Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2256 มหามรรคไร้พรมแดน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2256 มหามรรคไร้พรมแดน

ตอนที่ 2256 มหามรรคไร้พรมแดน

ผ่านไปสามเดือนแล้ว

ในช่วงนี้อ๋าวซิงถังและจ้าวหยวนรออยู่เงียบๆ มาโดยตลอด ในใจก็ตึงเครียดไม่น้อยเลยจริงๆ

เพราะหลินสวินเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขาแล้ว ถ้าแม้แต่หลินสวินยังทำไม่ได้ พวกเขาคงไม่สามารถช่วยบรรพชนเจินหลงจากการกำราบได้อีกแน่

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหลินสวิน ทั้งสองล้วนหัวใจสะท้าน ตื่นเต้นขึ้นมา

“ได้แล้วหรือ” อ๋าวซิงถังอดพูดไม่ได้

หลินสวินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “สามารถทลายพลังผนึกบนศิลามรรคค้ำสมุทรหลักแรกได้แล้ว แต่ข้าตั้งใจว่าหลังอนุมานแก้ปริศนาของศิลามรรคค้ำสมุทรทั้งหมดได้แล้วค่อยลงมือ”

จ้าวหยวนจี๋เข้าใจทันที “ไม่เลว ควรทำเช่นนี้แหละ หากใจร้อนลงมือตอนนี้มีแต่จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้เผ่าเจินหลงระแวง ถึงตอนนั้นจะต้องเกิดอุปสรรคอย่างแน่นอน”

อ๋าวซิงถังเองก็อดถอนหายใจยาวไม่ได้ ยิ้มพูด “ขอเพียงแค่สามารถแก้ได้ก็พอแล้ว เจ้าตามข้ามา”

ว่าพลางนางก็นำทางไป

ครั้งนี้นางพาหลินสวินเดินอยู่ใต้ท้องทะเลแห่งนี้นานสิบวันเต็ม เดินทางไปไม่รู้กี่ลี้

เหตุผลเพราะศิลามรรคค้ำสมุทรสี่สิบเก้าหลักนั้นกระจายอยู่ในน่านน้ำที่แตกต่างกัน ห่างกันไกลมาก

หากไม่ใช่เช่นนี้ อานุภาพของกระบวนผนึกไร้เทียมทานทั้งหมดย่อมไม่มีทางส่งผลต่ออาณาเขตใต้เก้าพันจั้งของทั้งทะเลตะวันออก และถูกผู้คนมองว่าเป็นเขตต้องห้ามไร้ชีพได้

หลังจากรู้ตำแหน่งที่ศิลามรรคค้ำสมุทรทุกหลักตั้งอยู่ หลินสวินก็เริ่มอนุมานและแก้กระบวนทันที

ด้วยมีประสบการณ์มากมายจากครั้งแรก ยามแก้กระบวนศิลามรรคค้ำสมุทรหลักที่สองหลินสวินจึงคุ้นชินแล้ว ใช้เวลาเพียงสองเดือนก็เข้าใจนัยเร้นลับผนึกทั้งหมดแล้ว

และยามแก้นัยเร้นลับผนึกของศิลามรรคค้ำสมุทรหลักที่สาม เวลาที่หลินสวินใช้สั้นลงเหลือเดือนครึ่งแล้ว

หลักที่สี่ก็สั้นลงเป็นหนึ่งเดือน…

ไม่เพียงแค่ความเร็วที่ยกระดับขึ้น แม้แต่ความเชี่ยวชาญในรอยสลักวิญญาณของหลินสวินก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้การอนุมานและแก้กระบวนนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างชัดเจน

ตั้งแต่แก้ปริศนาในศิลามรรคค้ำสมุทรหลักที่หนึ่ง จนกระทั่งเก้าเดือนให้หลัง หลินสวินแก้พลังผนึกบนศิลามรรคค้ำสมุทรได้หกหลักแล้ว

ในช่วงเวลาหลังจากนั้น ความเร็วในการแก้ปริศนาของหลินสวินยังคงยกระดับขึ้น แต่ขอบเขตลดลงแล้ว จนกระทั่งหลังจากนั้นระยะเวลาก็คงที่ สิบวันสามารถอนุมานศิลามรรคค้ำสมุทรหลักหนึ่งได้

นี่น่าตกใจมาก!

