั่งได้ ในตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่เคยไปยังฟากฝั่ง ได้รับการดูแลและคุ้มครองของตระกูลลั่ว”
“สามารถพูดได้ว่า บุญคุณที่สี่มหาเผ่าวิญญาณได้รับจากตระกูลลั่วใหญ่หลวงมาก”
“อย่างไรก็ตาม สิ้นยุคดึกดำบรรพ์ ทุกอย่างกลับเกิดการเปลี่ยนแปลง มหัตภัยครั้งใหญ่ก็ม้วนตัวมาตาม”
พูดถึงตรงนี้ สายตาของอ๋าวซิงถังมองไปยังหลินสวิน “จะว่าไป เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแม่ของเจ้า ลู่ป๋อหยารวมถึงลุงของเจ้า”
ในใจหลินสวินสะท้าน เดาออกรางๆ แล้ว แต่กลับไม่กล้ายืนยัน
“แม่และลุงของเจ้าเป็นทายาทเลือดบริสุทธิ์ของเผ่านี้ แต่กลับเพราะเรื่องศึกภายในเผ่า จึงหนีออกจากตระกูลลั่วนานมากแล้ว ข้ามฟ้าดารา อยากไปซ่อนตัวที่ทางเดินโบราณฟ้าดารา”
อ๋าวซิงถังพูดต่อ “แต่บนหนทางที่พวกเขาหนีเอาตัวรอด บรรพชนเผ่าข้าเคยให้ความช่วยเหลือ ช่วยพวกเขาสลัดการไล่ฆ่าพวกนั้นสำเร็จ ไปถึงฟากฝั่งฟ้าดาราอย่างราบรื่น”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของอ๋าวซิงถังซับซ้อน “ตอนนั้นในสี่มหาเผ่าวิญญาณ มีเพียงบรรพชนเผ่าเจินหลงของข้าที่ให้ความช่วยเหลือ แต่ก็เพราะเรื่องนี้ ทำให้บรรพชนเผ่าข้าถูกผู้ยิ่งใหญ่ตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งจับจ้อง มองว่าเป็นกบฏ!”
………………….