จนกระทั่งหลังจากหนึ่งปีที่อยู่ใต้เก้าพันจั้งของใต้ทะเลแห่งนี้ หลินสวินอนุมานศิลามรรคค้ำสมุทรได้สิบสองหลักแล้ว

แต่ศิลามรรคค้ำสมุทรมีถึงสี่สิบเก้าหลัก หากยังไปต่อด้วยความเร็วเช่นนี้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาสองปีจึงสามารถอนุมานศิลามรรคค้ำสมุทรทั้งหมดได้

นี่ทำให้หลินสวินอดกังวลไม่ได้

ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว หากล่าช้าไปอีกสองปี ใครจะรู้ว่าในแดนวังมังกรจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

และจ้าวจิ่งเซวียนที่ถูกกักขังจะเจอการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่

พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลินสวินไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่อดเป็นห่วงไม่ได้

“หากเจ้าสามารถทะลวงขั้นได้ ความเร็วก็จะยกระดับขึ้นไปอีก อย่างน้อยจะประหยัดเวลาฟื้นฟูพลังกายใจได้ไม่น้อย”

ในเจดีย์ไร้สิ้นสุด ซีให้คำแนะนำหลินสวิน

หนึ่งปีแล้ว ซีและต้าหวงที่รักษาตัวอยู่ในเจดีย์ไร้สิ้นสุดมาโดยตลอด ไม่ได้ขาดโอสถเทพและของมีค่าในการรักษาบาดแผล ตอนนี้บาดแผลฟื้นตัวมากแล้ว

นอกจากนี้ซีคอยจับตามองการเคลื่อนไหวของหลินสวินมาตลอด สังเกตเห็นว่าทุกๆ เจ็ดวัน เพราะสูญเสียพลังกายใจอย่างหนัก เขาจำต้องหยุดเพื่อฟื้นตัวประมาณสองวัน

หากหลินสวินสามารถทะลวงขั้นได้ เมื่อมรรควิถีแห่งตนเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็จะทำให้เขามีพลังกายใจที่มากกว่าขึ้นไปใช้อนุมานพลังผนึก ประหยัดเวลาไปได้มาก

ดังคาด หลังจากได้ยินคำแนะนำของซี หลินสวินตาเป็นประกายและตัดสินใจทันที…

ทะลวงขั้นก่อน!

ในหนึ่งปีนี้แม้เขาอนุมานและแก้กระบวนผนึกลายมรรคมาโดยตลอด ทว่าตอนที่มรรควิถีทั่วร่างฟื้นตัว ก็ดำเนินการเคี่ยวกรำไปด้วยครั้งแล้วครั้งเล่า อันที่จริงมีรากฐานพลังที่จะทะลวงระดับจักรพรรดิขั้นสามตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว

ดังนั้นสำหรับหลินสวิน การเลือกทะลวงขั้นตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก

สิ่งเดียวที่เรียกได้ว่ายุ่งยาก อาจเป็นมหาเคราะห์ยามทะลวงสู่ระดับจักรพรรดิขั้นสามที่แปลกประหลาดและไม่อาจคาดเดา

เส้นทางแห่งระดับจักรพรรดิ เก้าขั้นปราการสวรรค์ สามขั้นหนึ่งด่าน หกขั้นหนึ่งพิบัติ เก้าขั้นหนึ่งเคราะห์

ตอนนี้ที่หลินสวินกำลังจะทะลวงคือธรณีประตูของระดับจักรพรรดิขั้นสาม

การทะลวงขั้นนี้ กายใจล้วนแปรเปลี่ยนเป็นโลก

ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นสาม หากหลังจากร่วงหล่นร่างกายยังไม่ถูกทำลาย เลือดเนื้อกระดูกของเขาจะเปลี่ยนเป็นโลกแห่งหนึ่ง ดำรงอยู่ตลอดไป

ตอนนี้หลินสวินรู้ชัดแล้วว่า จักรพรรดิขั้นหนึ่งคือ ‘ไร้ผูกมัด’ จักรพรรดิขั้นสองคือ ‘ไร้รูป’

ส่วนจักรพรรดิขั้นสามนี้ นามว่า ‘ไร้พรมแดน!’

มหามรรคไร้พรมแดน!

มาถึงระดับขั้นนี้ โลกระดับจักรพรรดิที่กายใจจะปรากฏความรู้สึกไพศาลปานไร้พรมแดน เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่

เพียงแต่สิ่งเดียวที่หลินสวินต้องคำนึงในตอนนี้ คือควรทำลาย ‘ปราการใจจักรพรรดิ’ อย่างไร

ด่านเคราะห์นี้เกี่ยวข้องกับสภาวะจิต แปลกประหลาดและอันตรายที่สุด หากไม่ระวังจะสูญสิ้นทั้งหมด ไม่ใช่แค่ใช้กำลังเข้าทำลายได้

หลินสวินนิ่งเงียบไปสามวัน ไม่ทำอะไรและไม่คิดอะไร

กระทั่งเขาปรับสภาวะจิตได้ถึงขั้นนิ่งสนิทไร้คลื่นลม จิตใจผ่องแผ้ว หมื่นกาลไม่เคลื่อนย้าย นิ่งสงบเยือกเย็น เขาถึงลุกขึ้น ในดวงตาดำไม่มีความดีใจหรือเสียใจ

มีเพียงในใจที่เอ่ยเนิบๆ ‘ใจข้าไร้ปราการ เคราะห์นี้ไร้กังวล’

ตูม!

บนทะเลตะวันออก ในส่วนลึกของฟ้าสูงไร้ขอบเขต นอกห้วงอากาศว่างเปล่าที่ผู้คนทั่วหล้ายากจะสังเกตถึง กลิ่นอายด่านเคราะห์ที่พิสดารไม่อาจคาดเดารวมตัวกันโดยพลัน

ไม่มีเมฆเคราะห์อสนีเคราะห์ และไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดน่ากลัวที่สะท้านฟ้าดิน ถึงขั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใดแตกตื่น

แม้แต่จ้าวหยวนจี๋และอ๋าวซิงถังที่รออยู่ใต้ทะเลตะวันออกโดยตลอดล้วนไม่รับรู้

ทว่าตอนนี้ในสภาวะจิตของหลินสวินจู่ๆ ก็เกิดระลอกคลื่นไร้สิ้นสุด!

กลิ่นอายด่านเคราะห์ประหลาดเปลี่ยนเป็นมารผจญมหามรรค เหมือนสายฟ้ามาเยือนกะทันหัน ทันทีที่ปรากฏก็มีอานุภาพน่ากลัวปานทำลายล้าง

หลินสวินรู้สึกเพียงจิตสำนักพลันเลือนราง ในใจปรากฏภาพประหลาดนับไม่ถ้วน ยามทารกขณะร้องไห้ในผ้าอ้อม ท่านลู่ที่อยู่ตรงหน้าคำรามด้วยความเศร้าโศก กอดเขาไว้แน่น…

ตอนเด็กยามอยู่ในคุกใต้เหมือง มืดมนไร้ตะวัน ฝึกสลักวิญญาณทั้งวัน กลับถูกท่านลู่ต่อว่าครั้งแล้วครั้งเล่า…

ในหมู่บ้านเฟยอวิ๋น ได้รู้จักกับซย่าจื้อโดยบังเอิญ..,

แต่ละภาพในอดีตเป้นเหมือนภาพที่ฉาย.อีกครั้งในวัฏจักร ชัดเจนและสลักลึกในใจปานนั้น

อารมณ์ของหลินสวินก็สะเทือนไหวราวกับคลื่นซัดสาดตามภาพที่เปลี่ยนไป บ้างดีใจ บ้างเสียใจ บ้างผิดหวัง บ้างขมขื่น…

จนกระทั่งภายหลัง ภาพทั้งหมดล้วนเปลี่ยนเป็นเศษเสี้ยวมายาสลายไป ญาติมิตรเหล่านั้น พี่น้องที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันต่อสู้ สหายเก่าที่เคยพบเจอกันโดยบังเอิญบนมรรคา ศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้น…

ล้วนหายไปหมดแล้ว

ราวกับความหวังและพันธการที่เกิดขึ้นทั้งหมดในอดีตที่ผ่านมา ล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ซย่าจื้อ จ้าวจิ่งเซวียน ซี เสี่ยวอิ๋น เจ้าคางคก อาหลู่… ใบหน้าอันคุ้นเคยเหล่านั้น หายไปในความทรงจำในอดีตทั้งหมด

สุดท้ายเหลือเพียงความมืดมนไร้สิ้นสุด

เขายังคงยืนอยู่ในความมืดเพียงลำพัง แยกแยะหนทางข้างหน้าไม่ได้ และไม่รู้ว่าทางถอยอยู่ที่ใด

มหามรรคไร้สิ้นสุด โดดเดี่ยวเดียวดาย

ทอดสายตามองไป ทุกอย่างล้วนว่างเปล่า!

ในใจหลินสวินอดเกิดความคิดหนึ่งไม่ได้ นี่ก็คือจุดสิ้นสุดของมหามรรคที่ตนแสวงหาอย่างยากลำบากหรือ

หากเป็นเช่นนี้ ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ จะยัง… คุ้มค่าหรือ

คุ้มค่า?

ไม่คุ้มค่า?

ในใจพลุ่งพล่านปั่นป่วน ทั้งเหมือนถามตัวเอง และเหมือนคาดคั้นถามมหามรรคบนสวรรค์

ความมืดเหมือนกรงที่เงียบสงัดหยุดนิ่ง

ในกรง หลินสวินที่อยู่คนเดียวเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะอย่างไร้เสียง พึมพำคล้ายทอดถอนใจ “ครั้งนี้ถือว่าต้องขอบคุณเจ้าที่ให้ข้าได้ระลึกถึงอดีต จดจำผู้คนและสิ่งของที่คุ้นเคยเหล่านั้น… พวกนี้ล้วนเป็นร่องรอยที่ประทับอยู่ในมรรคาของข้า…”

อดีตไม่อาจไล่ตาม ทว่าอุปสรรคและความยากลำบากทั้งหมดที่ประสบในอดีต คนและสิ่งของที่ได้รู้จักเหล่านั้น ความรักใคร่ชิงชังแห่งผลกรรมที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เหตุการณ์และอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการผูกมัด… ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งในมรรคาของเขานานแล้ว!

หากไม่มีเหตุในอดีต จะมีผลในอนาคตได้อย่างไร

หากตัดขาดหรือคัดเลือกเพียงบางสิ่งเพราะความเสียใจและผิดหวังนี้ จะต่างอะไรกับ… การละทิ้งมรรคแห่งตน

เหตุใดต้องหลุดพ้น

เหตุใดต้องอิสระ

เหตุใดต้องชั่วนิรันดร์

ทุกสิ่งในอดีต หากมองเป็นการผูกมัดต้องตัดขาด ผลกรรมในอดีต หากมองเป็นกรงขังต้องทำลาย เช่นนั้นบนมรรคานี้ สิ่งที่แสวงหาคืออะไร

บนมรรคานี้ จะใช้ความคุ้มค่ามาวัดได้อย่างไร

หลินสวินกระจ่างชัดว่าสถานการณ์ในตอนนี้ก็คือปราการใจจักรพรรดิของตน ความคิดเดียว บางทีอาจตัดสินความเป็นความตาย

ทว่าตั้งแต่ต้นหลินสวินก็ได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้นแม้สภาวะจิตจะปั่นป่วนพลิกม้วน แม้อารมณ์จะประหนึ่งม้าป่าที่หลุดบังเหียน

เขาก็มีเพียงความคิดเดียว ยึดมั่นใจตน ครองกายตน!

สิ่งใดที่ข้าปรารถนา ล้วนคุ้มค่า

สิ่งใดที่ข้าแสวงหา ล้วนไม่เสียใจ

สิ่งใดที่ข้าคิด ล้วนเป็นใจข้า

สิ่งใดที่ข้ายึดถือ ล้วนเป็นหนทางของข้า

แม้ฟ้าถล่มดินทลาย หมื่นโลกว่างเปล่า ก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้!

ตูม!

สภาวะจิตของหลินสวิน ‘แสงจิต’ จุดหนึ่งปรากฏขึ้น ความมืดที่ประหนึ่งกรงขังกลับแตกซ่านไปในชั่วขณะนี้ กรงแตกสลาย ความมืดถดถอย

ทั่วฟ้าล้วนเป็นแสงสว่าง ส่องสว่างหนทางมหามรรค!

หลินสวินเอามือไพล่หลัง พลังขับเคลื่อนรอบตัวพลุ่งพล่านราวกับควันที่ทะยานสู่ท้องฟ้า ลอยขึ้นอย่างต่อเนื่อง สั่นคลอนดาราทั่วจักรวาล!

ในวันนี้หลินสวินทำลายปราการใจจักรพรรดิ แสงในใจจุดหนึ่งส่องสะท้อนทำลายความมืดในฟ้าดิน ก้าวสู่ธรณีประตูของระดับจักรพรรดิขั้นสาม เข้าสู่ระดับแห่ง ‘มหามรรคไร้พรมแดน’

ภายนอกไร้ผูกมัด กายไร้รูป ใจไร้พรมแดน!

ปราการสวรรค์แห่งระดับจักรพรรดิขั้นสาม หลอมใจไร้มลทินดวงหนึ่ง!

บรรลุถึงขั้นนี้ ก็ทำให้กายใจของเขาและมรรควิถีทั้งชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน

ใต้เก้าพันจั้งของทะเลตะวันออก หลินสวินนั่งง่ายๆ ทั่วร่างสาดพรมแสงประกายมากมาย ไอมรรคเป็นสายๆ ไหวเคลื่อน ราวกับเทพไท้สูงส่ง

ชั่วขณะนี้เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างฉับไว มองออกว่าการทะลวงปราการใจจักรพรรดิ ก็เหมือนรากฐานพลังและขุมทรัพย์ที่สั่งสมมานาน ทำให้มรรควิถีของตนเกิดการยกระดับอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท